เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 35 หมู่บ้านอาบโลหิต
ไกลออกไป อาอู่ผู้อับจนหนทางร่ำไห้จนเสียงแหบแห้ง ในลำคอ เปล่งออกมาเป็นเสียงกรีดร้องคร่ำครวญราวสัตว์ป่าบาดเจ็บสาหัส
“เป็นพวกเจ้า พวกผู้ฝึกตนที่แสนยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เพื่อพลังของตนเองกลับช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากผู้อื่นอย่างง่ายดาย พวกเราที่จริงหลบหนีมาแล้ว มาถึงขุนเขาเปลี่ยวร้างเช่นนี้ พวกเจ้าทำไมยังไม่ละเว้นพวกเราอีก?”
ท่ามกลางรัตติกาลลึกล้ำ อาอู่ที่หมดสิ้นความหวังไม่อาจหาตัวฆาตกรพบ ต้องเบนเป้ามายังฉินจิ่วเกอทั้งสองด้วยความเคียดแค้น
ไอ้เจ้าพวกผู้ฝึกตนบำเพ็ญเต๋าหยั่งรู้ฟ้าดิน ลับหลัง ไม่ทราบกระทำเรื่องราวชั่วช้าดั่งโสเภณีแพศยาโจรห้าร้อยมามากมายเท่าใดแล้ว!
“นักบุญไม่เคยหมด โจรร้ายไม่เคยสิ้น” ฉินจิ่วเกอคล้ายบังเกิดความรู้แจ้งบางอย่าง “ในเมื่อใต้หล้าไม่เคยสิ้นนักบุญ เช่นนั้นโจรชั่วช้าขโมยฟ้าดินย่อมเก่งกล้าอาละวาดไม่เว้นวัน เมื่อมีชีวิตอยู่ ทั้งไร้ซึ่งความสามารถ มีเพียงต้องถูกผู้คนสับสังหารทิ้ง”
ทุกถ้อยวาจาของฉินจิ่วเกอออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ แต่ละคำบอกกล่าวออกมาอย่างเข้มงวดจริงจัง ไม่ต่างจากอสนีบาตฟาดผ่ายามฟ้าแจ้ง “โลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอนี้ ไม่มีพิธีการมารยาทศีลธรรมอันใด ไร้ซึ่งเมตตากรุณา มิใช่ผู้อื่นฮุบกลืนเจ้า ก็เป็นเจ้าฮุบกินผู้อื่น เข้าใจหรือไม่?”
ฉินจิ่วเกอเคียดแค้นจนสองตาเบิกกว้างแทบฉีกขาด ทั่วทั้งใบหน้าปรากฏเส้นโลหิตเขียวโปนเป่งพอง เจ้าพวกผู้ฝึกวิชาอสูรที่สร้างความหวั่นเกรงแก่ผู้คนพวกนั้น ไม่แน่ว่ายังไม่ขู่ขวัญผู้คนเท่าสารรูปของมันในยามนี้
“ตื่นได้แล้ว!”
