เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 86 คนต่ำช้าสมบูรณ์แบบ
ฝ่ามือยักษ์นั้นยังไม่ทันฝากรอยประทับไว้บนผืนทราย เพียงพริบตาร่องรอยก็หายไปในทันที แม้แต่เสียงก็ยังถูกฉีกสะบั้นท่ามกลางลมมรสุม
นายเหนือที่สองถดถอยไปเจ็ดแปดเก้า ทรุดเข่าลงกับพื้น แขนเจ็บแปลบคล้ายถูกเข็มแทง คล้ายจะได้รับบาดเจ็บภายในแล้ว
“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร! ”
เพียงพริบตาพลังสะกดทับของขุนเขาสมุทรก็ทาบทับลงมา แม้แต่อสรพิษทรายที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างฉวัดเฉวียนยังแข็งค้างกลางอากาศ จากนั้นไอวิญญาณเองก็ผนึกค้างอยู่ในรูปแบบสุดท้ายเช่นกัน
พลังสะกดทับมาอย่างปุบปับเกินไป นายเหนือที่สองคาดไม่ถึงว่าฉินจิ่วเกอจะยังมีกระบวนท่าลับเช่นนี้อยู่ ตระหนักว่าไม่อาจต้านรับได้ทัน จึงพุ่งตัวลงกับพื้น สารรูปเหมือนสุนัขเกลือกกลั้วอยู่กลางทราย
“ฮ่าๆ ” ไม่รอให้นายเหนือที่สองได้ตอบโต้กลับ ฉินจิ่วเกอเหยียบบนกระบี่หนัก เคลื่อนไหวไปบนผืนทรายอย่างปราดเปรียว เหมือนกำลังแล่นสเก็ตบอร์ดอยู่ก็ปาน
“ตายซะเถอะ! ” พ่ายแพ้อย่างอัปยศ นายเหนือที่สองสีหน้ามืดทะมื่น
มันดีดตัวทะยานขึ้นฟ้า เพียงพริบตาก็จู่โจมออกนับร้อยกระบวนท่า ความรุนแรงไม่ต่ำทรามกว่าปราณสุริยันขั้นสูงสุด
พลังวิญญาณอันเข้มข้นโถมกระหน่ำลงทั่วทุกทิศทาง เสียงลมกลายเป็นจางคลาย อากาศเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง แม้แต่ฝุ่นทรายที่กระจายเวียนว่อนยังกลายเป็นสงบนิ่งขึ้นมา
“ครั้งนี้จะยอมให้เจ้าหนีไปก่อนก็ได้! ” นายเหนือที่สองกัดฟันแนบแน่น ลอยตัวอยู่กลางอากาศท่วงท่าอหังการ์ จดจำใบหน้าเยาว์วัยของฉินจิ่วเกอเอาไว้มั่น คราวหน้าตนจะต้องถลกหนังไอ้เด็กนี่ให้ได้!
ฉินจิ่วเกอกล่าวหยอกเย้าเสียงเฉื่อย “ที่นี่มีแต่ลมมรสุม นายเหนือที่สองลอยตัวอยู่กลางอากาศแบบนั้น ระวังจะถูกลมมรสุมพัดกระเด็นไปเสียก่อน”
มันล่ะอยากให้อีกฝ่ายลอยตัวสูงขึ้นไปอีกหน่อยเหลือเกิน อยู่บนพื้นย่อมหนีได้ง่ายกว่า
ถึงอย่างไรยามโบยบินอยู่บนอากาศ คนจะอย่างไรก็ไม่ใช่นก ยากที่จะบินได้อย่างเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นจึงยิ่งมีโอกาสมากขึ้น
“มารคลั่งผ่ามังกร!” สำแดงเคล็ดวิชายุทธ์ไปทั่วทุกทิศ คลื่นพลังร่วงลงจากฟ้านับร้อยเมตรดั่งดาวตก ระเบิดจนพื้นดินฟุ้งกระจายเปลี่ยนรูป
“เคล็ดกิเลนครองฟ้า!” ฝ่ามือยักษ์เรืองแสงดั่งอสนีบาต อำนาจดั่งสายวิชชุ ฝ่ามือถือกระบี่ไร้คมเอาไว้เล่มหนึ่ง ในนั้นแฝงด้วยพลังผ่าแยกขุนเขามหาสมุทร กดดันจนฝุ่นทรายฟุ้งกระเจิง
นายที่สองถูกคุกคามใหญ่หลวง ไม่คิดล่าถอย
มันมีเกราะกำบังชั้นยอด ต่อให้อีกฝ่ายจะทะลวงเกราะป้องกันมาได้ อย่างมากก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย
ตอนนี้ นายที่สองต้องการที่จะฆ่าฉินจิ่วเกอให้ได้โดยไว และล้วงเอาความลับบนร่างมันออกมา
เงาแสงวูบวาบ กระบี่อันล้ำค่า เพียงพริบตาก็บรรลุถึง พลังหนาหนักระเบิดวาบออก
ตูมมมม!
