เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 31 วิชาใส่ความ
ใบหน้าเยียบเย็นลงทันควัน ฉินจิ่วเกอเปิดปากด้วยโทสะ “พี่ซ่ง หมาบ้าที่ไหนหลงมา เห่าหอนไม่น่าฟังเช่นนี้”
“เด็กน้อย คิดเสนอหน้า?” เฉียนหยุนมองออก อีกฝ่ายเพิ่งทะลวงด่านปราณสุริยัน ไม่มีอันใดพิเศษ
“ตัวโง่งมใหญ่ สุนัขดีไม่ขวางทาง เจ้าไม่กลับไปแทะกระดูกอยู่บ้าน มากระดิกหางขวางทางข้าทำไม? ระวังเรานายท่านถลกหนังเจ้าออกมา ต้มเป็นซุปกระดูกหมากิน!”
“เด็กน้อยปากคอเราะร้ายนัก คิดว่ามีมันหนุนหลัง ก็สามารถเดินออกจากเมืองซวนอู่ได้อย่างสบายใจ?” เฉียนหยุนตาห้อเลือด แค้นที่ไม่สามารถเชือดฉินจิ่วเกอทิ้งคาที่
“ข่มขู่ข้า?” ฉินจิ่วเกอหัวร่อ ยกมือรวบกำปั้น ต่อยเข้าใส่ใบหน้าของเฉียนหยุน
ใบหน้าคือส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของมนุษย์ และเป็นส่วนที่ปฏิกิริยากล้ามเนื้อรุนแรงที่สุดเช่นกัน
เฉียนหยุนคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายคือคนบ้าที่แท้ กลับกล้าลงไม้ลงมือใส่มันในโรงประมูล ไม่รู้จักว่ามันเป็นใคร?
ไม่มีเวลาให้คิด กระแสลมปะทะเข้าใบหน้า หากถูกต่อยเข้าตรงตำแหน่งจังๆ สามารถหักจมูกของเฉียนหยุนออกมาได้
ฉินจิ่วเกอชื่นชอบประมือกับพวกภายนอกทรงภูมิชาญฉลาดพวกนี้ ล้วนแล้วแต่พลังฝีมือด้อยกว่า เป็นได้แค่ตัวหนุนเสริมบารมีของตนเอง
ฉินจิ่วเกอเชื่อมั่นในกายเนื้อของตนเองว่าต้องแกร่งกล้าอย่างยิ่ง สืบเนื่องจากการผ่านประสบการณ์สูดรับไอโลหิตจากดอกพลับพลึงแดงมา
อีกทางด้านหนึ่ง เฉียนหยุนเองปฏิกิริยาไม่ชักช้า บังเกิดปฏิกิริยาจากกล้ามเนื้อตวัดกำปั้นแกร่งออกตอบโต้ทันควัน
ฉินจิ่วเกอมิได้ใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ ส่วนเฉียนหยุนความคิดไม่ทันผ่านสมอง คนกลับใช้พลังวิญญาณจู่โจมออกแล้ว
ผู้คนโดยรอบยึดหลักทำการแลกเปลี่ยนกันด้วยความสงบ บนร่างพกพาทรัพย์สินเงินทอง แม้จะอยู่ในตึกประมูล ยังต้องเบิกนัยน์ตากางหกหูออกเงี่ยฟังทั้งแปดทิศ
ฉับพลันนั้นมีคนใช้พลังวิญญาณออกมา นั่นไม่ต่างจากการทิ้งลูกระเบิดลงสู่บ่อน้ำเสีย ไม่ถูกระเบิดตายก็เหม็นเน่าตาย
สนามการค้าที่คึกคักครึกครื้นกลายสภาพเป็นสับสนอลหม่านในพริบตา ตลาดประมูลถูกพลังวิญญาณที่เฉียนหยุนปลดปล่อยออกก่อกวนจนหลุดการควบคุม
ฉินจิ่วเกอสองมือปัดป่าย เบี่ยงพลังหมัดของเฉียนหยุน ทว่ายังคงปล่อยให้กำปั้นของอีกฝ่ายแตะสัมผัสถูกตัวของมันเล็กน้อย บุรุษหนุ่มร่างปลิวเป็นเส้นโค้งอันน่าตื่นตะลึง หมุนคว้างออกไปไกลโข
“อ๊าก!”
