เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 39 ระลอกหนุนเนื่อง
ซ่งเล่อจดจำอาวุโสที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศท่านนั้นได้ กายาแม้ยืนหยัดท้าลมกรรโชก หากยังคงไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
มู่หยวนค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้น พลังวิญณาณรอบกายซัดสาดหนุนเนื่องราวคลื่นสมุทร ทำให้ผู้คนไม่อาจหยั่งทราบพลังฝีมือที่แท้จริงได้ อาจกล่าวได้ว่า ระดับชั้นของมันสมควรเหนือล้ำกว่าเฮยกุ่ยไป๋กุ่ยไปไกลห่าง
เกรงว่าต่อให้สองผีร่วมมือกัน ยังไม่อาจต้านทานการลงมือส่งๆ ของอาวุโสมู่หยวนได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
ความห่างชั้นอันเด็ดขาดของพลัง กระทั่งไม่อนุญาตให้ท่านมีความคิดต่อต้านใดๆ ได้
“ลุกขึ้นเถอะ ปีศาจออกอาละวาด เป็นเพราะเราผู้เฒ่าไม่ทราบมาก่อน” มู่หยวนกลับมิได้สวมท่าทางวางโตของยอดฝีมือ บนร่างเพียงสวมชุดหนังสีขาวอันเรียบง่าย อกทางด้านซ้ายปักอักษร “ประตูหายนะ” ไม่กี่คำ ชายขอบเสื้อปักลวดลายสีทองสามเส้น
อาภรณ์อันเรียบง่าย ฝีมืออันไม่ธรรมดา
“ผู้ฝึกวิชาปีศาจพวกนี้ที่มาแปลกประหลาด ที่แท้เป็นพวกใดกัน? ” เมื่อมีชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลนำขบวนถึงสองคน ที่จริงนับเป็นขุมกำลังที่ไม่อ่อนด้อย กองกำลังเช่นนี้หากอยู๋ในเมืองซวนอู่ สามารถนับเป็นหนึ่งในสิบขุมกำลังอันกล้าแข็ง
“ข้าได้ยินไป๋กุ่ยเรียกตนเอง คล้ายมีชื่อว่าพรรคโลหิตจางอันใด” ซ่งเล่อขมวดมุ่นคิ้วตอบคำ
ฉินจิ่วเกอสามารถบอกได้อย่างมั่นใจ อาวุโสเจ็ดแปดสิบอันใดที่เบื้องหน้าตนเองท่านนี้ ระดับชั้นต้องอยู่ในขั้นกลั่นดวงธาตุแน่นอน
ผู้ฝึกเต๋าที่ผ่านด่านกลั่นดวงธาตุที่กลั่นดวงธาตุทองคำ มีอายุวัฒนานับพันปี สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ในใต้หล้า
ในยุคที่ขอบเขตกฎสรรพสิ่งไม่ใช่ของแปลก แหวกชำระกายามีไม่น้อย ชนชั้นกลั่นดวงธาตุในทวีปฉงหลิงนี้ถือเป็นสันหลังของกองกำลังทั้งหลาย!