เคล็ดกิเลนครองฟ้าไร้ทัดเทียม พลังที่แฝงอยู่เพียงพอที่จะทลายขุนเขา ยังมีคลื่นพลังหนาหนักทาบทับติดตาม นายที่สองสู้ไม่ไหว เคล็ดวิชายุทธ์ล่มสลายทันควัน
“ยั้งมือ! ”
วรยุทธ์นายที่สองช่วยชีวิตมันไว้ รับมือกับภัยคุกคามจากกระบี่หนัก นายที่สองฝืนตัวเคลื่อนเข้าใกล้ฉินจิ่วเกอ เตรียมฆ่าอีกฝ่ายทิ้งก่อนที่ฝ่ามือจะร่วงลงมา
ตราบใดที่ต้นตอถูกทำลาย ฝ่ามือยักษ์ทางด้านหลังย่อมต้องสลายไป พร้อมกับภัยคุกคามทั้งหมด
พบเห็นนายที่สองเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพียงคืบ ฉินจิ่วเกอไม่หวั่น ตรงข้ามกลับสืบเท้าเข้าหาพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
นายที่สองถูกรอยยิ้มชั่วร้ายของฉินจิ่วเกอทำให้ตกตะลึงไป
รอยยิ้มของมันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เหมือนผีมารที่ไม่ได้ชำระแค้นมานานหลายสิบปี สีหน้าเช่นนี้ใครเห็นย่อมต้องหัวเราะไม่ออก
แทนที่จะบอกว่านายที่สองคือปีศาจร้าย ควรจะบอกว่าฉินจิ่วเกอต่างหากที่เป็นปีศาจร้าย
“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร! ” ฉินจิ่วเกอเปล่งคำออกมาเบาๆ
ขุนเขาลูกใหญ่สะกดทับลงกลางศีรษะ นายที่สองร่างแข็งค้างไปวูบหนึ่ง ถึงค่อยสลัดหลุดจากอำนาจแรงกดดันที่มาอย่างปุบปับนี้ได้
“สารเลว! ”
นายที่สองชักกระบี่วาดออก ฉินจิ่วเกอใช้มารมายาหลบหลีกไปไกล รอให้ฝ่ามือยักษ์วาดกวาดลงมา
นายที่สองตั้งตัวไม่ทัน คิดป้องกันตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว มันคิดไม่ถึงว่าฉินจิ่วเกอจะลื่นเหมือนปลาไหลเช่นนี้ ตนไม่มีโอกาสให้ได้ฆ่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“อ๊าา! ”
กระบี่เล่มโตเปี่ยมอานุภาพสุดไพศาล ฝุ่นทรายกระเจิดกระเจิง คลื่นลมเปลี่ยนทิศ ก่อนจะตกลงเป็นห่าฝนที่ทำจากทราย
เกราะอกแตกหัก นายที่สองร่างซวนเซกระอักเลือดออกจากปาก สมบัติชั้นยอดปรากฏรอยแตกร้าวจะพังมิพังแหล่ ไอวิญญาณเหือดแห้ง
หนึ่งกระบี่บาดเจ็บหนัก!
ปราณสุริยันขั้นปลายต้านทานพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ถือเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจแล้ว
เพียงแต่ฉินจิ่วเกอยังไม่พอใจ ไม่ได้ฆ่าอีกฝ่าย นายที่สองยามนี้หวาดกลัวจนหัวหด เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่า อีกฝ่ายก็ทำลายอาวุธชั้นยอดของมันได้ หรือจะเป็นเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นแปด?