ฉินจิ่วเกอร่างร่วงหล่นลงกระแทกใส่เวทีเหล็กไม้ขนาดใหญ่อย่างหนักหน่วงจนแหลกยับ ผู้คนทั้งหมดอ้าปากค้าง กลั้นลมหายใจครึ่งหนึ่งไว้ในจมูกไม่กล้าระบายออก
เฉียนหยุนตะลึง ตนเองเป็นไรไปแล้ว เพียงกำปั้นส่งๆไม่เต็มแรงเท่าใด กลับต่อยคนกระเด็นไปได้ไกลปานนั้น?
ซ่งเล่อเมื่อคบหาฉินจิ่วเกอเป็นสหาย คนใกล้ชาดเป็นสีแดง เข้าใจเจตนาของฉินจิ่วเกอในทันที
พร้อมกันนั้น มันสืบเท้าออกด้วยฝีเท้ากระชั้นกว่าปกติ ใบหน้าฉาบด้วยความวิตกทุกข์ร้อนเต็มที่ ตะโกนป่าวร้องด้วยระดับการแสดงชั้นมือรางวัล “พี่ฉิน!ท่านเป็นไรแล้วพี่ฉิน!”
“แค่กแค่ก” ฉินจิ่วเกอกระอักโลหิตสีแดงสดใส ใกล้มอดม้วยมรณา
ตลาดการค้าพลันอลหม่าน ตลาดที่ยามปกติสงบเงียบ วันนี้เพราะปลาดุกหนึ่งตัวหลุดเข้ามา ก่อกวนเป็นลมมรสุมปั่นป่วน
“ข้า ข้าไม่ได้ทำ” เฉียนหยุนตื่นตระหนก กำปั้นยังคงกำแน่น ลืมคลายกำปั้นอันเป็นหลักฐาน ยังคงรักษาภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ไว้
“เป็นเจ้า เจ้านั่นแหละ!” ซ่งเล่อเขย่าร่างฉินจิ่วเกอที่กระอักโลหิต ชี้ไปยังตัวการเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
เฉียนหยุนร้อนใจจนแทบหลั่งน้ำตา คนตระเตรียมหาข้อแก้ตัวพัลวัน
สมาคมประมูลอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสมาคมนักจัดวางค่ายกล ไม่อาจล่วงเกินได้
ไม่ต้องกล่าวว่า เฉียนหยุนไม่กล้ายกอ้างความเป็นศิษย์สายตรงของประตูหายนะของมันขึ้นมาบังหน้า ศักดิ์ฐานะนี้ไม่อาจคุ้มครองมันที่ทำลายกฎของอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล
ผู้อื่นมีเหตุผลเต็มเปี่ยม ประตูหายนะเองย่อมไม่เพราะเพื่อมัน กระทำการอันไร้เหตุผล
ยามนี้ ผู้รักษาการณ์ความเรียบร้อยของตลาดประมูลถาโถมเข้ามา ที่นำหน้า คือบุรุษฉกรรจ์หนวดเต็มหน้าท่านหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นไม่สนใจอาภรณ์หรูหราแห่งศิษย์ประตูหายนะของเฉียนหยุน มันยกร่างของเฉียนหยุนขึ้นอย่างสบายราวพ่อครัวเตรียมเชือดไก่
เสียงโครมดังขึ้นคราหนึ่ง
เสียงเลือดเนื้อกระทบเข้ากับพื้นอันเรียบลื่นดังสนั่น เฉียนหยุนถูกบุรุษท่านนั้นเหวี่ยงออกไป ใบหน้ากระแทกพื้นเต็มรัก
ฉินจิ่วเกอที่แกล้งตายอยู่หรี่ตามอง ยังลอบแตกตื่นแทนเฉียนหยุน แต่ยังคงไม่คลายโทสะ ลอบคิดว่าสมควรกำนัลอีกสักสองเท้าจึงจะสมบูรณ์แบบ
บุรุษฉกรรจ์กลับมิได้รับฟังคำเสนอแนะภายในใจของฉินจิ่วเกอ หากคนยังไม่จากไป กลับกันมันเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ก่อนเตะใส่สองเท้าของฉินจิ่วเกออย่างแรง
“อย่าได้เสแสร้งแล้ว หากเกิดขึ้นอีก ครั้งหน้าข้าจะโยนเจ้าออกไปด้วย”
เรื่องราวคลี่คลาย ใต้หล้ากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง การแสดงปลอมเปลือกของฉินจิ่วเกอ แน่นอนว่าไม่อาจผ่านเวทีได้
ทักษะการใส่ความผู้คนของมัน มิเพียงไม่ได้มาตรฐานมือรางวัล แต่ถึงขั้นไม่อาจทนมองดูได้
