เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 79 หมื่นดวงโคมสว่างทั้งบ้านช่อง
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่า ใครที่มันทำกับข้าเหมือนหมั่นโถวขาวๆ ยัดเข้าซึ้งไปนึ่งบนเตา แล้วยังจะให้มันหัวเราะฮ่าฮ่าบอกต่ออีกฝ่ายว่าไม่เป็นไรงั้นหรือ!
กลั่นดวงธาตุยิ่งใหญ่อหังการ์ ใช้คุณธรรมนำหน้า
ผู้ที่ทำกับมันเป็นหมั่นโถวโง่ๆ ไม่ต้องร้อนรนใจ ผู้ที่เอามันเข้าซึ้งนึ่งไปก็ไม่เป็นไร นึ่งจนความเมตตาของมันมาถึงจุดสิ้นสุด
นั่นไม่เรียกว่าสุภาพบุรุษ นั่นจึงเรียกว่าไอ้โง่ ยังโง่เง่ายิ่งกว่าทารก อาวุโสสามที่ถูกยัดเข้าหมั่นโถวไปพิโรธยิ่ง
วันต่อมา เบื้องสูงเบื้องต่ำในพรรคหลิงเซียว งานประชุมใหญ่ถูกจัดขึ้นในห้องโถง
อาวุโสสี่และบรรดาศิษย์สำคัญทั้งหลายต่างมาเข้าร่วม เริ่มถกเถียงกันเรื่องอุบัติเหตุเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นที่หลังเขาและหารือมาตรการรับมือภัยธรรมชาติไม่คาดฝันเป็นต้น
วันที่สาม การประชุมที่จัดขึ้นเริ่มร้อนแรงเต็มสิบ อาวุโสสี่วิพากษ์มือวางเพลิงอย่างเผ็ดร้อน ใช้ท่าทีฮ่องเต้อับอายขุนนางย่อมต้องตายสิ้น
อาวุโสใหญ่ไม่มีความเห็นใดในเรื่องนี้ ทว่าสายตาของมันที่มองมายังศิษย์รักกลับดุดันยิ่ง
หาเรื่องแท้ๆ แต่ละอย่างยิ่งมายิ่งบรรลุขอบเขตขั้นใหม่ไปอีกเลเวล
ฉินจิ่วเกอปั้นหน้าเคียดแค้นไปกับอาวุโสสี่อาวุโสสอง สาปแช่งด่าทอพฤติการณ์ของมือวางเพลิงไปกับพวกมัน
ฉินจิ่วเกอหลั่งเหงื่อโซมหน้า มันแน่นอนว่าไม่มีทางกล้าบอกความจริงต่ออาวุโสสาม ได้แต่ประเคนความผิดใส่ศีรษะพรรคจอกประกายสิทธิ์ ว่าอีกฝ่ายมาหาเรื่องคิดแก้แค้น
การประชุมระดับสูงนี้ มีคนเพียงห้าคนเข้าร่วม เดิมทีลั่วเฉินเองก็มีคุณสมบัติ ทว่าอีกฝ่ายกำลังหมกมุ่นกับการฝึกฝนต้นกำเนิดกฎสรรพสิ่งอยู่ ไม่มีเวลาปลีกตัวมา
อาวุโสสามกล้ำกลืนฝืนทนเพลิงโทสะที่อาละวาดเต็มท้อง อา ข้าโกรธแล้ว
มันนั่งใคร่ครวญถึงอาวุโสสี่ อีกฝ่ายเป็นพวกแค้นลึกล้ำจดจำไม่ลืม หากยังข่มเหงรังแกมันต่อไป เกรงว่าจะกระตุ้นจิตใจอำมหิตของมัน อาจถูกวางยาพิษตายได้ง่ายๆ
นักปรุงยา เชี่ยวชาญชำนาญการในส่วนประกอบต่างๆ ของหญ้าไม้สมุนไพรหลากชนิด ไม่ต่างไปจากนักปรุงยาพิษ ไม่อาจข่มเหงจนเข้าตาจนได้