นายที่สองรีบเหินตัวขึ้นฟ้า ตั้งใจจะถอยไปตั้งหลัก เรียกนายใหญ่มาช่วยสังหารฉินจิ่วเกอ
ใครเล่าจะคิด เพิ่งบินขึ้นฟ้าไม่ทันไร ลมสลาตันที่ถูกกิเลนครองฟ้าสะกดไว้พลันหลุดการควบคุม สายลมก่อตัวรุนแรงขึ้นหลายเท่าตัว
อาจเป็นเพราะว่ามีคนท้าทายอำนาจธรรมชาติแห่งสายลม เทพบรรพกาลในแดนรกร้างแห่งนี้จึงพิโรธ ลมสลาตันพัดก้อนศิลาน้ำหนักหลายพันจินขึ้นจากพื้น พัดม้วนเป็นวายุคลั่งส่งเสียงดังจนบาดหู แม้แต่ฟ้ายังทำท่าจะปริแตกจากคลื่นพลังนี้
นายที่สองกำลังรับมือกับพลังลมหมุนในอากาศ ศิลายักษ์ก้อนนั้นก็พัดมาทางมันพอดี
“บาปหนาแท้ๆ ไม่ใช่พระเอกกลับกล้าเหาะขึ้นฟ้ามั่วซั่ว รนหาที่ตายชัดๆ ”
ฉินจิ่วเกอแค่นเสียงเบา นอกจากศิษย์น้องรองลั่วเฉิน ใครที่ทำตัวอวดเบ่งล้วนถูกสวรรค์ลงทัณฑ์สิ้น
นายที่สองที่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกก้อนศิลาหนักพันจินกระแทกใส่ร่าง คนแทบน็อคกลางอากาศ
สูญเสียพลังวิญญาณเกื้อหนุน สังขารของนายที่สองก็ถูกมรสุมคลั่งกวาดม้วนเข้าสู่ใจกลางพายุ
เกิดเสียงฉีกขาดดังขึ้นถี่ๆ ร่างของมันก็ถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆ เลือดเนื้อกระจายปะปนไปกับฝุ่นดินในพายุ
หลงเข้าไปใจกลางพายุ นอกจากกลั่นดวงธาตุ ใครก็ไม่อาจทานรับไหว
ซากร่างของนายที่สองร่วงตกลง ศีรษะกระเด็นหวือออกนอกเขตพายุ กลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้านายที่สามผู้มีดวงตาอัปลักษณ์
นายที่สามตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีไปมา
ฉินจิ่วเกอจู่โจมเข้าจากเบื้องหลัง หมื่นบรรพตค้ำสมุทรสะกดทับนายที่สามที่ยังยืนนิ่ง
พิสุทธิ์ไพศาลที่กำลังต่อยตีกับนายที่สาม เมื่อเห็นดังนั้นก็ลงมืออีกแรง กำปั้นทะลวงเข้าใส่นายโจรที่สาม คนรับบาดเจ็บสาหัสขาดใจตาย
หลังเก็บแหวนมิติ ฉินจิ่วเกอก็เข้าไปช่วยกองคาราวานที่กำลังรบเร้าอยู่กับนายใหญ่
นายใหญ่คาดไม่ถึง นายที่สองนายที่สามจะร่วงหล่นตกตาย ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่มันจะยอมหรือไม่ยอมปล่อยกองคาราวานไปแล้ว แต่เป็นกองคาราวานที่สูญเสียขนานหนักจะยอมปล่อยมันไปหรือไม่ต่างหาก
“ไม่ เป็นไปได้ยังไง! ”
นายใหญ่ที่ชิงได้เปรียบมาตลอด พลันตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบไปในบัดดล เพียงพริบตาก็ถูกสามพิสุทธิ์ไพศาลกลุ้มรุมจนต้องล่าถอยอย่างต่อเนื่อง
“กิเลนครองฟ้า! ”
“ไม่ พวกสารเลว! ” นายใหญ่ไม่ยินยอม พร้อมกับที่ต่อต้านกิเลนครองฟ้าสุดกำลัง สามพิสุทธิ์ไพศาลก็ลงมือพรักพร้อม ตำแหน่งหัวใจและหน้าผากของนายใหญ่ถูกพลังฝ่าทะลุไปในทันที
หัวใจถูกทำลาย หลิงไถแตกสลาย นายใหญ่ผู้มีวรยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย ทำได้แค่หายใจต่อไปอีกไม่กี่เฮือก ไม่นานก็กลายเป็นศพนอนทอดกายอยู่ตรงนั้น
สำหรับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางและสองพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นของกองคาราวานนั้น ต่างได้รับบาดเจ็บไม่เบา บ่งบอกว่าการต่อสู้แลกชีวิตเมื่อครู่รุนแรงเพียงไร
นายเหนือร่วงหล่นไปทีละคน กองโจรต่างหลบหนีไม่คิดชีวิต ทิ้งฐานที่มั่นเอาไว้ท่ามกลางฝุ่นตลบฟุ้ง หลบหนีจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
ฉินจิ่วเกอไอสังหารแผ่พุ่ง คนพุ่งเข้าฐานที่มั่นอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ เริ่มเก็บกวาดทรัพย์สมบัติลงกระเป๋า