“พรรคโลหิตจาง? ” มู่หยวนอยู่มาสามร้อยปี ในเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ มันไม่เคยได้ยินว่ามีพรรคปีศาจอันเข้มแข็งที่เรียกว่าพรรคโลหิตจางมาก่อน
ทว่าผู้ฝึกวิชาปีศาจจำนวนมากนี้ ย่อมต้องมียอดฝีมือวางแผนและบงการพวกมันอยู่
จากที่เห็น พวกมันฆ่าคนตัดคอสูบโลหิต เฉพาะรอบเขตเมืองซวนอู่ สมควรเข่นฆ่าทำลายล้างไปแล้วไม่ต่ำกว่าพันชีวิต ชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์บางอย่าง
“ผู้อาวุโส พวกเราเองก็บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อยเช่นกัน ในป่าทึบที่เป็นแหล่งพำนักของสัตว์อสูรไม่ปลอดภัย กลิ่นอายโลหิตจะชักนำสัตว์อสูรดุร้ายเข้ามา รีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
ผู้นำตระกูลซุนปลุกปลอบกำลังขวัญ หารือกับอาวุโสมู่หยวนด้วยความเคารพนบนอบ
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราล่าถอยก่อน ลำบากพวกเจ้าหลายตระกูลมากแล้ว แล้วข้าจะรายงานให้สำนักกำนัลของตอบแทนเอง”
ได้ยินคำมั่นหมายของมู่หยวน สี่ผู้นำตระกูลต่างสำนึกพระคุณยิ่งใหญ่ ปากพ่นคำสรรเสริญเยินยอเปี่ยมสีสัน จนแม้แต่อาวุโสมู่หยวนเองยังต้องอ้าปากค้าง
“เคี้ยกๆ สังหารผู้รับใช้ข้า ก็คิดจากไปทั้งอย่างนี้? ” ภายในส่วนลึกของถ้ำโพรง ปรากฏเสียงมารร้ายเสียดกระดูกถ่ายทอดมา ที่แท้ยังมีปลาเล็ดรอดร่างแหอยู่
“เล่นลูกไม้อันใด ไสหัวออกมา! ” ในฐานะยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุผู้ยิ่งใหญ่ อาวุโสมู่หยวนสะบัดมือตั้งท่าปางมือ การจู่โจมเพียงพอทลายถ้ำทั้งหมด
“อาวุโสประตูหายนะ? ก็ได้ คราแรกเพียงคิดสังหารคนไม่กี่คน แต่ในเมื่อเจ้าคิดแส่หาเรื่องราว ก็ตายด้วยกันซะทั้งหมดนั่นแหละ! ”
เจ้าของเสียงปรากฏกาย กลับเป็นคนแคระร่างสูงไม่ถึงสามชุ่นผู้หนึ่ง ผิวหนังดำเมื่อม ดวงหน้าอัปลักษณ์สุดทนทาน บนใบหน้าเกลื่อนเต็มไปด้วยเม็ดสิว
ทุกผู้คนไม่กล้าประมาทคนแคระที่เบื้องหน้า มันเมื่อกล้าแสดงตัว แน่นอนว่าต้องมีไพ่ตายมาต่อกรกับอาวุโสมู่หยวน
“วาจาอวดเบ่งถึงเพียงนี้ กลับกล้าคิดลงมือต่อประตูหานะเรา! ” อาวุโสมู่หยวนโต้ตอบ ไอปีศาจโดยรอบร่างของอีกฝ่ายหมุนวนโอบล้อม ไม่อาจหยั่งถึงพลังฝีมือที่แท้จริงได้
คนแคระนั้นหัวร่อเสียงพิกล ตัวร้ายที่ออกฉากมาส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ เอ่ยเสียงเย็นชา “ก็แค่ประตูหายนะ พรรคโลหิตจางเราเพียงพลิกฝ่ามือก็กำจัดล้างสิ้น พวกเราสังหารศิษย์ของพวกเจ้าแล้วอย่างไร คิดทำอย่างไรข้า? ข้าเฒ่าหมิงซาน ศิษย์ผู้บำเพ็ญพรตฆ่ามาแล้วนับไม่ถ้วน พรรคสำนักต่างๆ ก็ทำลายมาแล้วไม่น้อย! ”
“ลมขี้โอ่เหม็นโฉ่นัก! ” อาวุโสมู่หยวนกระทืบเท้า เฒ่าหมิงซานผู้นี้วาจาสามหาว ประตูหายนะเป็นหัวหอกของสี่สำนักใหญ่ ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าพรรคโลหิตจางเป็นตัวตนอันใด
ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุต่อยตีสัประยุทธ์ แน่นอนว่ามิใช่สิ่งที่ปราณสุริยันจะสามารถเข้าร่วม เกรงว่าหากยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุเพียงปล่อยพลังออกมาโดยไม่ตั้งใจ ล้วนสามารถเป่าบรรดาปราณสุริยันรอบๆ ไปหมดสิ้น
ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดยังไม่อาจต้านทานการสะบัดมือส่งๆ ของกลั่นดวงธาตุได้ อันที่จริงยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุ หากสามารถกลั่นดวงธาตุทองคำได้ ย่อมอาละวาดไปทั่วทั้งทวีปโดยไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด
ซ่งเล่อและฉินจิ่วเกอล้วนล่าถอยออกมาแต่โดยดี หากนำอายุของทั้งสองบวกรวมกัน เป็นไปได้ว่าจะเป็นสงครามน้ำลายของสองเฒ่าห้าร้อยปี
ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ อา ในเมืองซวนอู่ กลับมีอยู่หนึ่งคน!
