เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 42 อันใดคือบ้าน
ชื่อเสียงภายในพรรคของตนมีแต่จะย่ำแย่ถอยลง ตรงข้าม ศิษย์น้องรองลั่วเฉินกลับได้ดิบได้ดีขึ้นทุกวัน
เจ้าของร่างคนก่อนธาตุไฟแตก บัลลังก์ศิษย์พี่ใหญ่จึงโยกย้ายทำท่าจะตกอยู่ในมือของลั่วเฉิน แต่เป็นเพราะฉินจิ่วเกอข้ามภพมา บัลลังก์ทองจึงปลิวไปอีกครั้ง
หัวหน้าอาวุโสเมื่อออกจากด่าน ก็ล่วงรู้ถึงเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในพรรคตลอดเวลาห้าปีทั้งหมด
ดังนั้น มันจึงได้ออกตามหาตัวฉินจิ่วเกอด้วยตัวเอง หวังว่าจะคิดบัญชี
เห็นได้ว่า แม้แต่ยามหัวหน้าอาวุโสไม่ออกด่าน อาวุโสสองยังไม่กล้าหยิบยกเรื่องเปลี่ยนตำแหน่งฉินจิ่วเกอขึ้นมาพูด ด้วยกลัวว่าศิษย์พี่ผู้รักศิษย์คนนี้จะเอารองเท้าทาบหน้า
ศิษย์พี่ของมันออกด่านคราวนี้ อาวุโสสองรู้สึกว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว
เด็กน้อยลั่วเฉินผู้นี้ เคารพอาจารย์ ประพฤติตามทำนองคลองธรรม ทั้งพรสวรรค์ก็สูงส่งโดดเด่น ยามนี้บรรลุชั้นปราณสุริยันขั้นกลางแล้ว บัลลังก์ศิษย์พี่ใหญ่ของฉินจิ่วเกอที่ฝืนนั่งอยู่สมควรลอยหลุดจากก้นไปได้เสียที
“อา ศิษย์รักเอย ห้าปีนี้ในพรรคเกิดเรื่องราวสั่นฟ้าสะเทือนดิน อาจารย์ต้องยินดีกับเจ้าจริงๆ”
อาวุโสใหญ่ยื่นมือออกบีบแก้มของฉินจิ่วเกอ ฝ่ามือนวดคลึงดึงบี้จนใบหน้าแทบเป็นวงกลม
มันตรวจสอบดูภายในร่างของฉินจิ่วเกออย่างละเอียด ชีพจรเส้นเอ็นไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ แม้แต่กระผีก ยิ่งสำหรับพลังฝีมือ กลับบรรลุชั้นปราณสุริยันขั้นต้นแล้ว
น่าประหลาด น้องสองไหนบอกว่ามันถูกธาตุไฟเข้าแทรก หรือมันมีจิตเจตนาอื่นแอบแฝง?