หลังจากที่ได้โอสถและศิลาวิญญาณมาเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็แบ่งให้กองคาราวานไปอย่างมีน้ำใจ
พูดอีกอย่างคือ เนื้อข้ากิน ซุปเจ้าดื่ม
ในกองคาราวาน ทุกคนต่างก็เริ่มทำเหมือนฉินจิ่วเกอเป็นหัวหอก ใครต่างก็รู้ว่าเป็นคนผู้นี้ที่ฆ่านายที่สองจนพลิกสถานการณ์กลับมาได้
กรรมวิธีเช่นนี้ ยอดยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในคาราวานยังไม่กล้าบอกว่าจะเลียนอย่างได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฉินจิ่วเกออายุยังน้อย มีทั้งความกล้าหาญและกลยุทธ์ ซ้ำยังรู้จักวางตัวได้อย่างเหมาะสม
ด้วยเหตุนี้ พ่อค้าหลายรายจึงเลือกที่จะฝากข้อมูลการติดต่อทิ้งเอาไว้ให้ เจตนาคือขอเพียงฉินจิ่วเกอไม่รังเกียจชนชั้นพ่อค้าอ่อนแอไร้ประโยชน์ ทุกคนล้วนสามารถร่วมทำการค้าได้
ครองภูเขาเยี่ยงราชัน บงการทัพกองโจร
ฉินจิ่วเกอมองดูทรัพย์สมบัติในแหวนมิติ ทำการค้ามิสู้ไปเป็นโจรจะดีกว่า ไม่นานก็ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ ดูอย่างมันในตอนนี้ อยู่ๆ ก็ได้เป็นมหาเศรษฐี
ยืนอยู่บนกำแพงที่สูงที่สุดในที่มั่นกองโจร ทอดตามองดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยโชคลาภวาสนา นับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเริ่มต้นจากศูนย์ พร้อมลงมือทำธุรกิจโดยปราศจากต้นทุน
ทันใดนั้น ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมา ไม่รู้อะไรดลใจให้มันอยากเป็นหัวหน้ากองโจรขึ้นมากะทันหัน หากได้เป็น ยังสามารถวิ่งลงเขาไปขโมยภรรยาผู้อื่นในหมู่บ้านมาได้
โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ มีข้าเป็นราชัน ช่างประเสริฐเลิศล้ำถึงเพียงไหน
สำหรับศิษย์น้องรอง จะอย่างไรมันก็เป็นพระเอกอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ไปตามหาผลอู๋เลี่ยง ตัวมันเองก็สามารถทะลวงด่านชีพจรกลับฟื้นคืนชีพ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย
ติดก็แค่อาวุโสใหญ่และอาวุโสสองที่มันไม่อาจคลายกังวล หากพวกมันรู้เข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ยากไร้คิดปฏิวัติ ถึงกับกลายเป็นกองโจรภูเขาขึ้นมาแล้วละก็คงน่าดูชม
สองเฒ่าหัวรุนแรงพวกนั้นคงจับฉินจิ่วเกอห้อยโตงเตงเป็นลูกไก่ จากนั้นจัดการชำแหละร่างมันให้คนทั่วหล้าได้ดู
“ทำดีไม่ได้ดี เมตตาคนคนกลับไม่รับรู้”
ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า ทอดถอนใจอยู่เพียงลำพัง เป็นหัวหน้าโจรอนาคตโชติช่วงชัชวาลแท้ๆ นี่สิน้าอคติทางสายอาชีพ
“โคลงที่ดี” หวังซานเดินเข้ามาพลางเอ่ยชมไปด้วย
มองดูชายหนุ่มที่เยาว์วัยกว่าตนหลายสิบปีผู้นี้ หวังซานตีตื้นด้วยอารมณ์
หากไม่ใช่ว่ายังนับว่าพอมีตาอยู่บ้างล่ะก็ เกรงว่าคงได้กลบฝังอยู่ในกองทรายพวกนั้นไปแล้ว
ที่แล้วมายังรู้สึกว่าคำพูดคำจาของฉินจิ่วเกอเหมือนบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่ตลาด
ตอนนี้มานึกดู นี่จะต้องเป็นบุคลิกอันพิลึกพิลั่นที่ผู้เปี่ยมพรสวรรค์มากความสามารถเท่านั้นจะพึงมีอย่างแน่นอน ต่อให้สมองของฉินจิ่วเกอในตอนนี้จะทำงานบกพร่องไปบ้าง คิดร่ำเรียนวิชาโจรในหมู่บ้านกองโจรเช่นนี้
เชื่อว่าหวังซานย่อมไม่คิดว่าแปลกประหลาด ทั้งยังจะไม่ห้ามปราม ดีไม่ดีคงตีฆ้องร้องป่าวช่วยเหลือฉินจิ่วเกอทำการค้าสไตล์ใหม่
ยังดี ฉินจิ่วเกอสมองไม่ได้บกพร่องไปจริงๆ ยิ่งไม่คิดร่ำเรียนวิชาโจรเป็นงานอดิเรก มันเพียงคิดว่าหวังซานแววตาชั่วร้าย จู่ๆ ก็เต็มไปด้วยความไม่ปรกติ
“มีคนมาแล้ว!”