“ดวงธาตุขั้นหนึ่งกระจอกงอกง่อย ดูซิเจ้าจะตายยังไง! ” มู่หยวนลังเลชั่วขณะ สัมผัสเทวะอันแข็งแกร่งตรวจสอบไอมารอันเข้มข้น หวังหยั่งทราบระดับพลังฝีมือของคนแคระนั้นให้กระจ่าง
กล้าเรียกตนเองเป็นหมิงซาน ไปพลังแข็งแกร่งยิ่ง ส่วนระดับพลังมือนั้น เข้ากลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งอย่างเต็มฝืน
“ฮ่าฮ่า นอกจากบ่มสะกัดดวงวิญญาณและแก่นโลหิตจำนวนสามหมื่นแล้ว พวกเรายังใช้กะโหลกมนุษย์จำนวนเท่ากันกลั่นสร้างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และเมื่อครู่ ธวัชหมื่นมารก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์! วันนี้ข้าจะเอาดวงธาตุขั้นสี่ ของเจ้ามาเซ่นไหว้ให้กับธวัชหมื่นมารของพรรคโลหิตจางข้า! ”
ว่าแล้วเฒ่าหมิงซานก็ควักเอาธงยาวผืนหนึ่งออกมา บนผืนธงมีกลิ่นอายภูติผีอันแน่นหนาแผ่กระจายอยู่โดยรอบ ดูไปคล้ายปรากฏขุมอเวจีขึ้นมาขุมหนึ่ง ไอพลังหยินอันชั่วร้ายแทบทำให้ผู้คนตกใจกลัวจนสิ้นสติ นอกจากมู่หยวน ทุกคนที่อยู่ในบริเวณต่างหลีกลี้หนีถอยไปไกลหลายร้อยเมตร ใจเต้นระรัวจนแทบกระดอนออกมา
เพียงแค่หมื่นมารเผยโฉม พลังอันชั่วร้ายก็สามารถกดดันทุกผู้คนในที่นี้จนต้องล่าถอยไม่เป็นกระบวน
“ศาสตราบรรพกาลขั้นสูงสุด? ”
มู่หยวนตะลึงงัน ใช้ดวงวิญญาณกว่าสามหมื่นดวงเพื่อสร้างศาสตราบรรพกาลระดับสูงสุดขึ้นมาน่ะรึ
เหนือกว่าศาสตราวิเศษก็คือศาสตราแห่งเต๋า เหนืออาวุธเต๋าก็คือศาสตราบรรพกาล
โดยเฉพาะศาสตราบรรพกาลขั้นสูงสุด ทั้งยังเป็นศาสตราที่เกิดจากการกลั่นดวงวิญญาณนับหมื่นด้วยฝีมือของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ต่อให้มู่หยวนมีระดับฝีมือสูงล้ำกว่าเฒ่าหมิงซานถึงสามขั้น ก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้
“ดวงธาตุขั้นสี่ของเราผู้เฒ่า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะอาจเอื้อมได้! ” มู่หยวนชิงความได้เปรียบด้วยการลงมือก่อน อาวุธเต๋าระดับสูงสุดถูกเสกขึ้น ตามด้วยเส้นแสงนับไม่หวาดไม่ไหวส่องท้องนภาจนสว่างไปทั้งแถบ ราวกับสวรรค์เบื้องบนพลันเนรมิตม่านแสงอันศักดิ์สิทธิ์แก่โลกหล้า
“ธวัชหมื่นมาร คชสารกลืนมาร! ”
ดวงวิญญาณอาฆาตนับพันๆ ดวงพลันแหวกว่ายออกจากธวัชหมื่นมาร หมู่มารออกอาละวาด ดาหน้ากลุ้มรุมเข้าใส่ศัตรู
หากวันนี้เปลี่ยนเป็นดวงธาตุขั้นหนึ่ง ไม่ถึงชั่วอึดใจย่อมถูกมารร้ายนับหมื่นเล่นงานจนเหลือแต่โลหิตแอ่งหนึ่ง
