เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 4 ข้าเป็นคนดี
“จิตใจตั้งมั่น พากเพียรไม่ย่อท้อ หากต้องการเป็นหนึ่งในใต้หล้า จำต้องทนต่อความเจ็บปวดชนิดที่ปุถุชนคนธรรมดาไม่อาจทานรับไหว เสมือนการฝนทั่งให้เป็นเข็ม!” ภายในห้อง อาวุโสสี่ในที่สุดก็ตกลงปลงใจได้ ขณะเดียวกันก็เตรียมจะรับประทานโอสถสะบั้นชีพให้รู้แล้วรู้รอด มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะทะยานสู่ขอบเขตที่อยู่สูงขึ้นไปได้
โอสถสะบั้นชีพหาใช่ยาพิษทั่วๆ ไป แค่วัตถุดิบเพียงอย่างเดียว ก็ต้องใช้แมลงมีพิษกว่าเจ็ดพันเจ็ดร้อยสี่สิบเก้าชนิด สมุนไพรมีพิษอีกกว่ายี่สิบแปดชนิด บ่มเอาไว้เป็นเวลาสามเดือนจึงจะปรุงออกมาได้สำเร็จ
ไร้สีไร้กลิ่น ยามรับประทานให้รสหอมหวาน แต่กลับสามารถปลิดชีพผู้ฝึกตนขอบเขตปราณสุริยันได้ทันที
แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่อาวุโสสี่ก็ยังใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่กล้าตัดใจกลืนลงไปเสียที
มันคำนวณไปถึงขั้นว่า ก่อนอื่นก็อมทิ้งไว้ในปากแล้วค่อยดูว่ามีพิษมากน้อยเท่าใด พอเตรียมตัวเตรียมใจดีแล้ว ค่อยใช้น้ำลายเข้าช่วยละลาย ดึงดูดเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ
นอกห้อง ฉินจิ่วเกอไม่ได้รู้เลยว่าอาวุโสสี่กำลังทำเรื่องที่ควรค่าแก่การยกย่องเพียงไรอยู่
ในความทรงจำของมัน มีแต่เสินหนงสื้อเท่านั้นที่กล้าอมยาพิษไว้ในปาก คิดไม่ถึงว่าอาวุโสสี่ผู้มีฝีปากดุจอาวุธจะใจกว้างดุจธารา ยอมเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติเช่นนี้
“หนักอะไรขนาดนี้หนอ น่ากลัวว่าจะหนักถึงห้าหกร้อยจินเลยกระมัง” (สองร้อยห้าสิบถึงสามร้อยโล)
เป็นเพราะร่างกายเพิ่งฟื้นตัว ทำให้ฉินจิ่วเกอไม่อาจขับเคลื่อนพลังวิญญาณภายในกายได้ดั่งใจ
นอกจากนี้ มีแต่ผู้ฝึกตนระดับปราณสุริยันเท่านั้นที่เปิดจุดตันเถียนภายในร่างได้
มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้า ปราศจากจุดตันเถียนคอยแจกจ่ายพลังวิญญาณ คิดเคลื่อนย้ายของหนักเช่นนี้อย่างไรก็ยังกินแรงอยู่มาก
คิดแล้วก็นึกถึงศิษย์น้องรองผู้น่าชังนั่น ได้ยินว่าป่านนี้ทะลวงด่านปราณสุริยันไปแล้ว กลับมาคงไม่แคล้ววางอำนาจเขื่องโขไปทั่ว
ขณะกำลังสาปส่งในใจ ฉินจิ่วเกอก็กัดฟันเค้นเรี่ยวแรงหอบหิ้วตะกอนยาที่หนักหลายร้อยจินขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ มุ่งหน้าไปทางประตูพรรคด้วยความระมัดระวัง หากยิ่งคิด ใจก็ยิ่งร้อนรุ่มด้วยโทสะ นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าหน้าตาของเจ้าน้องรองที่น่าชังนั่นเป็นเช่นไร
ขณะกำลังคิดเพลินๆ ปลายเท้าของฉินจิ่วเกอก็สะดุดเอากับก้อนศิลารายทาง คนปลิวไปทาง ตะกร้าใส่ตะกอนยาปลิวไปทาง
แล้วก็เกิดการตรัสรู้ขึ้นมาในวินาทีนั้น: ใจต้องอยู่กับงาน มิอาจว่อกแว่กคิดเรื่องอื่น
สัจธรรมข้อนี้ แลกมาด้วยสันจมูกที่ขึ้นเป็นลำของฉินจิ่วเกอ
“สวรรค์ช่วย!” ขณะล้มหน้าคะมำลงกับพื้น เศษตะกอนที่แข็งดั่งหินผาบางส่วนร่วงตกใส่ศีรษะของฉินจิ่วเกอจนเห็นเดือนเห็นตะวัน
ชายหนุ่มลูบสันจมูกตัวเองป้อยๆ ไอหยา เกือบต้องเสียโฉมแล้วไหมล่ะ รูจมูกมีเลือดกำเดาอุ่นๆ ไหลเจิ่งออกมาทั้งสองข้าง
เสียงร้องของฉินจิ่วเกอแม้อยู่ไกลออกไปร้อยเมตรก็ยังได้ยิน เรียกได้ว่าดังไปถึงสรวงสวรรค์
อาวุโสสี่ที่กำลังเตรียมเอาโอสถสะบั้นชีพใส่ปากอยู่ในห้อง พลันถูกเสียงร้องของฉินจิ่วเกอทำให้สะดุ้งจนมือกระตุก โอสถสีดำพลันหลุดลอยเข้าปากไป
ด้วยแรงส่งมหาศาล ทำให้มันเผลอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
เม็ดยากลมเกลี้ยงไหลผ่านลิ้น แวะทักทายลิ้นไก่ ก่อนจะผลุบหายลงไปในคอหอย
“แค่กๆๆๆ” เคราะห์ดีที่อาวุโสสี่เป็นพวกมือเท้าไว สามารถใช้มือตะครุบคอหอยตัวเองเอาไว้ได้ทัน โอสถสะบั้นชีพจึงไม่มีโอกาสลอดผ่านคอหอยมันลงไป แต่ก็ยังติดคาอยู่ตรงนั้น
“ช่วย.. ช่วยด้วย” เป็นเพราะต้องโก่งคอเอาไว้สุดชีวิต ทำให้มันหายใจได้ไม่สะดวก อาวุโสสี่ร้องขอความช่วยเหลือสุดใจขาดดิ้น แต่กลับยิ่งทำให้โอสถที่ติดคาอยู่เคลื่อนต่ำลงไปอย่างน่าหวาดเสียว
ฉินจิ่วเกอยามนี้นอนแผ่หราอยู่กับพื้น ใจก็ย้ำเตือนกับตัวเองซ้ำๆ ว่า ข้าเป็นคนดี ข้าคือเหลยเฟิง
ต่อให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของตนต้องเสียโฉม ก็ถือว่าเป็นการเสียสละเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง
อาวุโสสี่ยามนี้ร้องไม่ออกแล้ว รู้สึกว่าอากาศภายในปอดบางเบายิ่ง ทั้งยังขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตขั้นวิสุทธิ์ไพศาล หากไม่มีอากาศให้หายใจย่อมไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้
อาวุโสสี่ยิ่งไม่มีความสามารถเช่นนั้น แต่ยามนี้มันไม่อาจทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เกิดยาร่วงลงกระเพาะไปคงย่ำแย่
กึกกัก
ในขณะที่อาวุโสสี่กำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง คนพลันเห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ เหมือนอย่างเจ้าคนอับโชคที่ลงไปแหวกว่ายอยู่ในหลุมถ่าย บังเกิดความคิดเอาตัวรอดในวินาทีสุดท้ายขึ้นมา
เห็นได้ว่าอาวุโสสี่ไม่ใช่คนเบาปัญญา พอคิดหาวิธีได้ มันก็ไม่รอช้าเริ่มออกแรงกระแทกโต๊ะให้เกิดเสียงทันที
ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งยันตัวขึ้นมายามนี้กำลังยกมือกุมศีรษะ พอดีกับที่เสียงตึงตังดังลอดออกจากห้องของอาวุโสสี่ ให้ความรู้สึกเป็นจังหวะจะโคนยิ่ง
“ประเสริฐ ฟังดนตรีท่านราวได้เห็นไท่ซาน ” ไม่มีใครไม่ชอบคนประจบสอพลอ
ฉินจิ่วเกอได้ยินในห้องมีเสียงตึงตัง รีบสะบัดหน้าเรียกสติ นี่บ่งบอกว่าระหว่างตนกับอาวุโสสี่ได้เกิดความสอดประสานกันทางจิตวิญญาณขึ้นแล้ว
อาวุโสสี่ยามนี้ร่วงลงไปกองกับพื้น ใบหน้าแดงก่ำจนแทบกลายเป็นเขียว เจ้าเด็กเปรตนั่นหายหัวไปไหนแล้ว หากไม่ใช่เพราะมัน ไหนเลยจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น!
“อาวุโสสี่ ฝีมือการตีกลองเข้าจังหวะของท่านหากบอกว่าเป็นที่สอง คงไม่มีใครกล้าอวดอ้างเป็นที่หนึ่ง ข้าฟังแล้วถึงกับเผลอโยกศีรษะตามทีเดียว” ฉินจิ่วเกอขณะเอ่ยชมอย่างออกรสก็สับเท้าวิ่งเข้ามาในห้อง ที่จริงมันแค่อยากถามว่าท่านเก็บไม้กวาดไว้ตรงไหน
แต่ภาพที่ปรากฏกลับเป็นภาพของอาวุโสสี่ที่ลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น สภาพดูไปไม่ต่างจากปลากระดี่ขาดน้ำ
“ท่านเป็นอะไรไปแล้ว?” เหมือนนกกาเหว่าหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ฉิ่นจิ่วเกอพุ่งปรี่เข้าไปพยุงร่างของอาวุโสสี่ขึ้นมา ก่อนจะเขย่าตัวเรียกสติอีกฝ่าย
อาวุโสสี่ในใจเดือดแทบคลั่ง หากไม่ใช่ว่ายามนี้กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน คาดว่าคงส่งฉินจิ่วเกอไปเยือนโลกหน้าแล้ว
หากไม่ใช่เพราะมัน ตนจะต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้หรือ!
ดูท่าการริบตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่คืนมาจากมันนั้นแน่นอนแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดอีก รอจนลั่วเฉินกลับมาเมื่อไหร่ก็เริ่มดำเนินการได้เลย
“อาวุโสสี่ บอกข้ามามีคนวางแผนลอบกัดท่านใช่หรือไม่?” ฉินจิ่วเกอที่ไม่รู้ความอะไรเลยยังคงเขย่าตัวอาวุโสสี่อย่างขมักเขม้น เชื่อว่าทำเช่นนี้แล้วอีกฝ่ายจะตอบสนอง
ต่อให้มันตาบอดก็ยังดูออกว่าสีหน้าของอาวุโสสี่ยามนี้นั้นไม่ถูกต้อง
เรียกได้ว่าเทียบกับมะเขือเทศแล้วยังแดงเถือกยิ่งกว่า
พอเหลือบไปเห็นมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือสีหน้าของคนที่เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต และใกล้จะไปเยือนโลกหน้าเต็มที
“อ่อกๆ” อาวุโสสี่เกร็งลำคอสู้ ป้องกันไม่ให้ฉินจิ่วเกอทำโอสถสะบั้นชีพเคลื่อนต่ำลงไปมากกว่านี้ มันจึงอยู่ในอาการร่อแร่เต็มที
“ท่านมีอะไรจะสั่งเสียงั้นหรือ?” ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ คล้ายเข้าใจหัวอกอีกฝ่ายเต็มแก่ เทียบกับบุตรในสายเลือดแล้วยังกตัญญูยิ่งกว่า
“อื้อๆ” อาวุโสสี่ยามนี้คล้ายมีอะไรอุดปากจนแก้มพอง สภาพคล้ายใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวเต็มที ทั้งยังรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในกำลังโป่งพองจวนเจียนจะแตกออกมาได้ทุกเมื่อ
“ข้าเข้าใจแล้ว คำขอของท่านศิษย์รับปากว่าจะทำให้สำเร็จ ความงมงายของท่านก็คือความงมงายของข้า ความอุทิศตนที่ข้ามีต่อพรรคเทียบกับสุริยันบนท้องฟ้าแล้วยังเจิดจ้ายิ่งกว่า เทียบกับจันทรายามค่ำคืนแล้วยังเจิดจรัสยิ่งกว่า”
คราวนี้ ฉินจิ่วเกอไม่ได้บังเกิดการสอดประสานทางจิตวิญญาณร่วมกันกับอาวุโสสี่อีก แม้จะดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร เพียงแต่มันรู้ว่าพูดดีเป็นศรีแก่ปาก ไม่อาจเป็นโทษแก่ผู้ใด
เส้นเลือดบนใบหน้าของอาวุโสสี่แทบปริแตก ภาพลักษณ์ดั่งเทพเซียนก่อนหน้าล้วนมลายหายสิ้น สารรูปของมันยามนี้ดูไม่ต่างจากผักดองที่ถูกควักออกจากโถ เฉอะแฉะเจิ่งนองไปด้วยน้ำหมักคละคลุ้ง
ด้วยสภาพเหงื่อกาฬโชกร่าง อาวุโสสี่เขียนตัวอักษรลงบนพื้นด้วยความเร็วชนิดที่มองตามแทบไม่ทัน จารึกหน้าละครชีวิตแห่งน้ำตาและหยาดเหงื่อที่มันเพิ่งประสบมาสดๆ ร้อนๆ
และแล้วฉินจิ่วเกอก็เข้าใจในที่สุดว่าเพราะเหตุใดอาวุโสสี่ถึงได้ตกอยู่ในสภาพทุรนทุรายถึงเพียงนั้น
กลับกลายเป็นว่าไม่ได้มีแต่ตนที่ดวงกุด ดูเหมือนว่าตำแห่งฮวงจุ้ยของพรรคหลิงเซียวแห่งนี้จะไม่ดีเอาเสียเลย
เมื่อเห็นว่าฉินจิ่วเกอจมอยู่กับโลกของตัวเองไม่ได้แยแสสนใจตน อาวุโสสี่ที่แทบจะตรอมใจตายรู้สึกเหมือนความหวังเสี้ยวสุดท้ายสลายกลายเป็นผง หากมันก็ยังไม่ตัดใจ คลานสี่ขาไปทางประตูด้วยจิตใจอันมุ่งมาด
ตอนนี้มันเข้าใจแล้ว หากเอาแต่รอความช่วยเหลือจากเจ้าคนหัวขี้เลื่อยนี่ มิสู้คลานออกไปขอความช่วยเหลือข้างนอกจะดีกว่า!
ที่จริงฉินจิ่วเกอเข้าใจหัวอกอีกฝ่ายดี เพราะกลยุทธ์คลานสี่ขาขอความช่วยเหลือที่อาวุโสสี่ใช้ ตัวมันก็เพิ่งประสบกับตัวเองเมื่อไม่กี่วันก่อน
ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึง โศกนาฏกรรมที่แทบจะถอดแบบกันมา ความอัดอั้นโศกาที่ยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
ในขณะที่มือของมันกำลังจะเอื้อมถึงรั้วประตูนั้นเอง ภาพตรงหน้ากลับเคลื่อนห่างออกไป อาวุโสสี่ถึงค่อยรู้ว่าที่แท้ตนถูกดึงตัวกลับไปนั่นเอง
และจะเป็นใครไปได้นอกจากฉินจิ่วเกอ ซ้ำยังใจดีพากลับมาส่งที่เดิม “อาวุโส ข้าไม่รู้มาก่อนว่าแท้จริงแล้วท่านกลับเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ประหนึ่งแม่น้ำอันเชี่ยวกรากที่แม้ผ่านไปนับพันหมื่นปีก็ยังไม่หยุดไหล”
กล่าวจบก็คำนับอีกฝ่ายจนศีรษะแตะจรดพื้น
หากอาวุโสสี่ไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย มันพลิกตัวกลับ ตะเกียกตะกายพาร่างตัวเองกลับไป
และมันก็มาถึงรั้วประตูอีกครั้ง ฝ่ามือเหยียดออกจนสุดล้า ใกล้จะเอื้อมถึงปากทางแห่งความหวังอยู่แล้ว
หากภาพตรงหน้าก็เคลื่อนห่างออกไปอีกครั้ง พบว่าตนต้องกลับมานอนกองอยู่ที่เดิมด้วยฝีมือของไอ้หน้าเหม็นคนเดิม
“อาวุโสสี่ท่านอย่าเพิ่งซนไม่เข้าเรื่อง ข้าทราบว่าท่านสูงส่งเกินกว่าจะสนใจความฟุ่มเฟือยทางโลก ทั้งยังทราบว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเพียงไร ครั้งกระโน้นองค์เทพเสินหนงทดลองทานพืชพรรณสมุนไพรนานาชนิด ครานี้อาวุโสพรรคหลิงเซียวของเรากลับเสียสละตนเองใช้ร่างต่างหลอดทดลอง กลืนยาพิษลงท้อง จิตวิญญาณชั้นครูนี้ ได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่วงการการปรุงยาอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้”
อาวุโสสี่รับฟังจนหูอื้ออึง สมองแทบลัดวงจร รู้สึกว่าตนร่ำๆ จะได้ไปเยือนสวรรค์เบื้องบนในไม่ช้า ทั้งยังคล้ายจะเห็นภาพเหล่าบรรพชนกำลังกวักไม้กวักมือส่งรอยยิ้มเป็นกันเองมาให้อยู่รางๆ
ยาพิษที่ติดคาอยู่ในคอมันยามนี้ใกล้จะไหลลงท้องเต็มทน ขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น
มันพาร่างตัวเองกระเสือกกระสนไปทางประตูอีกครั้ง กัดฟันไม่ย่นระย่อ จิตปณิธานของอาวุโสสี่เปรียบเสมือนทหารชั้นเลวที่ให้ปฏิญาณว่าจะเอาระเบิดไปให้ถึงฝ่ายตรงข้ามให้จงได้ ไม่ตายไม่เลิกรา
ฉินจิ่วเกอเกาหัวแกรกๆ ตนก็ทำตามตำราปราบพยศม้าครบทุกระเบียดนิ้วแล้ว ไฉนอาวุโสสี่ถึงได้ไม่สะดุ้งสะเทือนเลยเล่า หรือมันจะเป็นนักบุญกลับชาติมาเกิด?
“อาวุโสสี่ ท่านจะไปเช่นนี้ไม่ได้ หากท่านเห็นชอบ ศิษย์ยินดีเอาเรื่องท่านมาเขียนเป็นนิทานสอนใจเล่มหนึ่ง เป็นคติเตือนใจแก่สหายเต๋าอย่างพวกเรา ใครจะไปรู้ สมาคมนักปรุงยาอาจมอบเหรียญเกียรติยศดีเด่นประจำปีให้ท่านเลยก็ได้”
มันเข้าใจแล้ว ชนชั้นสูงหยามได้ ชนรากหญ้าไม่อาจล่วงเกิน
ล่วงเกินชนรากหญ้า ไม่อาจล่วงเกินคนบ้าสติฟั่นเฟือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบ้าที่ผ่านการทารุณกรรมทางกายและจิต
ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงเม็ดยาไหลลงท้อง ฉินจิ่วเกอปากอ้ากว้าง ต่อให้หัวช้ากว่านี้มันก็ยังเข้าใจเรื่องราว
“เจ้าข้าเอ้ย ใครก็ได้มาช่วยที” แต่เดิมพิษร้ายชนิดนี้ก็มีฤทธิ์เดชร้ายแรงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ที่ถูกน้ำลายช่วยให้ไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ไวยิ่งขึ้น อาวุโสสี่คิดถอนพิษใช่จะทำได้ง่ายๆ อีกต่อไป
ตอนนี้มีแต่ต้องควานหาตัวยอดฝีมือของพรรคมาช่วยสถานเดียว แล้วให้มันใช้วรยุทธ์อันกล้าแกร่งขจัดพิษให้
หากวิธีการเช่นนั้น มีแต่ต้องให้ยอดฝีมือระดับที่ควบคุมจิตวิญญาณฟ้าดินได้เหมือนลมหายใจเข้าออกช่วยเท่านั้น อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินจิ่วเกอผู้ไร้กำลังจะทำอย่างไรได้
“อาวุโสสี่อย่าได้ขยับตัวซี๊ซั๊ว” จะดีร้ายยังไงมันก็เคยอ่านนิยายบู๊ตึ๊งผ่านตามาบ้าง มันตระหนักดีว่าช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ หากยิ่งรนพิษร้ายก็จะยิ่งแทรกซึมเข้าไปได้ไวมากขึ้นเท่านั้น
หลงคิดไปว่าอาวุโสสี่ใจกล้าไร้หวาดกลัว ที่แท้ในหัวกลับมีแต่ขี้เลื่อย ท่านไม่รู้วิธีถอนพิษ กลับกล้ากินยาสะบั้นชีพกระไรนั่น? คิดไปคิดมา คนยังคงต้องช่วย ใครใช้ให้ฉินจิ่วเกอผู้นี้เป็นคนดีเหมือนเหลยเฟิงเล่า?
“ข้าจะไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้ อาวุโสสี่ท่านทำใจให้สบายนอนรออยู่นี่ก่อน ข้าจะรีบไปรีบมา” พูดจบก็ตั้งท่าจะสับขาวิ่งสุดฝีเท้า
หมับ อาวุโสสี่ฉวยโอกาสที่ตนยังไม่หมดสติคว้าข้อเท้าของฉินจิ่วเกอไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี “ใครจะกล้าไว้ใจเจ้า ไม่สู้แบกข้าขึ้นหลังไปกับเจ้าด้วย”
ฉินจิ่วเกอกลัวว่าเรื่องใหญ่ระดับนี้หากมัวแต่ชักช้าคงไม่ทันการณ์ คิดแล้วอวัยวะส่วนล่างของมันก็เริ่มรู้สึกหนาวๆ เย็นๆ ขึ้นมา “อาวุโสสี่ที่เคารพ ท่านอย่าเพิ่งสร้างความยุ่งยากให้ข้าจะดีกว่า ตอนนี้ชีวิตท่านกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทางที่ดีอย่าได้สร้างปัญหา ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้า ขืนให้ข้าแบกท่าน ถึงตอนนั้นท่านคงได้ไปเฝ้ายมบาลเสียก่อน!”
ตนมาช่วยด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม หากคนถูกช่วยเกิดเป็นอะไรไปเสียก่อน ฉินจิ่วเกอต่อให้มีเก้าปากก็ยังแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ ตนจึงมิอาจไม่ร้อนใจ
“ไม่มีทาง ยังไงข้าก็ยืนกรานให้เจ้าแบกข้าไปกับเจ้าด้วย ข้าไม่ไว้ใจเจ้า” อาวุโสสี่ยืนกระต่ายขาเดียว มันที่เพิ่งประสบเหตุมาหมาดๆ มีหรือจะกล้าไว้ใจในความประพฤติของฉินจิ่วเกอ ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้อง
ฉินจิ่วเกอได้แต่สวดส่งตาแก่ที่หัวดื้อไม่เข้าเรื่อง ทั้งยังเอาแต่รนหาที่ตายอยู่ในใจ
“ฟังข้านะอาวุโสสี่ ข้าจะรีบไปรีบกลับ” ฉินจิ่วเกอลองหว่านล้อม
แต่ตาเฒ่าก็ยังล็อคขามันเอาไว้แน่น คาดว่าถึงตายก็ยังไม่ยอมปล่อย