หวังซานชี้นิ้วไปยังทะเลทรายเหลือง พบว่ามีความผิดปกติ ยามนั้นพวกโจรเองก็พบว่าพวกมันอยู่นอกคลังสมบัติ
ราวกับโฉมงามในม่านกั้น รอคอยท่านเปิดผ้าคลุมหน้า จากนั้นรุกรานตามใจชอบ
ฉินจิ่วเกอแววตาร้อนแรง น้ำลายเดือดพล่านกระจุกอยู่ตรงมุมปาก “พี่หวัง ท่านบอกว่ามีคนมาแล้ว?”
คิดไม่ถึง ตนเองสามารถประพฤติเป็นโจรสักครั้ง น่าฉลองจริงๆ!
ครั้งก่อนมีลั่วเฉินร่วมทาง พระเอกผู้ยึดถือคุณธรรมกระทำการควบคุมฉินจิ่วเกอภายนอกตำหนักสุสาน แต่ครั้งนี้ไม่มีใครมายุ่ง
“มากี่คน?” ฉินจิ่วเกอปิดตาค่อยถามไถ่ แฝงบุคลิกของมหาจอมโจรอันเข้มข้น
หวังซานตอบออกมาตามตรง ราวกับครูฝึกสุนัขทหาร “ประมาณสามสี่คน รัศมีพลังสับสนรวนเร ที่ตามหลังพวกมันมายังมีอีกหลายคน ไล่ฆ่าพวกมัน”
“อย่าได้สนใจ แพะอ้วนมาถึงปากประตู ยังไงก็หนีไม่รอด”
ฉินจิ่วเกอเอ่ยเสียงแผ่วเบา อันที่จริงก็แค่เปลี่ยนรังโจรลมอำพันเป็นที่หาเงินชั่วคราว เมื่อทำเงินได้มากพอก็จรลี ไม่มีอันตรายใด
“เด็กๆ!” ฉินจิ่วเกอยืนคำรามก้องบนกำแพง ท่วงท่าหยาบช้า
“นายท่าน!” อสูรน้อยเบื้องล่างกำแพงถูไม้ถูมืออย่างกระเหี้ยนกระหือ แต่ละคนคิดพุ่งออกไปแล่เนื้อเถือหนังพระถังซัมจั๋งที่เบื้องนอก
“ตระเตรียมคนและม้า พวกเราออกปล้นชิง เอ๊ย ไม่ใช่ เป็นการเคลื่อนพลตามกลยุทธ์เพื่อไปเติมทรัพยากร!”
“เอ๋?”
พวกที่ไล่ล่าเข่นฆ่ามาด้านหลัง ชัดเจนว่าเป็นพวกโจรดักปล้นชิงที่ฆ่าคนราวผักปลา นี่สมควรเป็นเวลาออกไปกำจัดมารอภิบาลคนดี พิทักษ์คุณธรรมจึงถูกต้อง
ใครจะคาด จากวาจาของฉินจิ่วเกอ ความหมายของมันคือออกไปวางเพลิงปล้นทรัพย์ ไม่ว่าชั่วดีมีจน ล้วนคว่ำโต๊ะกินรวบหมดสิ้น
ความสัตย์ซื่อจริงใจ?
ผู้คนรีรอลังเล สายตามองไปที่ฉินจิ่วเกออย่างเหยียดหยามและไม่อาจทำใจเชื่อ
นี่คือวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตพวกมันทั้งกองคาราวานจริงๆ รึ?
.
.
.