ฉินจิ่วเกอเรียกคืนความทรงจำอันเจ็บปวด ในใจใคร่ครวญว่าตนเองยังไม่ยอดเยี่ยมพอ ครั้งหน้าต้องสำเร็จสมบูรณ์แบบแน่นอน
“ท่านลุงวางใจ ไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน” ฉินจิ่วเกอรับปากรับคำมั่นเหมาะ ด้วยเกรงพลังของฝ่ายตรงข้าม
พร้อมกันนั้น ฉินจิ่วเกอเจ็บปวดใจราวของรักถูกพรากจาก ขณะยื่นศิลาวิญญาณสองก้อนยัดใส่มือของอีกฝ่ายอย่างลับๆล่อๆ
“อืม ข้าเห็นแต่แรกแล้วว่าเป็นมันที่ตอแยก่อน มิเช่นนั้นที่ถูกโยนออกไปย่อมเป็นเจ้า แต่วิธีการของเจ้าสูงส่งยิ่ง ยืมมีดฆ่าคน อืม ฝีมือไม่เลว เพียงแต่การแสดงย่ำแย่เกินไป”
“ขอท่านลุงชี้แนะ” ฉินจิ่วเกอถามอย่างหน้าด้าน
“ข้าไม่มีอะไรจะชี้แนะ” บุรุษฉกรรจ์ไม่คาดว่าอีกฝ่ายหนังหน้าหนาทนปานนี้ ถูกเปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมไม่เพียงไม่ถือสา ยังคงพกความคิดลับฝนลับคมมีดลงมือต่อ
“หากหลั่งน้ำตาเพิ่มสักหยดสองหยด ประสิทธิผลยิ่งทบทวี จงจำไว้ว่าแววตาสำคัญมาก ให้ใช้แววตาสื่อสารกับผู้คน จึงจะได้รับความเห็นอกเห็นใจและความเชื่อถือจากโดยรอบ” บุรุษฉกรรจ์เอ่ยแผ่วเบา ปราศจากความละอาย
ฉินจิ่วเกอรับฟังการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้อาวุโสอย่างจริงจัง คาดว่าอีกฝ่ายแม้ไม่เคยได้แตะต้องเครื่องเคลือบลายครามของจริง แต่ประสบการณ์อันเจ็บปวดย่อมต้องเคยผ่านมา
บุรุษฉกรรจ์พกพาศิลาวิญญาณจากไปด้วยความยินดี ฉินจิ่วเกอช่วยคลี่คลายปัญหาแก่ซ่งเล่อ เฉียนหยุนรับบทเรียน ผู้คนโดยรอบที่เฝ้าดูความครึกครื้นล้วนเบิกบาน
“บุคลิกภาพของพี่ฉิน ทำให้ผู้คนต้องยอมรับ ช่างเป็นหนึ่งไม่มีสองจริงๆ” วาจานี้ของซ่งเล่อเอ่ยจากก้นบึ้งจิตใจ ผู้ที่หาญกล้าล่วงเกินศิษย์ประตูหายนะ ทั้งยังทำให้มันต้องมีสภาพน่าเวทนาปานนั้น นับเป็นคนบ้าที่แท้จริง
“ที่ใดกัน ที่ใดกัน” ฉินจิ่วเกอถล่มตน “สุภาพชนรังเกียจความชั่วร้าย ข้าเองก็ไม่แตกต่าง พวกเราคือสหาย ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
จริงหรือ? หากเป็นคนที่ไม่รู้จักฉินจิ่วเกอ ไม่แน่ว่าจะหวั่นไหวใจจนหลั่งน้ำตาอาบหน้า ช่างประเสริฐยิ่ง มีสหายเช่นนี้ นับเป็นวาสนาในชีวิต แต่ซ่งเล่อรู้จักฉินจิ่วเกอดีเกินไป ดังนั้นลอบพึมพำ คล้ายกำลังพูดกับตนเองว่า
“เฉียนหยุนผู้นั้น คืออันดับที่ห้าสิบบนทำเนียบวีรชนรุ่นใหม่ พรสวรรค์ไม่เลว”
“แล้วเจ้าล่ะ?” ฉินจิ่วเกอพกพาความหวังเต็มอ้อมอก
“ข้าเพียงเพิ่งเข้าสู่สำนักฝ่ายใน ยังไม่มีชื่อบนทำเนียบ” ซ่งเล่อผายมือ ใบหน้าไร้เดียงสายิ่ง
เฉียนหยุนอาละวาดกดขี่ไปทั่วทั้งฝ่ายใน ไม่เพียงเพราะอาศัยพลังฝีมือของมันเอง ยังมีพี่ชายของมันอีกผู้หนึ่ง
ซ่งเล่อเพิ่งเข้าสู่สำนักฝ่ายใน ธาตุทรนงทั่วร่างของมันไม่ยินยอมถูกเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าผู้อื่น
หากให้ล่วงเกินศิษย์ลูกหม้อเช่นเฉียนหยุน มีหลายครั้งครา มันได้แต่ต้องถอยสามก้าว อดทนข่มกลั้นไว้
ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งรู้ความจริงราวสายอสนีบาตฟาดกระหม่อม
ที่แท้ศิษย์ประตูหายนะด้วยกัน คุณภาพเด่นด้อยมิใช่เพียงขั้นครึ่งขั้น ตนเองเริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจแล้ว
ยังได้ยินซ่งเล่อกล่าวต่อว่า “หากเฉียนหยุนเพียงเป็นยอดฝีมือหน้าเดิมในทำเนียบวีรชนใหม่ นั่นยังไม่มีใดน่าหวาดหวั่น บรรดาศิษย์ฝ่ายในของประตูหายนะ ยังมีศิษย์สายตรง ฟังว่าพี่ชายของมันที่จริงบรรลุพลังฝีมือชั้นวิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด เป็นหนึ่งในหัวกะทิของบรรดาศิษย์สายตรงเหล่านั้น”
“อะไรนะ?” เผลอพลั้งล่วงเกินท่านมหาเทพเซียนโดยไม่รู้ตัว ฉินจิ่วเกอตะลึงค้าง นี่เรียกว่าดวงซวยโดยแท้ ซวยขนาดผายลมไม่พ้นส้นเท้าตัวเอง
ซ่งเล่อเห็นประกายตาของฉินจิ่วเกอเปลี่ยนไป ยามมองมาทางมัน ราวกับกำลังมองม้วนกระดาษชำระที่ใช้หมดสิ้นแล้ว ตระเตรียมโยนทิ้ง
“เจ้าคิดอะไร?” ซ่งเล่อโมโหแล้ว หมอนี่มองข้ามหัวข้า
ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะไปมา ในใจโศกาอาดูร “พี่แซ่เฉียนท่านนั้นไปทางไหนแล้ว? รีบๆเรียกเขากลับมาเถอะ ข้าคิดคบหากับเขาแน่นอนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปร่างหน้าตาของเขา ช่างเหมาะสมกับคนรูปหล่ออย่างข้า รอจนข้าได้มันเป็นหลักพิง ค่อยมาร่วมกันถล่มดูแคลนเจ้าด้วยกัน”
ซ่งเล่อบังเกิดโทสะถึงก้นบึ้ง รวบคอเสื้อของฉินจิ่วเกอยกขึ้นด้วยเพลิงแค้น “เจ้าไม่เห็นหัวข้า? บอกต่อเจ้า สามเดือนนับจากนี้ ข้าต้องขึ้นสู่ทำเนียบวีรชนรุ่นใหม่หนึ่งในสิบให้ได้ แค่เจ้าเฉียนหยุนคนเดียวนับเป็นอย่างไรได้”
“พี่ซ่งสงบสติอารมณ์ก่อน” ฉินจิ่วเกอคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโมโหโทโสปานนี้ ดูท่าสายตาม้วนกระดาษชำระใช้แล้วของตนจะกระตุ้นต่อม เสียบแทงลึกเข้าสู่ดวงใจของซ่งเล่อเข้าจังๆ
“กับแค่ชั้นวิสุทธิ์ไพศาล ข้ามีความมั่นใจว่าต้องทะลวงได้ในครึ่งปี อย่าลืม ตอนนี้ข้าอยู่ชั้นปราณสุริยันขั้นปลายแล้ว หากคิดเปิดจุดหลิงไถ มิใช่ไม่อาจเป็นไปได้!”
ซ่งเล่อรวบดึงคอเสื้อฉินจิ่วเกอยกชูขึ้น ฉินจิ่วเกอรู้สึกตนเองราวกับเบคอนแขวนตากลม แกว่งไปแกว่งมาไม่หยุด เวียนหัวจนแทบอาเจียน
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า” ฉินจิ่วเกอไม่ได้ห้ามปรามพฤติการณ์รุนแรงกักขฬะของซ่งเล่อ หากกลับยกสองมือขึ้นปิดใบหน้าด้วยปัญญาไว
ในสถานการณ์น่าขายหน้าเช่นนี้ ปิดบังโฉมหน้าไว้ นั่นจึงสำคัญกว่า
ซ่งเล่อที่ระเบิดโทสะค่อยๆคืนสติสัมปชัญญะ เชิดจมูกหัวเราะขื่น หวนคิดถึงการระเบิดอารมณ์ของตนเมื่อครู่ น่ากลัวว่าเกือบถูกมารในใจเข้าเล่นงาน การต่อวาจากับฉินจิ่วเกอ กลับช่วยเปิดเผยปมในใจและรับรู้ความสามารถในการทนทานของจิตตนเอง มันสบายใจยิ่ง
“เจ้าดูสิ เสื้อผ้าของข้าพังหมดแล้ว ชดใช้เงินมา!”