กระต่ายน้อยยามคับขันยังกัดคน อาวุโสสามมองเห็นแววตาอาวุโสสี่ นั่นยังน่ากลัวกว่ากระต่ายป่าหลายเท่านัก
เมื่อไม่อาจตอแยอาวุโสสี่ อาวุโสสามเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอาวุโสสองและอาวุโสใหญ่ กลั้นลมหายใจไว้ไม่กล้ากระโตกกระตาก
อาวุโสสามจนปัญญา ศิษย์พี่ทั้งสองระดับพลังฝีมือสูงส่งกว่า โดยเฉพาะอาวุโสสองรักหน้าตายิ่งชีพ หากฉีกหน้ามันย่อยยับ มันเองก็กล้าฉีกแขนขาของตนเองออกมาแน่นอน
สำหรับอาวุโสใหญ่ ยิ่งเป็นยอดยุทธ์ยากตอแย ในระดับกลั่นดวงธาตุไร้คู่ต่อกร
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าอาวุโสสามยังจดจำได้ ศิษย์พี่ของมันผู้นี้มิใช่คนใจอารีเท่าใด
หากสร้างความขุ่นแค้นแก่มัน ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายระเบิดโทสะช่วงชิงสมบัติของตนไปจนหมดสิ้น อาวุโสสามที่รักเงินยิ่งชีพ มันคงได้แต่ไปกระโดดส้วมฆ่าตัวตาย
สรุปแล้วยังไงก็ต้องหาที่ระบาย อาวุโสสามกวาดตามองรอบหนึ่ง พอดีพบเห็นฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอหน้าตาอับจนปัญญา การประชุมระดับสูงเช่นนี้ สี่อาวุโสมานั่งประชุมกันก็เหลือเฟือ ไฉนต้องเรียกหามันมานั่งด้วย
ไม่มีเจ้าอ้วนเป็นเกราะกำบัง กระต่ายขาวตัวน้อยน่ารักเช่นฉินจิ่วเกอย่อมไม่อาจหลุดเปิดเผยความลับออกมาต่อหน้าหมาป่าโหดร้าย
“เจ้า ฉินจิ่วเกอ!” อาวุโสสามความสามารถยอดเยี่ยมยิ่ง กลับมิได้เรียกชื่ออุบาทว์จางเต๋อไคออกมา
ฉินจิ่วเกอที่กำลังเหม่อลอยถูกอาวุโสสามเรียกสติ คนรีบสะดุ้งลุกขึ้นยืนเอ่ยแก้ตัวพัลวัน “อาวุโสสาม ข้าขอสาบานต่อฟ้า เรื่องวางเพลิงกับข้าไม่เกี่ยวข้องกันเด็ดขาด ท่านดูแววตาที่แสนสัตย์ซื่อของข้าสิ”
“พูดไร้สาระอะไรของเจ้า ตนเองเป็นถึงศิษย์เอกของสำนักฝ่ายใน เมื่อคืนมีคนลอบเข้ามาก่อการร้ายในพรรค เจ้าพูดมาซิ จะสะสางเรื่องนี้อย่างไร?”
ดูจากเจตนาของอาวุโสสามแล้ว คงคิดตัดหัวมือเพลิงมาทำโถส้วมเป็นแน่แท้
ฉินจิ่วเกอมีวาจาติดอยู่ที่ปาก รีบหยุดปากโดยพลัน
ท้องฟ้าสว่างโร่ เรื่องวางเพลิงอันใดนั่นเป็นมันทำพลาดไปไม่เจตนา ทั้งหมดเป็นเพราะโคมลอยไม่รักดีนั่น ฉินจิ่วเกอจะทำอย่างไรได้?
ให้สาปแช่งตัวมันไม่ตายดี โดนทัณฑ์สวรรค์ดับอนาถงั้นหรือ?
ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาสองรอบแล้วก็ต้องตายไปทั้งสองรอบ ตัวมันคือประจักษ์พยานแห่งปาฏิหาริย์ที่เด่นชัดที่สุด แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าท้าทายต่อการคงอยู่ของเทพเซียน เกิดคำสาปแช่งเป็นจริงขึ้นมาคงซวยแน่
ดังนั้น ฉินจิ่วเกอพลันโทสะลุกฮือโหม เอ่ยอย่างดุดัน “พวกเราต้องประณามการกระทำอันต่ำช้าไม่ถูกทำนองคลองธรรมนี่ นำเรื่องนี้ออกป่าวประกาศให้ทั่วโดยรอบรัศมีพรรคเรา ให้ไอ้คนลงมือต้องร้อนรนอยู่ไม่สุข ในใจทุรนทุราย ต่อไปมันย่อมไม่กล้าทำอีกแล้ว”
อาวุโสใหญ่ฟังแล้วผงกศีรษะ ออกความเห็น “ผ่อนหนักเป็นเบา ใช้เมตตาสยบมารร้าย ประเสริฐมาก”
ฉินจิ่วเกอมองแววตาอาวุโสใหญ่ สมกับที่เป็นอาจารย์ของข้าจริงๆ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นยิ่ง
อาวุโสสองและอาวุโสสี่ออกความเห็นบ้าง “จัดการตามนี้ให้เรียบร้อย เรียกว่าเยือกเย็นใจกว้าง เสร็จแล้วก็เลิกประชุมเถอะ ไปโรงอาหารรับประทานข้าวกัน”
“ช้าก่อน!” อาวุโสสามไม่อาจตัดใจ ขวางประตูไว้ “อีกฝ่ายก่อเรื่องราวใหญ่โต ใช้ท่าทีอันใดของพวกท่าน ยังมีเจ้าฉินจิ่วเกอ เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ คิดหาทางสะสางอันใดของเจ้า?”
ฉินจิ่วเกอใบหน้าเที่ยงธรรม เอ่ยวาจาด้วยความมั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้น รบกวนอาวุโสเสาะหาฟางข้าวมาให้ข้า”
“เอามาทำไม?” ทุกคนสงสัย
ฉินจิ่วเกอเอ่ยวาจาหนักแน่นเปี่ยมคุณธรรม “เอามามัดเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง ทุกวันทำพิธีสาปแช่งมันให้…”
“สาปแช่งมันไร้บุตรไร้หลานสืบสกุล ตายตกยกครัว!” อาวุโสสามเข่นเขี้ยว คิดทำออกมาไว้ใช้เองสักตัว
“ไม่” ฉินจิ่วเกอใจหายวาบ เร่งสะกดสีหน้า “สาปแช่งมันให้อุดมโชคโภคทรัพย์ราวตงไห่ อายุยืนยาวดั่งเขาทักษิณ เช่นนี้มันจะได้รับเวรกรรมและความสำนึกผิดที่กดทับมันไปอย่างยั่งยืนนาน”
“กล่าวได้ประเสริฐ!” อาวุโสสามร่ำร้องพลางผงกศีรษะ เคารพเสียงข้างมาก ญัตตินี้ถือว่าผ่าน
เมื่อสงบเพลิงโทสะของอาวุโสสามได้แล้ว ฉินจิ่วเกอก็ไปตามหาเจ้าอ้วนน่าตาย
ที่จริงมันรับปากศิษย์น้องเล็กไว้ว่าจะมีเซอร์ไพรส์วันเกิดนางในอีกสามวันข้างหน้า
โคมลอยนั่นเพียงเป็นของแก้ขัดไปก่อน อีกอย่างตัวมันเองก็ไม่กล้างัดเอาออกมาใช้อีกต่อไป หากโคมไฟนำพาไฟป่ามาแบบคราที่แล้ว อาวุโสสามเกิดรำลึกบาดแผลใจของมันขึ้นมาได้ อาจพบว่าเรื่องราวมีเลศนัย
เดินพลางครุ่นคิดพลางมาจนถึงหน้าประตูเจ้าอ้วนน่าตาย ฉินจิ่วเกอมองรอบทิศ ซ่อนมีดไว้อย่างดิบดี