ฉินจิ่วเกอรวบคอเสื้ออาอู่ขึ้นเขย่าอย่างแรง “แทนที่จะมามัวนั่งสำออยอยู่ตรงนี้ มิสู้ชักดาบออกมา ฝึกวิชาฝีมือกลายเป็นยอดยุทธ์แล้วไปสับพวกมันให้แหลกละเอียด”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” สายตาเลื่อนลอยของอาอู่ค่อยคืนประกาย ในความสับสนว้าวุ่นค่อยเติมเต็มโลกแห่งความอาฆาตแค้น เสาะพบจุดหมายในชีวิต
ซ่งเล่อครุ่นคิดใคร่ครวญ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด ย่อมต้องกลายเป็นมารในใจของอาอู่
หากไม่อาจถอนรากจิตมารนี้ ชะตากรรมของมันย่อมเป็นที่อเนจอนาถ แต่หากสามารถหลุดพ้นจากจิตมารนี้ไปได้ ความสำเร็จของมันย่อมสูงล้ำ
“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไร งั้นข้าไม่ต้มซุปไก่ให้เจ้าแล้ว ซุปไก่ดื่มมากไปจะอ้วนได้ อีกอย่างซุปไก่ของข้าราคาแพงยิ่ง”
ฉินจิ่วเกอยกมือนวดใบหน้า กลับคืนสู่สภาพไร้พิษไร้ภัย คนเห็นคนรักอีกครั้ง
“ซุปไก่?” ซ่งเล่อมองสำรวจรอบด้าน แม้แต่สุนัขตายตัวหนึ่งยังไม่มี พี่ฉินท่านนี้กล่าววาจาสูงส่งลึกล้ำยิ่ง
“ผู้ใด!” ฉินจิ่วเกอสะกิดปลายเท้า ดีดนิ้วส่งหินก้อนหนึ่งบินคว้างออกไป
ก้อนศิลาพุ่งทะลวงเร่งร้อน ตัดผ่าคานหลังคาทีเดียวสามท่อน ในเศษซากปรักหักพังบังเกิดความเคลื่อนไหว เงาคนผู้หนึ่งตะเกียกตะกายปัดป่ายเศษฝุ่นออกมาด้านนอก เมื่อมองเห็นอาอู่ ต้องร้องออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย
“อาอู่!” ฟังจากเสียงของอีกฝ่าย พบว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง บนร่างเต็มไปด้วยผงคลีขี้เถ้า มีเพียงหยาดน้ำตาสองสายที่หลั่งไหลลงมาทั้งสองแก้มที่ปรากฎชัด เปิดเผยผิวพรรณขาวผ่องภายใต้ฝุ่นผงออกมา
“พี่ไฉ!” อาอู่วิ่งงกๆ เงิ่นๆ เข้าหา คนทั้งคู่กอดคอกันร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด
ฉินจิ่วเกอสองตาสาดประกายความรู้สึกที่ไม่อาจบ่งบอกชัดประการหนึ่ง สบตากับซ่งเล่อ ดูท่าเป็นคนรู้จักมักคุ้น
“พี่ซ่ง ท่านพลังฝีมือสูงกว่า รบกวนช่วยค้นหารอบด้านว่ายังมีผู้รอดชีวิตหรือไม่”
“ได้”
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชีวิตผู้คน ซ่งเล่อผู้ไร้เดียงสากลับไม่คิดมากความ เร่งเริ่มต้นการค้นหา ผู้ฝึกวิชาอสูรพวกนั้นฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิต หากมิใช่พี่ไฉของอาอู่ผู้นั้นมีไหวพริบ ยามคับขันลอบซ่อนตัวในเตาอบใหญ่ เกรงว่าคงไม่อาจรอดพ้นชะตากรรม
“แม่นาง พวกเราคล้ายเคยพบกันมาก่อนที่เมืองซวนอู่”
ฉินจิ่วเกอต้องตัดบทการกลับมาพบกันของสองพี่น้องด้วยความไม่เต็มใจ ทำตัวเป็นท่อนไม้ส่วนเกินที่ด้านข้าง