ซ่งเล่อดึงชายเสื้อว่างเปล่าทั้งสองข้างของตนให้ดู ตอบอย่างเฉยเมย “ไม่มี”
คนอะไร ฉินจิ่วเกอค้อนตาปะหลับปะเหลือกใส่ เริ่มต้นค้นหาสมบัติที่เหมาะสมกับตนเองในตลาดประมูล ยามนี้ที่ตนขาดแคลน มีแค่คัมภีร์วิชายุทธ์หนึ่งเล่ม
สำหรับกับเคล็ดวิชากำลังภายในอันล้ำค่าพวกนั้น กลับไปพรรคหลิงเซียวแล้วค่อยว่ากล่าว
วิชายุทธ ภายในพรรคหลิงเซียว ที่อนุญาตให้แก่ศิษย์ได้ศึกษา มีเพียงวิชายุทธ์ระดับสี่ ระดับไม่สูงส่งเท่าใด
ส่วนมาก จะเป็นคัมภีร์ระดับหนึ่งระดับสอง ยังมีฉบับคัดลอกด้วยลายมือ คำผิดเยอะแยะมากมาย ไม่มีสำนึกด้านลิขสิทธิ์เลยแม้แต่น้อย
เคล็ดวิชากิเลนครองฟ้า มุ่งใช้พลังแห่งเทพกิเลนสวรรค์ บรรจบฟ้าดินรวบรวมเป็นวิญญาณ เป็นวิชายุทธประเภทสัมผัสวิญญาณขั้นสูง
วิชายุทธที่บรรลุขั้นเทพยดาที่แท้จริง กระทั่งสามารถเรียกปลุกจิตปณิธานแห่งห้วงบรรพกาลที่ยังหลงเหลืออยู่ หนึ่งกระบวนท่าถล่มฟ้าทลายดิน
วิชายุทธที่เหนือระดับเก้าขึ้นไป คือขอบเขตเจตน์จำนงสวรรค์ และขอบเขตวิญญาณทิพย์
ในทวีปฉงหลิง ต่างเป็นสมบัติลับสุดยอดของแต่ละค่ายพรรค น้อยนักจะปรากฏสู่โลกภายนอก
เทพราชันทลายสวรรค์ของซ่งเล่อ เพียงเป็นวิชาระดับเจ็ดเท่านั้น เป็นมันซื้อหามาได้มาโดยบังเอิญ
สำหรับกับกิเลนครองฟ้า มรดกตกทอดที่ตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งนั้นมอบแก่ฉินจิ่วเกอ อาจเหนือล้ำกว่าวิชาระดับเก้า หนึ่งรวมรั้งหนึ่งปล่อยออกฟ้าดินเปลี่ยนสี ฝูงชนแตกตื่นอัศจรรย์ใจ
“ยอดเยี่ยมไปก็มีข้อเสีย วิชายุทธที่แข็งแกร่งปานนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าใช้ออกได้หรือไม่ ถึงตอนนั้นเกิดมีคนหมายตาเข้า ไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้”
ขณะกำลังใคร่ครวญเรื่องนี้ ก็ประหวัดไปถึงยามกลับพรรคต้องไปสะสางเรื่องราว ฉินจิ่วเกอมิอาจไม่คิดหาทางเลือกไว้ก่อน
วนรอบตลาดไปครึ่งรอบ เห็นวิชายุทธระดับสูงไม่น้อยวางประมูล ราคากลับสูงจนคนต้องเบิกตาโต
“พิฆาตพันเมฆา วิชาระดับสี่ แต่กลับขายห้าร้อยศิลาวิญญาณ! ทำไมไม่ปล้นข้าไปซะเลยล่ะ”
“เคล็ดลมปราณเทพรังสรรค์ วิชาระดับหก สามพันศิลาวิญญาณ! สวรรค์ ให้ข้าขายไตให้เจ้าเลยดีกว่า ขอบคุณสำหรับราคาเปิด!”
“แล้วนี่อะไร? เคล็ดกำลังภายในครึ่งเล่ม แถมยังขาดๆแหว่งๆ ราคาหนึ่งหมื่น?”
กลางวันแสกๆ ยังกล้าคิดกระทำการเชือดหมูเช่นนี้!