มารร้ายไม่เกรงกลัวความตาย พสุธาสั่นสะท้าน ดวงดาราแตกดับ ลมหยินพัดกรรโชกเยียบเย็นเสียดแทงถึงกระดูก แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร แต่พลังกดดันที่สะกดทับอยู่บนหน้าอกกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ต้องห่วง อาวุโสมู่หยวนคือดวงธาตุขั้นสี่ ระดับฝีมือสูงส่งกว่าผู้ฝึกวิชาปีศาจตนนั้นถึงสามขั้น ต่อให้อีกฝ่ายมีศาสตราบรรพกาลขั้นสูงสุดในครอบครอง หากอาวุโสมู่หยวนต้องการกำราบอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ซ่งเล่อมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ดวงธาตุสามารถแบ่งแยกออกเป็นเก้าขั้น เรียกว่าเก้าดวงธาตุ นับจากผิวเผินไปจนถึงขั้นลึกล้ำ ทุกชั้นจะแสดงถึงความก้าวหน้าและการยกระดับของพลัง แต่ละชั้นระดับพลังห่างชั้นยิ่ง
“แต่ข้าว่าสุ่มเสี่ยงนัก” ฉินจิ่วเกอจ้องตรงไปในความมืดของตัวถ้ำ กลิ่นอายชั่วร้ายภายในนั้นยังคงไม่สลายไปทั้งหมด แปลว่ากล่องแพนโดร่ายังไม่ถูกปิดตาย
“เจ้าไม่ต้องห่วงไป” เมื่อหนีรอดมาได้ ซ่งเล่อจึงหันมาถามเรื่องพรรคเอากับฉินจิ่วเกอ “พี่ฉิน พรรคของท่านอยู่ห่างจากเมืองซวนอู่เพียงหนึ่งร้อยลี้ หากส่งสัญญาณเสียงกลับพรรค พวกอาวุโสคงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่ทันทีเลยกระมัง? ”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้นหรอก” ฉินจิ่วเกอหัวเราะเสียงขื่น เทียบกับประตูหายนะอันเป็นพรรคสำนักมาตรฐาน พรรคหลิงเซียวของตนแม้แต่ใบอนุญาตประกอบการก็คงไม่มี
“เป็นความจริงรึ? ”
“จริงแท้แน่นอน ดีไม่ดีตอนนี้อาวุโสสามคงกำลังจุดธูปขอขมาฟ้าดินให้ข้าไปสู่สุคติไวๆ อยู่ด้วยซ้ำ”
ฉินจิ่วเกอยกมือปิดหน้า ภายในพรรคคนที่หวังให้ตนไปที่ชอบไวๆ นอกจากศิษย์น้องรองผู้ยืนหนึ่ง ยังมีอาวุโสสามนักบุกเบิกอีกด้วย
อาวุโสสามนำหนังสือนิยายออกขายจนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ถึงอย่างไรนอกจากการฝึกวรยุทธ อุตสาหกรรมการบันเทิงในทวีปฉงหลิงก็ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง อาวุโสสามที่เห็นเงินสำคัญยิ่งชีพ เมื่อได้กำไรขึ้นมา ย่อมต้องอยากให้ตนม้วยมรณาโดยไวเป็นแน่แท้ ไม่แน่ว่าทุกคืนอาจกระทั่งสาปแช่งตนอยู่ก็ได้
“ที่จริงข้ากลับแปลกใจไม่น้อย” ซ่งเล่อผินหน้ามา “ยามประจันหน้ากับยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาล ท่านกลับหัวเราะได้ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่พอเอ่ยถึงพรรคของท่านขึ้นมา โดยเฉพาะกับศิษย์น้องรองผู้นั้น ท่านกลับต้องนิ่วหน้าคล้ายกังวลอะไรบางอย่าง”