ผู้ฝึกวิชาอสูรพวกนั้นอาละวาดไปทั่วภูเขา ไม่เพียงฆ่าคนปล้นชิง ยังวางเพลิงขับไล่ผู้คนจนกลายเป็นทิวเขาร้าง
อย่างน้อยในระยะเวลาหลายปีมานี้ ไม่เคยมีกลิ่นอายมนุษย์มาก่อน
“อาอู่ ท่านนี้คือ?” พี่ไฉคล้ายคิดอันใดได้ ในสายตานาง พวกที่ฆ่าล้างภูเขา ก็คือบรรดาผู้ฝึกวิชาพวกนี้ทั้งสิ้น
“พวกเขาคือผู้ฝึกตน พลังฝีมือเหนือกว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้าน” อาอู่เคารพเลื่อมใสฉินจิ่วเกอยิ่ง แม้แต่ศิษย์ประตูหายนะยังเกรงอกเกรงใจต่อฉินจิ่วเกอ
“คารวะใต้เท้า” พี่ไฉก้มศีรษะคารวะ คุกเข่าลงกับพื้น นางสัมผัสได้ว่าสายตาของฉินจิ่วเกอที่มองตรงมาปราศจากความเป็นมิตร แรงกดดันราวขุนเขาโถมทับใส่
จันทร์สว่างดาราลับ กางเขนมุ่งทักษิณ
พลังกดดันที่กดทับลงบนศีรษะหายไปแล้ว หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น มองเห็นใบหน้าแย้มยิ้มของฉินจิ่วเกอ ภายใต้แสงจันทร์ แววตาคล้ายแฝงแววเย็นเยียบ
“เอาของออกมาเถอะ ต่อไปอย่าให้เกิดขึ้นอีก กล้าล้วงขโมยข้าวของพวกศิษย์ที่มาจากขุมกำลังทรงอิทธิพลเหล่านั้น วันข้างหน้าเกรงว่าแม้ถูกคนฆ่าตาย ล้วนไม่มีผู้ใดออกหน้าให้แก่เจ้า”
โหดร้ายหรือ? ไม่โหดร้าย ผู้เข้มแข็งกลืนกินคนอ่อนแอ คือกฎเหล็กที่มีมานมนานของสรรพชีวิตบนโลก
แม่นางไฉพลันดวงตาแดงก่ำ เอ่ยวิงวอนอย่างน่าเวทนา “ข้าเองก็ไร้ทางเลือก พวกโจรร้ายนั่นต้องการเงินจำนวนมากนัก ท่านพ่อท่านแม่ล้วนไม่มีทางหาได้”
กล่าวถึงบิดา ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของแม่นางไฉต้องเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำอีกครา “ยามนี้ ต่อให้มีศิลาวิญญาณมากกว่านี้ ล้วนเปล่าประโยชน์แล้ว”
ซ่งเล่อถูกคนขโมยแหวนมิติ สุดท้ายหวนกลับคืนสู่กำมือของฉินจิ่วเกออย่างปลอดภัย แม้จะเป็นศิษย์ประตูหายนะ แต่แหวนมิติทั้งสองวงล้วนเป็นของระดับต่ำ มีความจุแค่ประมาณครึ่งตู้เสื้อผ้าเท่านั้น
ส่วนจะคืนให้ซ่งเล่อหรือไม่ หากตนเองไม่กล่าวขึ้นมา หมอนั่นก็ไม่อาจรู้ได้
ซ่งเล่อมองสำรวจอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง แสงจันทร์สาดต้องกำแพงสีซีดจาง นอกจากขับไล่อีกากินเนื้อคนจนกระเจิดกระเจิงไปไม่กี่ตัว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก
ชายหนุ่มเดินกลับมา มองเห็นแม่นางไฉที่ปิดหน้าร่ำไห้ นัยน์ตาทอแววตะลึงลาน
เฝ้ามองในความเงียบ ร้อยถ้อยพันวจีวาจาล้วนมิอาจกล่าวออก
“ข้าว่านะซ่งเล่อ ผู้อื่นเป็นสตรีไม่มีสามี เจ้าเอาแต่จ้องมองนางแบบนั้นทำอะไร”