“ศิษย์พี่หญิง ข้ารักท่าน ข้ารักท่านเหลือเกิน ความรักของข้าไม่ต่างจากมัจฉารักน้ำ ปักษารักท้องนภา ความรักของข้าที่มีต่อท่าน ยั่งยืนยาวนานดังเช่นบรรพตสูงชันสายน้ำไหล ยังหอมหวนชวนน้ำลายสอเช่นหมูหันเคียงข้างสุราดี ไม่อาจแยกจากกัน”
ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว เจ้าอ้วนน่าตายเองก็เข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ เริ่มเขียนจดหมายพรรณนาความในใจของมันต่อหรงเคอเคอ
ฉินจิ่วเกอเพิ่งมาถึงเบื้องนอกประตู ต้องขนลุกขนชันราวหนังไก่ไปทั่วร่าง ยิ่งได้ฟังโคลงบอกรักของเจ้าอ้วนน่าตายที่กำลังแต่งอยู่ในห้อง ชัดเจนว่าเจ้าอ้วนกำลังดื่มด่ำกับพรสวรรค์ทางวรรณคดีของมันอยู่อย่างไม่อาจถอนตัวได้
“จิ๊จิ๊” ไว้อาลัยให้แก่ความงมงายและไอคิวต่ำเตี้ยเรี่ยดินของเจ้าอ้วนน่าตาย มันและหรงเคอเคอรู้จักกันมานับสิบกว่าปี นั่นไม่ต่างจากสุกรอ้วนริอ่านมีความรัก
หรงเคอเคอจวบจนทุกวันนี้ยังคงท่าทีหูหนวกตาบอดใส่ ชัดเจนว่าไม่ยินยอมรับของอุดมไขมัน
ด้วยเหตุนี้ เจ้าอ้วนน่าตายตลอดเดือนตลอดปีเฝ้าดื้อด้านรุกรานตามติด เพียงแค้นที่ไม่อาจสร้างวีรกรรมให้พายุท้อก่อตัวได้เท่านั้น ไม่อาจเป็นไปได้แน่แล้ว
“เจ้าทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์”
ฉินจิ่วเกอถอนใจ เจ้าอ้วนน่าตายเพียงรู้จักแต่เปลือกนอกของตำรามหาวิถีเกี้ยวสาวเท่านั้น คิดพึ่งพาแค่จดหมายออกปากฝากรัก ยังห่างไกลนัก
“อา? ศิษย์พี่ใหญ่?” เจ้าอ้วนกำลังเมามายกับพรสวรรค์เชิงอักษร จู่พลันมีมารร้ายโผล่ออกมา ทำลายวันทิวทัศน์งามงดโอกาสมงคลสมบูรณ์พร้อมของมันจนย่อยยับสิ้น
“ขอศิษย์พี่ใหญ่ชี้แนะ” เจ้าอ้วนน่าตายโค้งคำนับต่ำ เชื้อเชิญศิษย์พี่ใหญ่ถ่ายทอดประสบการณ์
ฉินจิ่วเกอหัวเราะฮิฮะประหลาดพิกลสองสามคำ จับบ่าเจ้าอ้วนน่าตายไว้ “เมื่อคืนวาน ไฟป่านั่นเป็นเจ้าทำใช่มั้ย?”
“อะไรนะ?” เจ้าอ้วนนึกเสียใจ สมควรทราบว่าผู้มาเจตนาดีไม่มา เจตนาร้ายจึงหา ไม่คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่จะใช้วิธีนี้ล้างแค้นมัน “ไม่ใช่ข้า”
เจ้าอ้วนน่าตายแขนขาเหลวเป๋ว ลงไปกองบิดกระตุกอยู่กับพื้น ไม้กล้าจินตนาการถึงยามรองรับเพลิงโทสะของอาวุโสสาม
“เป็นเจ้าแน่ๆ มีทั้งพยานหลักฐานพร้อมสรรพ ดูเจ้าสิ มีแต่ไฟราคะเต็มตัว กลางค่ำกลางคืนออกไปหาขโมยชุดชั้นในของศิษย์สตรี จากนั้นฉวยโอกาสวางเพลิงกลบเกลื่อน”
ฉินจิ่วเกอเล่าออกมาเป็นฉากๆ ปิดประตูรอดของเจ้าอ้วนน่าตาย ช่วยเหลือให้ศิษย์บุรุษพรรคหลิงเซียวมีที่ว่างจับคู่เพิ่มอีกหนึ่งที่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่มีใครคัดค้านแล้ว
” ข้าถูกปรักปรำ!” เจ้าอ้วนน่าตายใบหน้าถูกปรักปรำให้ร้าย ดิ้นรนตะเกียกตะกายลุกขึ้นทั้งน้ำตา
“เอาล่ะ แม้เจ้าจะวางเพลิงเผาบ้านอาวุโสสาม แต่ว่าเจ้าไม่พูดข้าไม่พูด ใครจะรู้?”
ฉินจิ่วเกอปลอบเจ้าอ้วนน่าตายให้ปล่อยวาง เจ้าอ้วนน่าตายยืดอกกว้างอย่างยิ่ง คนพลิกตัวมากอดขาของฉินจิ่วเกอไว้ จนฉินจิ่วเกอต้องหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายคิดฆ่าคนปิดปากหรือไม่
“ศิษย์พี่ใหญ่ ขาทดลองมาหลายครั้ง ศิษย์พี่หญิงล้วนไม่ยินยอมรับน้ำใจข้า ท่านสอนข้าหน่อยว่าข้าควรทำอย่างไรดี?” เจ้าอ้วนน่าตายเกาะกุมฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายไว้แน่น วิงวอนร้องขอไม่หยุดยั้ง
ฉินจิ่วเกอหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย “ข้ามีหนึ่งกระบวนท่า ไร้คู่ต่อกร คิดร่ำเรียนหรือไม่?”
เจ้าอ้วนผงกศีรษะราวไก่จิกข้าว ฉินจิ่วเกอกลอกตาตลบหนึ่ง แบมือออก
“เงิน ยังมี ในเมืองซวนอู่ เจ้าใช้เงินของข้าไปสามร้อยศิลาวิญญาณ หากไม่มีก็เขียนหนังสือหยิบยืมไว้ก่อน มิเช่นนั้นข้าจะเชือดเจ้าทิ้งซะ ไม่งั้นก็จะไปฟ้องอาวุโสสามว่าเจ้าเป็นคนเผา บอกว่าเจ้าคิดฆ่าคนวางเพลิงเพื่อชิงศิลาวิญญาณของมัน ฮี่ฮี่”
เจ้าอ้วนน่าตายรู้สึกท่อนล่างสั่นยะเยือก ฝีมืออันชั่วช้านัก!
ในใจของมัน ศิษย์พี่หญิงสำคัญดั่งศิลาวิญญาณ นอกจากนี้ เป็นหนี้ไม่มีใดน่ากลัว ได้แต่ยอมรับหนี้แต่โดยดี
ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ เสียดายที่ไร้การต่อรอง “เขียนจดหมายรักจะไปมีประโยชน์อะไร ต้องรู้จักร้องเพลงสิ เมื่อได้ฟังเสียงเพลงอันไพเราะ นางในฝันของเจ้าจึงจะบังเกิดความคิดร่วมทานอาหารใต้แสงจันทร์กับเจ้า แน่นอน ถ้านางไม่เอาเจ้าไปทำหมูหันแทนน่ะนะ”
วาจานี้ชั่วร้ายยิ่ง ฉินจิ่วเกอไม่เพียงคิดอยากได้เงินของเจ้าอ้วนน่าตาย ยังอยากได้ชีวิตของอีกฝ่ายด้วย
“ร้องเพลง?” เจ้าอ้วนน่าตายเกาศีรษะอย่างแรง เกาจนมวยผมบนศีรษะหลุดลุ่ยลงมา “ข้าร้องไม่เป็น”
“แต่ข้าร้องเป็น!” ฉินจิ่วเกอแสดงท่าวีรบุรุษ ช่วยเหลือเจ้าหนูที่หลงรักข้าวสาร รับเงินเจ้าสามร้อย นี่ถือว่ากำไรแก่เจ้าไม่น้อยแล้ว
“จะใช้ได้จริงๆ?” เจ้าอ้วนน่าตายใช้เสียงร้องราวไก่แจ้ทดลองไปรอบหนึ่ง หมื่นวิหคเตลิดหาย พันมนุษย์ไร้ร่องรอย แม้แต่ส่ำสัตว์น้อยใหญ่บนเขาที่ร่ำร้องทั้งวันยังกระเจิงหนีไปจนหาไม่เจอ
ฉินจิ่วเกอใช้จิตใจชั่วร้าย จับคู่เจ้าอ้วนน่าตายและหรงเคอเคอ ไม่ต่างจากวาดฉากโฉมงามกับอสูรขึ้นมาอีกครั้ง น่าดูชมไม่น้อย
ทว่า เจ้าอ้วนน่าตายคิดตามติดพัวพันศิษย์พี่หญิงของมัน เกรงว่าคงเป็นเส้นทางอันยาวไกลไม่น้อย ระหว่างทางต้องจ่ายออกหลายพันศิลาวิญญาณเซ่นแก่ฉินจิ่วเกอ ทั้งยังไม่แน่ว่าจะร่ำเรียนจนสำเร็จสมประสงค์ได้
ถึงเวลานั้น รอจนเจ้าอ้วนน่าตายได้พบกับตอนจบ อยู่อย่างมีความสุขชั่วกัลปาวสานเมื่อใด พบว่าตนเองติดค้างฉินจิ่วเกอจนตูดบาน เชื่อว่าต้องไปปีนต้นไม้แขวนคอตายแน่นอน
ฉินจิ่วเกอถูกเจ้าอ้วนน่าตายส่งออกนอกห้องหับมาอย่างสุภาพอ่อนน้อม คนค่อยได้สติกลับคืน ไม่ถูกต้องสิ มันมาที่นี่เพราะมีเรื่องต้องการบอกกล่าวกับเจ้าอ้วนน่าตาย ไฉนยังไม่ทันได้บอกกล่าวอันใดก็ถูกเสือกไสออกมาแล้ว?
ไม่น่าเชื่อ เจ้าอ้วนน่าตายที่แท้จิตใจลึกซึ้ง ลึกซึ้งจนแม้แต่ข้ายังตามไม่ทัน
ช่างเถอะช่างเถอะ เจ้าอ้วนน่าตายกำลังวุ่นวายกับฤดูผสมพันธุ์ของมัน ฉินจิ่วเกอเดินทอดน่องไปอย่างไร้จุดหมายภายในพรรค ระหว่างทางปรากฏศิษย์ทั้งหลายทักทายไม่ขาดสาย ต่างเคารพนบนอบยิ่ง
นับแต่เข้าพรรคหลิงเซียวมา สวีเซิ่งทุกวี่นวันทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้ายันห้าโมงเย็น กวาดพื้นตัดฟืนหุงข้าว เมื่อไร้เรื่องราวยังต้องคอยรับหน้าอาวุโสสี่ผู้อารมณ์ขุ่นมัว เรียกหามันไปช่วยเฝ้าเตา
สุดยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุ กลับกลายสภาพมาเป็นเช่นนี้ สวีเซิ่งนับว่าสร้างความอับอายขายขี้หน้าต่อทั่วทั้งทวีปฉงหลิงแล้ว
เมื่อสวีเซิ่งผ่าฟืนเสร็จ ตระเตรียมหาบน้ำต่อ ก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาแฝงเจตนาคู่หนึ่งมองมา
ค่อยๆ หันไปยังต้นทาง มันก็พบเห็นฉินจิ่วเกอที่มาด้วยใบหน้าชั่วร้าย ไม่ต่างจากพยัคฆ์หน้าขาวกำลังจับจ้องเขม็งมายังเหยื่อโอชะเช่นมัน
“พี่สวีเซิ่ง เป็นอย่างไร คุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้วหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอออกปากทักสวีเซิ่งก่อน อีกฝ่ายสมควรสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของมนุษย์ในพรรคหลิงเซียวนี้แล้ว ย่อมต้องสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นเป็นแน่
สวีเซิ่งเข้าใจลักษณะนิสัยของฉินจิ่วเกอ หลายวันมานี้ มันฟังเรื่องราววีรกรรมต่างๆ ของศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวมาบ้าง
หนังหน้าหนา หน้าเงินทอง ไร้ยางอาย ใจคับแคบ
.
.
.