ฉินจิ่วเกอลอบพึมพำในใจ เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ศิษย์น้องรองลั่วเฉินไม่เพียงรูปโฉมสง่างาม พรสวรรค์ของมันยังสูงส่งกว่าข้าด้วย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ตนก็สู้ไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
ฉินจิ่วเกอผู้รักหน้าค่าตาย่อมไม่ยอมเปิดปากสารภาพออกมาง่ายๆ “ในเมื่อสร้างแรงกดดันให้ข้าได้ มันย่อมมีดีอยู่บ้าง คนผู้นี้เท้าแบนเหมือนพาย หมัดใหญ่เท่าหม้อ ลิ้นยาวเท่าลิ้นวัว นัยน์ตากว้างกลมเหมือนก้นชาม ทั้งยังสูงกว่าข้าตั้งแปดช่วงศีรษะ พูดง่ายๆ คืออสุรกายเดินได้”
“ศิษย์พรรคท่านแต่ละคนช่าง.. ช่าง..” ซ่งเล่อเค้นสมองขบคิด สุดท้ายก็ตอบออกมาตามตรง “ช่างแปลกไม่มีใครเหมือนจริงๆ ”
“แปลกไม่มีใครเหมือนอะไรของเจ้า ต้องเรียกว่าพิสดารพันลึกเลยต่างหาก แน่นอนว่ายกเว้นข้าไว้คน”
สิ้นคำ ซ่งเล่อก็กระจ่างขึ้นมา ที่อาวุโสพรรคหลิงเซียวไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ ความจริงกลับสมเหตุสมผลและเป็นคนที่มองการณ์ไกลนัก
ศิษย์พรรค์นี้เขี่ยออกไปได้ก็ดี เท่ากับเป็นการประหยัดค่าอาหาร มีความสุขเบิกบานกันถ้วนหน้า
“ใกล้จะตัดสินแล้ว! ” ผู้นำตระกูลซุนที่ระดับสติปัญญาและระดับฝีมือต่ำเตี้ยเรี่ยดินโพล่งขึ้น ดึงความสนใจของทุกคนให้กลับไปที่สนามต่อสู้อีกครั้ง
เฒ่าหมิงซานที่มีศาสตราบรรพกาลขั้นสูงสุดในครอบครองเป็นฝ่ายถือแต้มต่อ
ทว่า ระดับฝีมือของพวกมันต่างกันถึงสามช่วงชั้น อีกทั้งมู่หยวนยังเป็นอาวุโสประตูหายนะ ทักษะวิชายุทธที่มันเคยศึกษามาย่อมมิต่ำทราม
ยอดยุทธ์จากพรรคสำนักมาตรฐาน เมื่อประมือกับผู้เข้มแข็งที่เป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระ ความสามารถทางการต่อสู้มักสูงกว่า นี่เป็นเรื่องที่ทุกผู้คนล้วนยอมรับ
ไอวิญญาณยิ่งมายิ่งลึกล้ำ เมื่อเวลาล่วงผ่าน ทิศตะวันออกพลันปรากฏแสงสีขาว หมู่เดือนดาราเริ่มล่าถอย
ในระยะหนึ่งพันเมตร พฤกษาพันปีที่สูงกว่าร้อยเมตรต่างถูกกวาดถล่มจนไม่เหลือซาก เหลือแต่เศษไม้กระจายตัวอยู่ทั่วพื้นที่ กับหลุมบ่อที่มีขนาดกว้างพอให้ใส่คนลงไปได้
ผิวดินถูกสองชนชั้นกลั่นดวงธาตุยกขึ้นสูงกว่าสามฉื่อ มดน้อยมดใหญ่แตกกรูกันออกจากรัง สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนพากันหนีตาย พื้นดินเขย่าไหวคล้ายหมื่นอาชาตะบึงผ่าน
“ตาย! ”