หลังฮุบเอาสิ่งของของผู้อื่นไปแล้ว ฉินจิ่วเกอกระทำตนเป็นผู้สมานฉันท์ ขวางอยู่กึ่งกลาง
“มิใช่ นาง” ซ่งเล่อลูบศีรษะ เดจาวูชัดๆ
“ใช่ไม่ใช่อันใด ผู้อื่นเป็นหญิงสาวขี้อาย เจ้ากลับจ้องมองดูโดยปราศจากความเกรงอกเกรงใจ?” ฉินจิ่วเกอก่อกวนอยู่ตรงกลางอย่างเหลวไหล เล่นงานซ่งเล่อจนหน้าแดงก่ำ ต้องเบนสายตาไปทางอื่นแทน
หรือพี่ฉินต้องตานาง จึงมีปฏิกิริยาใหญ่โตปานนี้ กระทั่งมองดูยังไม่อนุญาต
“แม่นางไฉยี ช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังที พวกเราจะได้ประเมินกำลังของฝ่ายตรงข้ามถูก” ซ่งเล่อส่งข่าวกลับสำนักแล้ว ไม่ทราบอีกนานเท่าใดกำลังเสริมจะมาถึง
ไฉยีปาดน้ำตา กล้ำกลืนก้อนสะอื้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากแดงเผยอออกจนเห็นแนวฟันขาว “ข้าไม่ทราบ พวกมันราวกับวิหคเมฆากลางฟ้า อาศัยโอกาสยามฟ้ามืดค่ำบุกเข้ามาจากหลังเขา สั่นสะเทือนแผ่นดิน เมื่อมาถึงเบื้องนอกก็ตะโกนป่าวร้อง จากนั้นศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวลอยขึ้นสู่ฟ้า…”
หญิงสาวยกมือป้องปาก คนหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์อันโหดร้าย ฉากฆ่าฟันอันนองเลือดนั้นสามารถทำลายปราการทางจิตใจของทุกผู้คนลงได้ง่ายๆ
“ดูท่าอีกฝ่ายมีจำนวนไม่น้อย ยังคงรอกำลังเสริมมาถึงแล้วค่อยวางแผนเถอะ”
ฉินจิ่วเกอปาดเหงื่อเย็นบนใบหน้า จินตนาการภาพเหตุการณ์ในยามนั้น บรรดาชาวบ้านยังไม่รู้ตัวว่ามารร้ายมากรายกล้ำ การเข่นฆ่าล้างผลาญที่ปราศจากความเป็นคนก็เริ่มต้นขึ้น
ราวกับพายุกวาดถล่มเข้าหา ไม่กี่นาที โจรภูเขาใจหยาบช้าก็ชโลมฝนโลหิตไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
เสียงคร่ำครวญรวมถึงเสียงดิ้นรนตะเกียกตะกายในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิตดังสะท้อนที่ข้างหู หากรวมหมู่บ้านชนบทใกล้เคียงอีกสองสามหมู่บ้านด้วยแล้ว ผู้ประสบเคราะห์กรรมมีร่วมพัน ซากศพกองสุมดั่งภูเขาเลากา
“หรือพวกเราจะทำได้แต่เบิกตามองดูอยู่เฉยๆ?” ซ่งเล่อกำหมัดแน่น แววตาแผ่รังสีฆ่าฟันเต็มเปี่ยม
“มิใช่เบิกตามองเฉยๆ อาศัยเพียงพวกเราสองคน ไม่อาจกระทำการโต้ตอบใดได้ นอกจากนี้ วิชาอสูรมารปีศาจประหลาดพิสดารยิ่ง ทั้งไม่แน่ว่าในกลุ่มพวกมันยังอาจมียอดฝีมือชั้นวิสุทธิ์ไพศาล ยากต้านทานได้”
ฉินจิ่วเกอไม่เดือดดาลหรือ แน่นอนว่าย่อมเดือดดาล
ผืนนาอุดมสมบูรณ์กลายเป็นเศษซาก โลกหล้าสุขสงบถูกเปลี่ยนเป็นนรกบนดิน ทั่วสี่ทิศแปดทางเกลื่อนกล่นด้วยซากมนุษย์ ภาพที่ปรากฎเสียดแทงนัยน์ตาสุดทนดู
ทว่าเดือดดาลแล้ว จากนั้นสามารถทำอย่างไรได้?
ครืนนนนน
เรื่องราว ไม่อาจไปต่อได้
ณ ที่ห่างออกไปไม่ไกล พลันปรากฎกลุ่มก้อนเปลวไฟเรียงรายราวมังกรเพลิง พร้อมกันนั้นเป็นเสียงฝีเท้าผู้คนนับร้อย ทุบทำลายความเงียบสงบของภูเขาจนแหลกสลาย
“หรือพวกมันคิดโจมตีตลบหลัง?” ฉินจิ่วเกอหน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นชุ่มโชก แผ่นหลังเย็นวาบขึ้นทันที
“ไม่น่าใช่ ฟังมาว่าปีศาจเหล่านี้ไม่ว่าไปที่ใด หญ้าสักต้น ไม้สักท่อนก็ยังไม่มีเหลือ สรรพชีวิตล้มหายตายจาก กองกำลังนี้มาอย่างอึกทึก ทั้งปราศจากรังสีฆ่าฟัน สมควรมิใช่ปีศาจพวกนั้น”
แม้กล่าวเช่นนั้น หากกำปั้นของซ่งเล่อกลับรวบแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด อาอู่และไฉยียิ่งสะท้านไหวราวเรือน้อยกลางคลื่นพายุ น่ากลัวว่าจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
ฉินจิ่วเกอกล่าวเสียงแหบแห้ง “แล้วแต่สวรรค์เถอะ”
คบเพลิงนับร้อย เรียงรายราวสายรุ้งเข้าสู่หมู่บ้าน
ปากทางเข้าหมู่บ้านถูกอัดแน่นจนน้ำยังไหลผ่านไม่ได้ คบไฟหลายร้อยส่องท้องฟ้าจนสว่างไสวไปครึ่งแถบ สี่ทิศแปดทางล้วนเรืองรองไปด้วยแสงไฟ รมจนใบหน้าผู้คนแดงก่ำดั่งเหล็กร้อน
“ผู้นำตระกูลซุน?” ซ่งเล่อที่สายตาเฉียบคมจดจำผู้นำขบวนได้คนหนึ่ง ก็คือผู้นำตระกูลซุนนั่นเอง
ที่แท้เป็นสหาย โชคยังดี หากให้โจรร้ายหลายร้อยกลุ้มรุมสังหารเข้ามา ทั้งสองคงไม่อาจไม่ไปเฝ้ายมบาล
คิดถึงตอนนี้ สายตาของฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อที่มองดูผู้นำตระกูลซุนแปรเปลี่ยนเป็นสายตาราวบิดาเมตตามองเห็นบุตรกตัญญูเดินเข้ามากระนั้น
ผู้นำตระกูลซุนที่กระตุ้นม้าควบเข้าใกล้ ช่างสง่างามตามธรรมชาติ อาชาพยศอาภรณ์สดใหม่โดยแท้
กลุ่มคนหลายร้อยคนนี้ เป็นกลุ่มคนและอาชาของตระกูลผู้ฝึกวิชาเล็กใหญ่โดยรอบทั้งหลายรวมตัวกันขึ้น ในขบวนปราศจากยอดฝีมือชั้นวิสุทธิ์ไพศาล ระดับปราณสุริยันขั้นสูงสุดก็นับเป็นผู้มีพลังฝีมือโดดเด่นที่สุดในขบวนพวกมันแล้ว
ปราณสุริยันขั้นสูงสุดมีทั้งหมดสี่คน หกคนก้าวเข้าสู่ขั้นปราณสุริยัน และบรรดาผู้เยาว์ที่บรรลุขอบเขตหลอมวิญญาณมีมากที่สุด
ที่สามารถรวบรวมกองกำลังได้มากมายปานนี้ เป็นเพราะไม่นานมานี้เกิดการปล้นชิง มีหลายตระกูลที่ถูกกวาดล้าง ดังนั้นตระกูลน้อยใหญ่ในละแวกนี้ต่างบังเกิดความหวาดวิตก รวมตัวจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้น
คืนนี้ พายุกระหน่ำฟ้ามืดมิด สายลมหยินอาละวาด ผีคร่ำวิญญาณครวญ
เมื่อเห็นภายในภูเขาบังเกิดแสงไฟสว่างท่วมฟ้า ผู้นำตระกูลซุนมองการณ์ไกล รวบรวมกำลังคนยกมาช่วยเหลือ
ระหว่างทางพบพานห้าหมู่บ้านที่ถูกทำลาย ตลอดทั้งหมู่บ้านไร้สิ่งมีชีวิต มีเพียงกองซากศพนับพันที่ทับถม
คนหลายร้อยเดินทางเข้าสู่ใจกลางภูเขา ยิ่งก้าวเดินยิ่งหวาดหวั่น ยิ่งก้าวเดินยิ่งสยดสยอง
หวนคิดถึงอีกฝ่ายฆ่าล้างคนนับพัน วัตถุประสงค์ย่อมไม่ใช่การฆ่าคนปล้นชิงทรัพย์
ขณะที่ผู้นำตระกูลซุนกำลังจะออกคำสั่งถอยอยู่นั้น พลันบังเกิดสังหรณ์ในใจ กองกำลังลาดตระเวนมาใกล้บริเวณนี้ พอดีพบพานกับกลุ่มของฉินจิ่วเกอ
เมื่อได้พบหน้าซ่งเล่ออีกครั้ง ผู้นำตระกูลซุนควบคุมคางไว้ไม่อยู่ อ้าออกแทบจรดพื้น
หากทันทีที่พบเห็นฉินจิ่วเกอ ท่านผู้นำซุนต้องปาดน้ำตา ที่แท้คือคู่กรรมของตนนี่เอง
เสียงดังตึงคราหนึ่ง ปากของมันอ้าค้างจนคางกระแทกพื้น
ฉินจิ่วเกอเองก็คาดไม่ถึง ภูเขาลึกกว้างใหญ่ ยังได้มาพบพานท่านผู้นำตระกูลซุน นับเป็นเรื่องน่ายินดีโดยแท้
ไม่มีเวลาให้คู่รักพลัดพรากพรอดพร่ำรำพัน ซ่งเล่อหารือกับผู้นำตระกูลซุน ตระเตรียมว่าหากขบวนผู้ฝึกวิชามารเหล่านั้นยังไปได้ไม่ไกล ตามหาพวกมันให้พบจะได้กำจัดทิ้งให้หมดสิ้น
หากหนีเข้าไปถึงส่วนลึกของภูเขาแล้ว บรรดายอดยุทธ์ที่มาจากเมืองซวนอู่ยากจะหาพบ รอจนพวกมันหวนกลับมาอีกครั้ง ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมย่อมไม่พ้นตระกูลซุนและพวก ทุกคนต่างแสดงจุดยืน พร้อมติดตามซ่งเล่อออกปฏิบัติการ
อย่าได้เห็นว่าซ่งเล่อเพียงมีระดับพลังชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุด หากอาศัยมรดกที่ได้รับมาจากตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งนั้น มันรู้สึกว่าตนเองหากต้องต้านทานรับมือยอดยุทธ์วิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่
เมื่อรวมกับจำนวนคนที่มากกว่าของพวกมัน หากต้องปะทะแตกหัก ยังคงไม่เสียเปรียบเท่าใด
สำหรับกับฉินจิ่วเกอ คนกำลังปลอบขวัญอาอู่และไฉยี เมื่อครุ่นคิดใคร่ครวญ มันตัดสินใจฝากฝังทั้งสองเข้าสู่พรรคหลิงเซียว
ยามนี้ คนในพรรคมันมีไม่มาก หากสามารถเพิ่มสมาชิกคนคลั่งฉินจิ่วเกอเข้าไปได้คนสองคน ไม่แน่ว่าภาพจำที่ผู้อื่นมีต่อตนอาจเปลี่ยนไปก็ได้
รวมกับที่คนทั้งคู่ไร้บ้านช่องให้กลับ หากยังเตร็ดเตร่อยู่ในภูเขาย่อมเสี่ยงอันตรายมาก การเข้าสู่พรรคหลิงเซียว เท่ากับเปิดหนทางการฝึกวรยุทธแก่พวกมัน สำหรับคนส่วนมาก การเข้าพรรคสำนักย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
ดีใจงั้นหรือ ตื่นเต้นงั้นหรือ?
จะเข้าพรรคหลิงเซียว ต้องจ่ายคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ราคานี้รวมค่าที่พักค่าอาหารและสวัสดิการศิษย์ไว้เรียบร้อยแล้ว