ในสายตาของคนนอก สองศิษย์อาจารย์สัมพันธ์น้ำใจลึกซึ้ง แววตาอาวุโสใหญ่ทอแววรักใคร่เอ็นดู บีบจมูกฉินจิ่วเกอจนแทบลากลงมาถึงคาง ยังดึงใบหูจนแทบมาปิดถึงดวงตา
นี่ไม่ใช่การจับใบหน้า นี่มันเล่นปั้นดินน้ำมันชัดๆ
ผู้คนทั้งหลายคล้ายถูกกระตุ้นความเป็นเด็กขึ้นมา พลันรู้สึกอยากก้าวออกไปบิดดูบ้างสักครั้ง คงรู้สึกดียิ่ง
“ผู้เยาว์ซ่งเล่อ คารวะผู้อาวุโส” ซ่งเล่อเสนอหน้าออกมาสร้างความคุ้นเคย ในใจมันลอบบ่นว่าฉินจิ่วเกอ ที่แท้มีอาจารย์ร้ายกาจปานนี้ ยังเสแสร้งแกล้งจนปนโง่เขลา เกินไปหน่อยกระมัง
“ที่แท้เป็นสหายของศิษย์รัก พรสวรรค์ไม่เลว ประเสริฐ” อาวุโสใหญ่ในที่สุดก็ละมือมารออกจากใบหน้าของฉินจิ่วเกอ
“ขอบคุณผู้อาวุโสชมเชย” ซ่งเล่อยินดียิ่ง สามารถได้รับคำสรรเสริญจากยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุผู้กล้าแกร่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย
“อืม” อาวุโสใหญ่มองดูแววตาซ่งเล่อ เปรียบกับฉินจิ่วเกอยังสบายตากว่า “เราในฐานะอาวุโสไม่มีใดจะกำนัลแก่เจ้า นี่เป็นศิลาวิญญาณสองพันห้าร้อยก้อน มอบแก่เจ้า”
อาวุโสใหญ่มอบศิลาวิญญาณพร้อมแหวนมิติ ทั้งหมดแก่ซ่งเล่อ
สำหรับกับมันแล้ว ศิลาวิญญาณไม่มีประโยชน์ใช้สอยเท่าใด ส่วนศิลาวิญญาณอีกสองพันห้าร้อยก้อนที่เหลือ อาวุโสใหญ่ส่งมอบแก่ผู้นำตระกูลทั้งสี่และผู้ที่ร่วมขบวนปราบโจรอสูร
ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
ซ่งเล่อริมฝีปากฉีกถึงท้ายทอย สองพันห้าร้อยศิลาวิญญาณเชียวนะ มากมายปานนี้สามารถถมทับผู้คนจนตายได้
ก่อนหน้านี้ ทั้งหมดที่ถูกพี่ฉินริบเอาไปถือว่าได้คืนมาแล้ว
ครานี้ ฉินจิ่วเกอดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที
ห้าพันศิลาวิญญาณนะ กระทั่งแหวนมิติที่มูลค่าหลายศิลาวิญญาณยังประทานแก่ผู้อื่นไป ช่างร่ำรวยจนข้าเจ็บปวดใจนัก
ส่วนอาวุโสมู่หยวนที่ไกลออกไป มันเองก็กลายเป็นตาแดงก่ำ แม้แต่หยาดน้ำสุกใสวาววับที่เอ่อคลอนัยน์ตายังกลอกกลิ้งอยู่ก่อนฉินจิ่วเกออีก
ฉินจิ่วเกอทราบดีถึงสาเหตุ ผู้ใดไม่ทราบว่าห้าพันศิลาวิญญาณนั้นล้วนปลิวออกจากกระเป๋าของอาวุโสมู่หยวนเอง ช่างโชคร้ายนัก
ซ่งเล่อที่รับเจตนาดีของอาจารย์สหายมา มันยังรู้จักออกปากสรรเสริญความยอดเยี่ยมของฉินจิ่วเกอ บรรยายสรรพคุณอันเหนือชั้นที่มันใช้ต่อกรกับศัตรูอย่างไหลลื่น อาวุโสใหญ่เมื่อได้ฟัง ต้องมองศิษย์รักด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยนี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ
“เจ้าเด็กร้ายกาจ”
อาวุโสใหญ่ตบใส่ฉินจิ่วเกอเต็มฝ่ามือ แทบฟาดมันจนขาดใจตาย ถ่ายทอดความตื่นเต้นยินดีของอาจารย์ที่หวังศิษย์แปลงมังกรของมันออกมาอย่างชัดเจน “ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจว่าเจ้าเพียงเป็นเจ้าแตงกวาหน้าหนาจอมละโมบเท่านั้น ไม่คิดเลย ตอนนี้เจ้าเติบใหญ่ กลายเป็นวีรบุรุษเซ่อๆ ซ่าๆ สติไม่เต็มเต็งไปแล้ว”
ฉินจิ่วเกอใบหน้ากล้ำกลืนจากคำชมที่ช่วยฉีกหน้ามันออกมา “อาจารย์ คำขยายตามมาของวีรบุรุษนั่น ข้าว่าตัดออกจะดีกว่า?”
ทุกคนหัวเราะดังลั่น และอำลาจากกันด้วยประการฉะนี้
อาวุโสใหญ่คว้าร่างฉินจิ่วเกอเหินขึ้นฟ้า และกลับพรรคหลิงเซียวด้วยลักษณะเช่นนี้ไปตลอดทาง ฉินจิ่วเกอจึงได้ลิ้มรสว่ามนุษย์นกเป็นเช่นไร
นี่ทำให้ฉินจิ่วเกอยิ่งปรารถนาในพลังมากขึ้นไปอีก
ไม่หวังว่าจะได้มีชีวิตยืนยาวจนแก่ชราหรืออยู่ยืนยาวจนกลายเป็นบรรพชน แค่ได้ท่องไปอย่างอิสระในท้องนภาก็ถือว่าประเสริฐมากแล้ว
โลกหล้ากว้างไกลไร้ขอบเขต ทำตามที่ใจปรารถนา!
อาวุโสใหญ่หยิบโอสถระดับห้าออกมาให้ฉินจิ่วเกอ บอกว่าตอนนี้มันแตะขอบเขตปราณสุริยันขั้นกลางแล้ว ขอเพียงใช้โอสถเม็ดนี้ สมควรทะลวงด่านต่อไปได้เลย
ฉินจิ่วเกอลอบยินดีในใจ การที่มีขุนเขายิ่งใหญ่หนุนหลังตนเองเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องประเสริฐเพริศแพร้วนัก
รอจนตนเองบรรลุปราณสุริยันขั้นกลางเมื่อไร ดูซิว่าเจ้าหน้าขาวลั่วเฉินนั่นจะยังขวัญกล้าตอแยกับตนอีกหรือไม่
ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว เพียงมีแต่ตนเองเป็นได้เท่านั้น ผู้ใดให้อาจารย์ของมันเป็นแม่ลูกอ่อนเล่า?
ระหว่างการเหินบิน อาวุโสใหญ่ถามขึ้นลอยๆ “ศิษย์รัก ศิษย์น้องข้าบอกว่าไม่กี่เดือนก่อน เจ้าธาตุไฟเข้าแทรก ถูกมารสิงสู่?”
เรื่องประดานี้ ต่อให้เป็นถึงระดับยอดคนกลั่นดวงธาตุ หากประสบเข้ายังต้องอับจนหนทาง มารในใจ เป็นคำที่น่าหวาดหวั่นถึงระดับไหน ผู้เข้มแข็งทรงเกียรติภูมิเกริกไกรนับไม่ถ้วน ยังมิใช่พ่ายแพ้แก่มารในใจตนเองหรือ
อำนาจของจิตมาร ยังน่าหวาดกลัวกว่ามายาหลอนจากดอกพลับพลึงแดงนับร้อยเท่า เมื่อติดกับดัก นอกจากต้องพึ่งพาตัวของตัวเอง ไม่มีหนทางอื่นอีก
“เป็นเช่นนั้นจริง” ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะอย่างว่าง่าย หากไม่เอ่ยอันใดมากความ
อาวุโสใหญ่ยังไม่ทราบ ศิษย์สุดรักของมันที่จริงไปสวรรค์แล้ว สังขารที่มันมองเห็นแม้ยังอยู่ หากวิญญาณถูกเปลี่ยนเป็นฉินจิ่วเกอไปนานแล้ว ไม่อาจเรียกว่าเป็นการยึดครองร่าง เพียงสามารถเรียกเป็นการผสานชนิดหนึ่ง ประดุจดั่งหยินหยางเกื้อหนุน กำเนิดไท่จี๋
“เจ้า ไม่เป็นไร?” อาวุโสใหญ่คิดไม่ตก ยามฉินจิ่วเกอถูกธาตุไฟผลาญมารเข้าแทรก ตลอดทั้งพรรคหลิงเซียวกลับไม่มีความผิดปกติ
หลังฉินจิ่วเกอตกตาย อาวุโสสองจึงมาพบเข้า ตอนนั้น ร่างของมันเย็นชืดแล้ว
ทั้งอาวุโสสองยังสัตย์สาบานเป็นมั่นเหมาะ ฉินจิ่วเกอชีพจรเส้นเอ็นทั่วร่างฉีกขาด หัวใจแตกสลาย ต่อให้เทพต้าหลอจินมาเองยังช่วยไว้ไม่ได้
ขอบคุณท่านอาจารย์เป็นห่วงกังวล ศิษย์โชคนำพาวาสนาไม่สิ้น ชะตายังไม่ถึงฆาต ไม่เพียงไม่เป็นไร ครั้งนี้ออกมาภายนอกยังได้รับวาสนาเล็กน้อย รอจนกลับถึงพรรค ศิษย์จะมุมานะฝึกปรือ ให้ท่านอาจารย์ได้เชิดหน้าชูตา” ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างเปี่ยมความกตัญญู
“ข้าได้ฟังมาว่า เจ้ากำจัดชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาล การลงมืออาศัยโชคช่วยอย่างมาก หากอีกฝ่ายมีการเตรียมพร้อมรับมืออยู่บ้าง เจ้าย่อมไม่อาจฆ่ามันได้ในกระบวนท่าเดียว คนที่ตกตายจะกลายเป็นเจ้าแทน”
อาวุโสใหญ่เกรงฉินจิ่วเกอจะหลงระเริง จึงไม่แสดงความสนใจเท่าใดนัก
เพียงถือเป็นโชคช่วยของฉินจิ่วเกอ นับแต่ยังเยาว์วัยจนเติบใหญ่ มันมั่นใจในข้อนี้ของศิษย์รักยิ่ง
เพื่อไม่ให้ตนเองดูอวดโอ่ลำพองมากเกินไป ฉินจิ่วเกอปั้นเรื่องหลอกลวงออกมารอบหนึ่ง “ที่จริงยามศิษย์ธาตุไฟผลาญมารเข้าแทรก เดิมทีชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ขณะอยู่ในโลกอันมืดมิด ห้วงจิตกลับไปถึงห้วงมิติอันประหลาดพิกล”
“เอ๋?” หมื่นล้านจักรวาล ไม่มีใดเป็นไปไม่ได้ อาวุโสใหญ่เงี่ยหูตั้งใจฟัง
“ห้วงมิตินั้น ขุนเขาไร้แมกไม้ พื้นดินไร้ก้อนหิน ท้องนภาไร้แสงสว่าง ลำธารปราศจากน้ำ พร้อมกันนั้นจู่ๆ ปรากฏผู้เข้มแข็งท่านหนึ่ง กล่าวว่าศิษย์บำเพ็ญกุศลมาตลอดชีวิต ยังไม่ถึงที่ตาย ดังนั้นมอบยาเม็ดหวนคืนมาเม็ดหนึ่ง ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ไปเลย ปิ๊กาจู้!” ”
อาวุโสใหญ่แย้มยิ้มเล็กน้อย “มีเรื่องประหลาดเช่นนั้น? ปิ๊กาจู้คือสิ่งใด?”
“ศิษย์ก็ไม่ทราบ เพียงทราบว่าหลังตื่นขึ้นมา อาการบาดเจ็บหนักทั้งหลายล้วนหายสนิท เพียงลืมเลือนเรื่องราวไปไม่น้อย”
อาวุโสใหญ่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงในเชิงลึก มีเรื่องบางประการ เพียงฟังผ่านๆ หู ฉินจิ่วเกอเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดล้วนประเสริฐแล้ว
“มีเกิดมีดับ เมื่อพบพานย่อมมีวาสนา สามารถรักษาชีวิตกลับมาถือว่าไม่ง่ายดาย เรื่องราวอื่นหากลืมเลือนไปล้วนไม่สำคัญ” คนคล้ายพลันคิดอันใดออก อาวุโสใหญ่คว้าคือเสื้อฉินจิ่วเกอ อีกฝ่ามือล้วงของขวัญที่ตระเตรียมมอบให้ไว้แต่นานแล้วออกมา
“รับ!”
แหวนมิติเรียบง่ายเกิดระลอกขึ้นเล็กน้อย ตามมาด้วยกระบี่หนักสีดำสนิทเล่มหนึ่ง กว้างครึ่งตัวคน บนนั้นมีลวดลายวารีและวายุสลักเอาไว้
ประกายเยียบเย็นสาดส่อง คมคายคล้ายทื่อด้าน ตัวกระบี่ไม่เข้าตา มองไกลๆ นึกว่าเป็นฝาปิดโลงศพครึ่งท่อน
มีแต่ตอนที่อยู่ใกล้กระบี่เล่มนี้ จึงจะรับรู้ได้ถึงพลังที่แฝงเอาไว้ เป็นพลังที่มากมายพอตัดทองหั่นหยก
ฉินจิ่วเกอตาสาดประกายวาบ “อาวุธเต๋า!”
เหนือกว่าศาสตราวิเศษก็คืออาวุธเต๋า ต่อให้เป็นอาวุธเต๋าที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็มีมูลค่าหลายพันศิลาวิญญาณ
“มิผิด เป็นอาวุธเต๋าขั้นต้น ข้าหลอมมันขึ้นตอนปิดด่าน ตั้งใจว่าจะให้เจ้าเป็นของขวัญ เจ้าหากคิดล้มเจ้าเด็กลั่วเฉินนั่นลงให้ได้ กระบี่ไร้คมเล่มอาจมีส่วนช่วยเหลือเจ้า”
อาวุโสใหญ่ลูบศีรษะฉินจิ่วเกออย่างรักใคร่ เจ้าเด็กคนนี้ น่าเอ็นดูกว่าตอนที่ข้าปิดด่านมากทีเดียว
ดูเหมือนตอนที่ข้าไม่อยู่ห้าปี เจ้าจะโตขึ้นมาก
มันเห็นฉินจิ่วเกอเป็นดั่งลูกในไส้มาแต่แรก เพราะงั้นจึงอดที่จะปลื้มใจไม่ได้
ฉินจิ่วเกอลูบกระบี่ไร้คมไปมาด้วยนัยน์ตาที่ทอประกายเจิดจ้าไม่หยุด ก่อนจะลอบถอนหายใจ น้ำหนักของกระบี่เล่มนี้อย่างน้อยๆ ก็ปาเข้าไปห้าร้อยจิน ตัวกระบี่หลอมขึ้นจากเหล็กวิญญาณสวรรค์อันบริสุทธิ์
อาวุโสใหญ่แม้จะเป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุผู้ทรงภูมิ แต่ก็ไม่ใช่นักหลอมศาสตรา สามารถหลอมอาวุธเต๋าขั้นต้นออกมาได้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
กระบี่ไร้คมเล่มนี้อยู่ข้างกายอาวุโสใหญ่ตลอดการปิดด่านของมัน ตัวกระบี่มีลวดลายดวงธาตุสีทองตลอดทั้งเล่ม พลังทำลายล้างย่อมเหนือธรรมดา
“กลับไปแล้วเจ้าก็ทำพิธีกรีดเลือดยอมรับนายซะ ทำเช่นนี้เจ้าก็จะเก็บกระบี่ไร้คมไว้ในจุดตันเถียนของตัวเองได้ ต่อไปยามฝึกปรือเจ้าต้องรอบคอบไว้ก่อน ข้าจะยังไม่ปิดด่านอีกครั้งเร็วๆ นี้ เพราะงั้นหากมีปัญหาอะไรก็ให้มาถามข้าทันที”
ความแตกต่างระหว่างอาวุธเต๋าและศาสตราวิเศษ นอกจากคุณภาพ อาวุธเต๋ายังสามารถเก็บไว้ในจุดตันเถียนผ่านการกรีดเลือดยอมรับนายได้อีกด้วย
พอได้ฟังสิ่งที่อาวุโสใหญ่กล่าว มือที่กุมกระบี่ไร้คมของฉินจิ่วเกอก็กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปลายจมูกเริ่มตื้อขึ้นมาด้วยความซาบซึ้ง
นับแต่มาถึงโลกอันวิเวกแห่งนี้ มันไม่มีทั้งสหาย ไม่มีทั้งครอบครัว
ยามที่คนเราต้องย้ายมาอยู่ในสถานที่ที่แปลกไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่นิดเดียว ย่อมบังเกิดความสับสน อับจนหนทาง เหมือนจอกแหนที่ไร้ราก ไม่ทราบควรทำอย่างไรต่อไป
ฉินจิ่วเกอเป็นเหมือนพวกนอกรีตในทวีปฉงหลิงแห่งนี้ แรกเริ่มมันไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยทักทายผู้คน ได้แต่พยายามปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้คนในโลกนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ถูกคนเพ่งเล็ง
ฉินจิ่วเกอตัวลำพัง ทั้งยังยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมาโดยตลอด กระทั่งกลายเป็นคนเสียสติในสายตาของผู้อื่นไป
จนกระทั่งมันรับรู้ได้ถึงความห่วงหาจากอาวุโสใหญ่ เป็นความรักที่มีแต่ให้โดยไม่หวังใดตอบแทนอย่างแท้จริง ความอ่อนโยนที่มันมีต่อผู้เยาว์รุ่นหลัง ล้วนแล้วมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ปราศจากเจตนาอื่นแอบแฝง เป็นครั้งแรกที่ฉินจิ่วเกอได้สัมผัสถึงคำว่าครอบครัวและความรักที่แท้ ความอบอุ่นนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วทุกซอกมุมภายในร่างของมัน รู้สึกเหมือนได้ถือกำเนิดใหม่
มองดูนัยน์ตาที่สุกสกาวดุจดาราของอาวุโสใหญ่ ฉินจิ่วเกอยกมือเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วกล่าวว่า “ลมแรงเป็นบ้า ทรายเข้าตาหมดแล้วเนี่ย”
“ไม่ว่าอินทรีจะบินไปได้สูงสักแค่ไหน เงื้อมเขาชะง่อนผาก็ยังคงเป็นบ้านของพวกมันอยู่ดี ไม่ว่าดวงตะวันจันทรายันดวดารบนฟากฟ้าจะส่องสว่างเพียงไร ตำหนักเก้าสวรรค์ก็จะยังเป็นบ้านของพวกมันเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไร ยามกลับมา ขอแค่มีคนมีแสงสว่าง เท่านั้นก็พอแล้ว”
ยามที่อาวุโสใหญ่เอ่ยวาจาเหล่านี้ ใบหน้าของมันไม่มีวี่แววการเสแสร้งแกล้งทำใดๆ เลยแม้แต่น้อย ความอบอุ่นได้แผ่ซ่านครอบคลุมไปทั่วทุกอณูในที่นี้
มดน้อยเดินกลับรัง สายน้ำไหลคืนกลับห้วงสมุทร ทุกเรื่องราวล้วนต้นกำเนิด และสุดปลายทางของต้นกำเนิดนั้น.. ก็คือบ้าน!
“ท่านอาจารย์ ข้าเป็นศิษย์ของพรรคหลิงเซียว และจะเป็นตลอดไป” ฉินจิ่วเกอในเวลานี้เริ่มมีความผูกพันกับโลกใบนี้ในที่สุด มีทั้งสหาย มีทั้งบ้าน มีสิ่งที่มันต้องปกป้อง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวมันเองก็ตาม
“อืม พรรคหลิงเซียว”
อาวุโสใหญ่วาดฝ่ามือสลายพยับเมฆตรงหน้า
ท่ามกลางสายลมพัดหวน สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาทั้งสาม ทั้งกำแพงและพื้นกระเบื้องทุกแผ่นที่ปรากฏสู่สายตา ทั้งหมดทั้งมวลล้วนให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่สุด
ต้นไม้ทุกต้น หญ้าทุกต้น ล้วนสลักลึกอยู่ในความทรงจำไม่มีวันลืม