อาวุโสมู่หยวนที่เริ่มชิงความได้เปรียบกลับมาก็รัวหมัดใส่ใบหน้าเหี่ยวย่นอัปลักษณ์ของเฒ่าหมิงซานไม่ยั้งมือ ใบหน้ายิ้มกว้าง
ฟันร่วงตกพื้น เลือดพุ่งปรี่เป็นสายน้ำ ล้างบางพวกปีศาจ รักษากฎระเบียบ ทุกคนชื่นมื่นตาบาน
“เพียะ! ”
บรรดาผู้ชมที่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ ขณะกำลังจะหลับ พลันถูกเสียงตบหน้าอันกระจ่างชัดปลุกให้ตื่นขึ้นมาก่อน
“อืม ขาดอีกแค่นิดเดียวหนังหน้าของเฒ่าหมิงซานผู้นี้ก็จะเทียบกับพี่ฉินได้แล้ว”
ซ่งเล่อกระซิบกระซาบกับผู้นำตระกูลซุน
ผู้นำตระกูลซุนที่ล่วงรู้นานแล้วว่าฉินจิ่วเกอเป็นคนไร้ยางอายเพียงไรก็ผงกหน้าตามอย่างเห็นด้วยสุดใจ อดกล่าวชมเชยไม่ได้ว่า “คุณชายซ่งปราดเปรื่องนัก”
“ฮัดเช้ย” ฉินจิ่วเกอที่ถูกนินทาพลันสะดุ้งตื่นด้วยเสียงจามของตัวเอง
“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่รึ? ” ฉินจิ่วเกอยกมือถูจมูกถาม
ผู้นำตระกูลซุนผู้เปี่ยมประสบการณ์ รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นประจบเอาใจโดยพลัน “เห็นใบหน้ายามหลับของฉินเสี่ยวเกอเมื่อครู่ เราผู้เฒ่าถึงค่อยตระหนักว่า ท่านที่แท้กลับมีใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างาม ถึงขนาดที่สรวงสวรรค์ฟ้าดินยังต้องสั่นไหว เป็นความงามที่ใครเห็นก็ถอนสายตากลับไปไม่ได้”
กับบุคคลที่สามารถสับสังหารยอดยุทธชั้นพิสุทธิ์ไพศาลได้อย่างฉินจิ่วเกอ ผู้นำตระกูลซุนย่อมไม่กล้าล่วงเกิน จึงได้แต่ต้องสะกดความคลื่นเหียนเอาไว้ก่อน
“มิกล้าๆ แต่ที่จริงข้าเองก็คิดเหมือนเจ้า ไม่เชื่อก็ดูหน้าข้าสิ ขาวราวกับหยกเนื้อดี มีเพียงผู้ที่สวรรค์ปั้นแต่งออกมาเท่านั้น
จึงสามารถบรรลุความงามเช่นนี้”
ฉินจิ่วเกอยิ้มอย่างเพ้อๆ หวนคิดถึงตนเองกับน้องหลินเมื่อปีนั้น เป็นฟ้าริษยาคนหน้าตาดีโดยแท้
น่าลำบากใจเหลือเกิน ดันเกิดมาหล่อเกินไป หล่อจนพลิกฟ้าคว่ำดิน หล่อถึงขนาดที่ตำแหน่งตัวเอกยังต้องวิ่งหนีข้า เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ
“คุณชายฉินหล่อไม่มีใครเกิน แม้แต่กาลเวลายังทำอะไรท่านไม่ได้! ”
ผู้นำสี่ตระกูลร้องชมเป็นเสียงเดียว บรรยากาศชื่นมื่นกลมเกลียว
ผิดกับใบหน้าของเฒ่าหมิงซานที่บวมฉึ่งจนกลายเป็นหัวสุกรไปแล้ว แถมฟันยังร่วงหลุดออกจากปากราวกับไม่รู้จักหมดจักสิ้น
“บัดซบ เจ้าไม่ตายดีแน่! ” เฒ่าหมิงซานจนขนาดนี้แล้วก็ยังข่มขู่อาฆาต ตาแก่นี่เหตุใดมือถึงได้หนักอย่างนี้!
ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ ……