เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 6 พายเรือไม่พ้นอ่าง
ฉินจิ่วเกอรีบผงกศีรษะ รีบแสดงอาการเห็นพ้องต่ออาวุโสสอง “อาวุโสกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าตอนนั้นยังพยายามห้ามอาวุโสสี่ ทว่าอาวุโสสี่ปณิธานแข็งแกร่งนัก สุดท้ายยังคงตัดใจกลืนยาสะบั้นชีพลงไป เป็นความผิดของผู้เยาว์เอง”
หากอาวุโสสี่ฟื้นตื่นขึ้นมายามนี้ ได้ฟังวาจาหน้าหนาไร้ความละอายของฉินจิ่วเกอ แน่นอนว่าย่อมแค้นใจจนสิ้นสติไปอีกรอบ
กลับชาติมาเกิดได้สองรอบ ฉินจิ่วเกอความสามารถใดล้วนไม่งอกเงย มีเพียงหนังหน้าที่ยิ่งมายิ่งหนาทนขึ้นทุกวี่วัน
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า วิถีการฝึกพรตหมื่นพันพิสดาร ทว่าล้วนแฝงเร้นด้วยอันตรายสูงสุด การใช้ชีวิตเข้าแลกมิใช่เรื่องประหลาดเหนือคาดหมายอันใด ข้าเพียงโมโหมัน ก่อนกลืนยาสะบั้นชีพ สมควรกลืนยาเม็ดบรรเทาลงไปก่อน ทั้งยังสมควรเตรียมตัวพร้อมอย่างดี”
ฉินจิ่วเกอที่ด้านข้างเหงื่อแตกพลั่ก มารดามันเถอะ อาวุโสสี่คล้ายเตรียมการเช่นนั้นไว้จริงๆ
ท่าทางสาเหตุสมควรเป็นตนเอง จึงเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น
สมควรตาย ฉินจิ่วเกอบังเกิดความสำนึกเสียใจ ตนเองควรเรียกหาความช่วยเหลือช้ากว่านี้ ให้อาวุโสสี่ถูกพิษตกตายก่อน จะได้ไม่เป็นความผิดของมัน
ด้วยความคิดอันชั่วร้าย ฉินจิ่วเกอกระสับกระส่ายภายในใจ แผนการเมื่อครู่เป็นแผนชั้นเลว อาวุโสสี่หากฟิ้นตื่นขึ้นมา ไม่เตะตนจนตายก็แปลกแล้ว
“ข้าจำได้ว่าผู้กลืนยาเม็ดสะบั้นชีพ ภายในครึ่งชั่วยามจะเจ็บปวดไปถึงอวัยวะทั้งห้าและชีพจรทั้งหก สุดท้ายกระอักโลหิตเสียชึวิต ทว่าอาวุโสสี่ไฉนสลบสิ้นสติไป ตรงหน้าผากยังมีรอยเขียวนูนขึ้นสองที่?”
อาวุโสสองผู้เฉียบแหลมพบความผิดปกติ รู้ว่าเรื่องราวไม่เรียบง่ายเช่นที่เห็น
ฉินจิ่วเกอเหยียดหลังตรง ขนลุกชี้ชัน พูดตะกุกตะกัก “อาวุโสสี่เมื่อรับประทานยาเม็ดสะบั้นชีพ เนื่องเพราะไม่อาจทนทานความเจ็บปวด จึงใช้ป้านน้ำชาและโต๊ะฟาดตนเองจนสิ้นสติ”
“ช่างขายหน้านัก” อาวุโสสองออกปากอย่างขัดใจ
“แล้วไปเถอะ เจ้าถอยไป ข้าจะช่วยถอนพิษให้แก่มัน หากชักช้าไปจะยุ่งยากมากแล้ว” อาวุโสสองกล่าวจบคำ ฉินจิ่วเกอล่าถอยไปประตูข้าง แอบอยู่หลังประตูมองดูด้วยความระมัดระวัง
การถอนพิษยาระดับนี้ แน่นอนว่าขั้นตอนย่อมต้องมีชีวิตชีวายิ่ง โดยเฉพาะอาวุโสสองมีพลังฝีมือสุดหยั่ง เมื่อช่วยเหลืออาวุโสสองทะลวงเจ็ดจุดแปดชีพจร เปรียบกับนิยายน่าเบื่อพวกนั้นย่อมเปี่ยมสีสันกว่ากันมาก
ฉินจิ่วเกอพกความอยากรู้เต็มเปี่ยมแอบอยู่หลังประตูด้านนอกคอยเฝ้ามองอย่างระวัง ด้วยเกรงว่าจะรบกวนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
อาวุโสสองเลิกชายอาภรณ์ ถกชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นสูง ปลายเท้าวาดออกคล้ายกำลังฝึกไท่จี๋ ดูแล้วช่างน่าเลื่อมใสสุดจะกล่าว พลังชี่หมุนเวียนจากจุดตันเถียน ไอวิญญาณฟ้าดินไหลโคจรทั่วร่าง ดวงตาพยัคฆ์ควบผนึก ใครเห็นเป็นต้องยืนทึ่งด้วยความยำเกรง
“ยอดฝีมือ นี่ก็คือยอดฝีมือ” เพียงแค่มองดูท่าร่างของอาวุโสสอง ฉินจิ่วเกอก็ต้องสั่นศีรษะถอนใจอย่างชื่นชม แม้จะไม่เข้าใจว่าอาวุโสสองตั้งใจจะทำอะไร แต่ความรู้สึกบอกมันว่าต้องยอดเยี่ยมกระเทียมดองเป็นแน่แท้
“ฮ่าห์!” ไอปราณแผ่พุ่ง ต้นขาแข็งเกร็ง ฝ่าเท้ากระแทกลงเบื้องล่างอย่างหนักหน่วง
เกิดเสียงทึบทึมขึ้นคราหนึ่ง ฝ่าเท้าของอาวุโสสองเหยียบลงกลางลำตัวของอาวุโสสี่อย่างถนัดถนี่ พื้นดินถึงกับส่ายไหวเล็กน้อย
“อย่าบอกนะว่า อาวุโสสี่เองก็เป็นพวกที่มารดาของมารดาไม่เหลียวปู่ย่าตาทวดล้วนไม่แลเหมือนกัน?” ฉินจิ่วเกอที่ยืนเกาะกำแพงอยู่วงนอกเอ่ยรำพึงกับตัวเอง วิธีการถอนพิษของอาวุโสสองช่างแปลกใหม่ไม่เหมือนใครโดยแท้
แล้วอาวุโสสองก็เดินหน้าตามกลยุทธ์เดิม กระทุ้งส้นเท้าลงกลางท้องของอาวุโสสี่อีกครั้ง
“เจ้าตัวขายหน้า ยังไม่รีบสำลักเอาพิษออกมาอีก!” อาวุโสสองพูดจบก็วาดมือวาดเท้าไม่หยุด จนเริ่มจะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังกระทืบอาวุโสสี่อยู่อย่างไรอย่างนั้น
“แค่กๆๆ” ทันใดนั้นอาวุโสสี่ก็สะดุ้งตื่นจากความตาย สองขาปัดป่ายไปมา มือไม้แข็งเกร็ง หากท้ายที่สุดก็คอตกสัปหงกไปอีกรอบ
“น่ากลัวเกินไปแล้ว พรรคหลิงเซียวแห่งนี้นับเป็นสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้นโดยแท้” ฉินจิ่วเกอเอ่ยด้วยความหวาดกลัวจับจิต หากอาวุโสสี่ได้สติขึ้นมาเมื่อไร จุดจบของตนคงไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายนัก
สถานที่มิอาจอยู่ มิสู้จรลีไปให้ไกล
ฉินจิ่วเกอที่พบเห็นภาพนี้ตั้งใจว่าจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่กระไรนั่นจะมีค่าสักเท่าใดเชียว รักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้สำคัญกว่า
“พรวด!” เมื่อทานรับการระดมโจมตีต่อไปไม่ไหว ก่อนที่จะขาดใจตายอีกเพียงนิดเดียว อาวุโสสี่ท้ายที่สุดก็สำลักเอายาพิษที่เหลือเพียงครึ่งเม็ดออกมาจนได้
“ศิษย์พี่ ยั้งมือก่อน” อาวุโสสี่ที่เหลือเพียงครึ่งชีวิตอ้อนวอนเสียงเปลี้ย
“ยั้งมือแล้วเจ้าจะจำหรือ?” อาวุโสสองดวงตาคุด้วยโทสะ เอ่ยด้วยความพิโรธโกรธา “ครั้งนี้เจ้ารนหาที่ตายโดยแท้ หากไม่ใช่พบได้ทันเวลา ป่านนี้เจ้าได้ไปเกิดใหม่แล้ว”
“ข้า ข้า” อาวุโสสี่เอ่ยได้เพียงสองคำก็ต้องยกมือกุมท้องกุมศีรษะเสียก่อน
แล้วภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าก็ประเดประดังเข้ามา อาวุโสสี่ทะลึ่งกายขึ้นพรวด สองมือในแขนเสื้อกำเข้าหากันจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
“เจ้าเด็กเหลือขอนั่นอยู่ไหน? บิดาจะถลกหนังมันทั้งเป็น!” ภายในห้อง เสียงของอาวุโสสี่ดังทะลวงไปถึงสรวงสวรรค์
“สมน้ำหน้า!” อาวุโสสองลงมือไม่ยั้ง ไม่ทราบหมายถึงศิษย์น้องผู้น่าผิดหวัง หรือฉินจิ่วเกอผู้ทำผิดไม่อาจพบพานคนนั้นกันแน่
อาวุโสสี่กลอกดวงตาไปมา อาจบางทีเพราะเกรงต่ออาจารย์ของฉินจิ่วเกอ อาวุโสสี่จึงมิได้พุ่งเข้าใส่ฆาตกรชนแล้วหนีในทันที ก่อนที่มันจะได้สติฟื้นคืนมา บุรุษหนุ่มหล่อเหลาสง่างามตามธรรมชาติที่นอกประตูก็อันตรธานหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
“แล้วไปเถอะ พวกเราคิดลงมือต่อมันก็ไม่สะดวก ผู้อาวุโสของพรรคลงไม้ลงมือต่อศิษย์เอก หากเรื่องราวแพร่ออกไปมีแต่จะเสื่อมเสียเกียรติภูมิของสำนัก” อาวุโสสองลูบเครายาว ท่วงท่าใจกว้างสมเป็นยอดคนแห่งยุค
“ท่านจะให้ข้าละเว้นมันได้ยังไง เห็นอยู่ว่ามันมีเจตนาแก้แค้นข้า” อาวุโสสี่อับอายยังไม่ชำระ ในใจขุ่นข้องไม่คลาย
อาวุโสสองหัวร่อเหอเหอสองคำ ปิดตาครุ่นคิดชั่วขณะ ริมฝีปากเหยียดออก วาจาติดอยู่ปลายลิ้นไม่อาจกล่าวออกไป
“เจ้าเด็กนั่นยามปกติโง่เขลาเบาปัญญา ไหนเลยจะมีความคิดและความกล้าปานนั้น”
ผ่านไปชั่วครู่ อาวุโสสี่จึงหัวร่อออกมาคำหนึ่ง กล้ำกลืนยอมรับว่าตนเองดวงจู๋
“ถือว่าแล้วต่อกันเพียงเท่านี้เถอะ เมื่อครู่ตอนข้าเหยียบเจ้าไปสองเท้า ที่จริงถ่ายทอดพลังวิญญาณเต๋าให้แก่เจ้าแล้ว รีบหยิบยืมพลังฝึกปรือของข้า ชำระล้างพิษร้ายที่ตกค้างในร่าง สำหรับเจ้าเด็กน้อยนั้น รอจนศิษย์พี่ออกจากการบำเพ็ญเพียรแล้วค่อยว่ากล่าว”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวจริงจัง อาวุโสสองและอาวุโสสี่พลันสีหน้าเย็นเยียบ ท่วงทีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“วันนั้น ข้าตรวจสอบเด็กน้อยนั่นแล้วแท้ๆ พบว่าชีพจรเสียหาย ลมหายใจขาดสิ้น นับว่าตกตายแล้ว พวกเราล้วนเปี่ยมประสบการณ์ เด็กน้อยขอบเขตหลอมวิญญาณ ต่อให้พลังฝึกปรืออ่อนด้อยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายตัวเองถึงชีวิต ข้าว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
อาวุโสสี่ลดเสียงเบา ยืนยันว่านอกกำแพงไร้หูตา ค่อยเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ความหมายของศิษย์พี่คือ มันถูกคนลอบลงมือ?”
“ข้าคาดเดาว่ามันต้องถูกยอดคนท่านใดโจมตีถึงชีวิต ผู้ลงมือไม่ถูกพวกเราพบเห็น คิดดูแล้วคงมีระดับพลังขั้นวิสุทธิ์หรือกลั่นดวงธาตุ เด็กน้อยนั้นแม้อยู่ในพรรคไม่มีผู้คนชมชอบ แต่ย่อมไม่มีทางชักนำยอดคนระดับนั้นมาลงมือได้แน่นอน”
อาวุโสสองทำการสืบเสาะค้นหามาหลายวัน สังหรณ์ว่าผู้ลงมือต้องอยู่ในพรรค ซุ่มซ่อนเป็นคลื่นใต้น้ำ รอโอกาสลอบเคลื่อนไหวก่อกวน
“ดูท่าฝั่งตรงข้ามมาเพราะพวกเรา” อาวุโสสี่ใบหน้าเปี่ยมความวิตก มิใช่เกรงกลัวอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือขั้นกลั่นดวงธาตุ แต่กังวลว่าเบื้องหลังของศัตรูจะเป็นบึงน้ำลึกสุดหยั่ง
“วันนั้นข้าตรวจสอบอย่างชัดเจน เด็กน้อยนั้นลมหายใจขาดห้วงแล้ว ต่อให้สุดยอดฝีมือยังไม่อาจรอดตายได้ แต่แปลกประหลาดแท้ เด็กน้อยนั่นกลับยังรอดชีวิต ทั้งเมื่อครู่ข้าเพิ่งตรวจสอบชีพจรของมัน ทั้งหมดล้วนเชื่อมต่อกันสิ้น ไร้ซึ่งร่องรอยของการถูกทำลาย”
เมื่อคิดถึงความผิดปกติบนร่างของฉินจิ่วเกอ สามารถเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ อาวุโสสี่คิดว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา วารีลึกล้ำสุดหยั่งคาด
สองอาวุโสย่อมไม่อาจคาดคิดถึง ฉินจิ่วเกอข้ามภพเข้ามาอยู่ในร่างโชคร้ายนี้
เมื่อผ่านการหารือ อาวุโสสองตัดสินใจจับตาดูฉินจิ่วเกอ ไม่แน่ว่าอาจค้นพบเบาะแสของคลื่นใต้น้ำลูกนั้น
ลมย่อมสาดซัดก่อนฝนมา ในพรรคหลิงเซียว กลับมีคลื่นใต้น้ำก่อหวอด…
ก่อนอาวุโสสี่จะคืนสติ ฉินจิ่วเกอที่เห็นท่าไม่ดี ลอบหลบหนีกลับมายังห้องหับของตน
มันเร่งเก็บข้าวเก็บของ รวมเป็นศิลาวิญญาณก้อนใหญ่หลายก้อน หนักถึงสี่ห้าจิน
ศิลาวิญญาณเป็นทรัพยากรสำคัญในการช่วยผู้ฝึกตนฝึกฝีมือ เทียบได้กับเงินตราที่เอาไว้จับจ่ายใช้สอย
ศิลาวิญญาณที่หนักสี่ห้าจินนี้คือทุนทรัพย์ที่ฉินจิ่วเกอเก็บหอมรอมริบมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด
ว่าก็ว่าเถอะเจ้าของร่างคนก่อนช่างน่านัก อุตส่าห์ฮุบเอาทรัพยากรของพรรคไว้ไม่น้อย หมดไปกับการฝึกวรยุทธ์ก็มาก หากทำได้แค่บรรลุขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้า
พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสังขารนี้ไม่เหมาะแก่การฝึกปรือเลยแม้แต่นิดเดียว
หยิบจับเสื้อผ้ามาใส่จนมีสภาพไม่ต่างจากโจรขโมยบุปผา ฉินจิ่วเกอก็ค่อยๆ ย่องดอดออกจากพรรค
ด้วยศิลาวิญญาณในอ้อมอก ฉินจิ่วเกอหน้าบานเป็นกระด้ง บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าให้พูดคงเหมือนเด็กที่กำลังจะหนีออกจากบ้าน
“นับแต่นี้ข้าต้องออกไปท่องยุทธภพเพียงลำพัง อาศัยทุนทรัพย์จางๆ จุนเจือชีวิต” พูดพลางถอนใจพลาง ก่อนหันกลับไปมองบรรพตสูงชันของสำนักฝ่ายในคล้ายอาลัยอาวรณ์ “พรรคหลิงเซียว หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก คิดแล้วก็โมโห ช่วงที่ข้าไม่อยู่ลั่วเฉินเจ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่นคงฮุบตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของข้าไปแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ในฐานะศิษย์เอกของสำนักฝ่ายใน ฉินจิ่วเกอย่อมรู้ว่ามีเส้นทางเล็กๆ ที่นำออกไปนอกพรรคอยู่ เส้นทางสายนี้ไม่มีใครรู้นอกจากมัน สืบเนื่องจากความผิดติดตัว พ่วงด้วยของโจรที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม ทำให้มันไม่กล้าเดินออกทางประตูหน้า แต่ต้องแอบย่องออกจากประตูหลังเช่นนี้
ร่ำสุราร้องเพลงท้าดวงตะวัน พกความอ่อนเยาว์กลับสู่ภูมิลำเนา
ให้แคล้วคลาดปลอดภัยตลอดสาย สองรายทางปราศจากอุปสรรค
ฟ้าสว่างลมรำเพย พสุธาไร้วี่แววมวลมนุษย์ นี่ก็คือความรู้สึกของฉินจิ่วเกอในเวลานี้
ไกลออกไปปรากฏสะพานข้ามแม่น้ำที่สร้างขึ้นจากไผ่ขึ้นแห่งหนึ่ง ข้ามสะพานไปก็จะพ้นออกนอกเขตความดูแลของพรรคหลิงเซียวแล้ว
เห็นสะพานไผ่ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ ฉินจิ่วเกอก็รีบสาวเท้ามุ่งเข้าหา
หากก้าวพ้นสะพานไม้ไผ่ ก็ถือเป็นการออกจากพรรคหลิงเซียว จากนี้ไปได้เวลาเหินนภาดุจปักษา ท่องทะเลกว้างดั่งมัจฉา!
เดินมาถึงกลางสะพาน ฉินจิ่วเกอหันกลับไปมองประตูพรรคที่เห็นอยู่หางตา กระชับศิลาวิญญาณอันเป็นที่รักของผู้คนในอ้อมอก
“ไอ้โหยว ของรักของข้า ชีวิตข้าหลังนี้ต้องพึ่งพาพวกเจ้าแล้ว” ฉินจิ่วเกอพร่ำพรรณากับศิลาวิญญาณเหล่านั้น ยื่นปากออกทำท่าจุมพิต
สวรรค์ไม่ละเว้นคนบาป ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังจะหลบหนีความผิด ที่ผิวน้ำอันสงัดไร้ระลอก พลันปรากฏสายลมแรงดั่งฟ้าลั่น กรรโชกใส่บรรดาหญ้าที่สูงราวครึ่งคนเหล่านั้น
ฉินจิ่วเกอที่บนสะพานถูกลมม้วนเข้าใส่เต็มรักจนคนซวนเซไปมา
สะพานไม้ไผ่อายุมากปราศจากการซ่อมแซม ส่ายไปไหวมา ศิลาวิญญาณในอ้อมอกก็พลัดหลุดมือ ตกลงไปเป็นอาหารแก่ปลาเล็กปลาน้อยในน้ำหมดสิ้น
“ของรักของข้า!” ฉินจิ่วเกอที่เห็นศิลาวิญญาณร่วงลงไปในน้ำคาตา ความอาดูรสิ้นหวังพลุ่งพล่าน ร่ำๆ จะกระโจนตามลงไป
ผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวไม่รอให้ฉินจิ่วเกอกระโดดลงไป พลันปรากฏแสงสะท้อนสีทองพร้อมเงาคนผุดโผล่ขึ้น จากนั้นเป็นคนผู้หนึ่งเหินร่างขึ้นจากน้ำ ชนเข้าใส่เบื้องหน้าฉินจิ่วเกอ
อีกฝ่ายหนึ่งร่างกายแข็งแกร่ง หนังโลหะกระดูกเหล็ก ทะยานขึ้นจากน้ำราวหงส์เหินเก้าชั้นฟ้า พาฉินจิ่วเกอนกกระจอกกระจ้อยร่อยไปถึงฝั่ง
เมื่อถูกทิ้งร่างลงบนผืนหญ้าอ่อนนุ่ม ฉินจิ่วเกอไม่ทันปัดเช็ดเศษดินเศษหญ้า ก็หลั่งน้ำตาออกมาที่ตรงนั้น ความหวังของมัน อนาคตของมัน เพิ่งถูกทำลายทิ้งไปอย่างอำมหิต