เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 25 ต้นกำเนิด
ตระหนักดีว่าเพลิงอัคคีพวกนี้ไม่มีเจตนาฆ่าฟันพวกตน ทั้งหมดเป็นเพียงบททดสอบความตั้งมั่นแห่งจิตปณิธาน ในใจจึงคลายความประหม่ากังวลลงไปอักโข
ส่วนฉินจิ่วเกอนั้น ที่มันรับรู้ได้มีเพียงกลิ่นเนื้อไหม้ ขาดแค่โรยผงขมิ้นตามลงไปอีกหน่อยก็เอาใส่ปากได้เลย
และในตอนนั้นเองที่บทกลอนท่อนหนึ่งพลันวาบเข้ามาในสมอง: “ผงคลีขี้เถ้าร้อนเต็มใบหน้า จอมผมเทาทาทั่วนิ้วดำเกรียม”
“กลอนที่ดี” ซ่งเล่อปรบมือชมด้วยความจริงใจหรือไม่ไม่อาจทราบ รู้แต่เพียงว่าเส้นผมที่เคยยาวสลวยบัดนี้กลายเป็นหยิกงอมอดไหม้ไปแถบใหญ่แล้ว
ส่วนฉินจิ่วเกอตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังถูกปิ้งย่างอยู่บนเตา กำลังจะสุกได้ที่ รอให้คนมาแล่เนื้อเถือหนังเท่านั้น
“เดินมาได้แค่ครึ่งทาง แต่ที่เหลือต่างหากจึงจะเป็นบททดสอบที่แท้จริง ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าการหล่อหลอมนี้จะไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ตอนนี้ข้าใกล้จะถึงปากทางขอบเขตปราณสุริยันขั้นปลายเต็มที ขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ ซ่งเล่อก็ยังพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจนมิอาจหุบยิ้มลงได้
ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนจากเดินเป็นคลาน ดูไปคล้ายทหารที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าหาป้อมศัตรู ตามองตรงไปที่ก้อนศิลาที่สามารถพ่นเปลวไฟแสนอันตรายออกมาได้ทุกเมื่อ แล้วแววตาของมันก็คุคั่งด้วยเพลิงแห่งความพิโรธ
“ลาแค่นี้ ข้ากลับบ้านล่ะ” ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนทิศทันควัน ทั้งยังเด็ดเดี่ยวตั้งมั่นยิ่ง ในดวงตาปรากฏหยาดน้ำตาเอ่อคลอเบาๆ
“พี่ฉิน เรียกขวัญกลับมา” ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังจะประพฤติเป็นทหารหนีทัพในทางหลวงจากไปไม่หวนกลับ ซ่งเล่อดึงรั้งขาทั้งสองข้างของมันไว้ เสียงลากคราหนึ่งก็ดึงมันกลับคืนตำแหน่งเดิม
“อีกนิดเดียวก็สำเร็จแล้ว อย่ายอมแพ้” ซ่งเล่อจุดประกายไฟแห่งความหวังแก่ฉินจิ่วเกอ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยินดีด้วย
คนฝังใบหน้าลงกับพื้น สิบนิ้วกางตะบปแน่นอยู่ที่พื้น ท่าทางปราศจากความละอาย
“ให้ข้ากลับเถอะ ต่อให้ตีข้าจนตายข้าก็ไม่ไปแล้ว” ฉินจิ่วเกอหลั่งน้ำตานองเนตร ร่ำไห้จนใจสลาย
“ที่ข้าเห็น พี่ฉินมิใช่คนรักตัวกลัวตาย เหตุใดทอดทิ้งกลางคันเล่า?”
ซ่งเล่อไม่ได้เอ่ยออกมา พี่ฉินที่เบื้องหน้ามันคนนี้ บุคลิกไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
คนที่กล้าท้ามัจจุราชแลกเศษศิลาวิญญาณ รับประทานดอกพลับพลึงโลหิต ทั้งยังกล้าดื่มน้ำจากรั่วสุ่ย จะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?
“ข้าไม่ฟัง ข้าไปละ เจ้าไปต่อเถอะ” พ่นออกมาอีกสิบคำ ฉินจิ่วเกอตะกายออกสู่เบื้องนอกอีกครั้ง สองมือเคลื่อนไหวสอดประสาน สองเท้าถดถอยไปเบื้องหลัง ขาดเพียงกระสอบดินปืนสะพายหลังก็จะกลายเป็นกองทัพปฏิวัติอันเกรียงไกรแล้ว
ปีนออกมาได้ไม่กี่เมตร ซ่งเล่อกระทำการซ้ำอีกครา มันคว้าสองเท้าฉินจิ่วเกอลากกลับคืนที่เดิม
ความหวังและแสงสว่าง อิสรภาพและสรวงสวรรค์ เหตุใดได้อย่างต้องละทิ้งอีกอย่าง ยิ่งมายิ่งห่างไกลออกไป
พฤติการณ์เหล่านี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก ฉินจิ่วเกอเริ่มสำนึกเสียใจแล้ว ผลกรรมใช่หวนกลับมาสนองเร็วไปหรือไม่ ทันทีที่ออกมาก็รีบคืนสนองอย่างไม่ละเว้น
อาวุโสสี่ที่อยู่ในพรรคหลิงเซียวยามนี้ หากทราบเรื่อง ย่อมต้องหลั่งน้ำตาผู้ชราออกมาเป็นสาย คนมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ นับว่าไม่เสียชาติเกิดจริงๆ
“พี่ฉิน สู้เข้าไว้ ท่านมิใช่คนรักตัวกลัวตาย” ซ่งเล่อยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ พี่ฉินที่เมื่อครู่ยังปลุกปลอบกำลังขวัญให้กำลังใจแก่ตนเอง ไฉนเพียงพริบตาก็กลายเป็นเหยาะแหยะ ในห้วงสมองของมันที่แท้บรรจุสิ่งใดไว้กันแน่
“เจ้าจะเข้าใจอะไร?” ฉินจิ่วเกอคั่งแค้นอาดูรเต็มอก ความอึดอัดคับข้องนี้เปรียบได้กับเยว่เฟย (งักฮุย) และโต้วเอ้อร์ผู้อาวุโสทั้งสอง
ฉินจิ่วเกอสองมือปิดหน้าคร่ำครวญ มีชีพแต่ไร้รัก ห้วงกาลเวลาไร้สิ้นสุด โดดเดี่ยวลำพังน้ำตานอง
“มีเรื่องอันใด เล่าให้ข้าฟัง” ซ่งเล่อค้อมกายลงหาด้วยความหวังดี สิ่งที่ทำให้พี่ฉินท่านนี้เจ็บปวดจนมีสภาพเช่นนี้ อาจเป็นเรื่องใหญ่ค้ำฟ้าอันใด
“ข้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว เจ้าว่ามั้ย เจ้าว่ามั้ย” ฉินจิ่วเกอสะอึกสะอื้นไห้ “เปลวไฟพวกนั้นไม่มีคนบังคับควบคุมจริงหรือ? ต่างเข้ามาทักทายที่ใบหน้าข้าล้วนๆ หน้าข้ายามนี้ทักหาใครก็เหมือนเรียกหาเท้า ข้ายอมหัวกุดเลือดไหล แต่ใบหน้าเส้นผมถูกทำร้ายไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อคลายสองมือออก ซ่งเล่อมองเห็นครึ่งหน้าของฉินจิ่วเกอที่ยังปิดๆ บังๆ อยู่ ต้องโพล่งออกมาทันควัน “ผีหลอก!”
พรวดด!
สวรรค์เป็นพยาน ฉินจิ่วเกอถูกซ่งเล่อทำร้ายอย่างสาหัสอีกครั้ง
“ขออภัย พี่ฉิน” ซ่งเล่อที่คืนสติจากความแตกตื่นสำนึกเสียใจเปี่ยมล้น เรื่องนี้มันฟันธงแต่แรก หนังหน้าของพี่ฉินคือสุดยอดในโลกหล้า
ดูดู เปลวไฟเหล่านั้นขนาดตนเองยังถูกฟาดจนเป็นตายยากจำแนก เมื่อฟาดใส่หน้าของฉินจิ่วเกอ นั่นจึงเป็นใบหน้าที่ลมหลิวโชยลูบไล้ไม่รู้สึกเย็นอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากหน้าบวมอืดราวสุกรที่มองยังไงก็เหมือนถูกเจ้าอ้วนน่าตายเข้าสิงนั่นแล้ว อื่นใดล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็น
“พี่ฉินวางใจ ท่านมิได้ถูกทำลายโฉมหน้าจนกลายเป็นแผลเป็น กลิ่นอายใจกว้างที่หว่างคิ้ว ยังคงเหนือกว่าผู้คนทั่วไปเช่นเดิม” เห็นฉินจิ่วเกอร่ำไห้จนใจสลาย ซ่งเล่อเข้าใจในที่สุด ที่แท้ฉินจิ่วเกอนอกจากหวงเงิน ยังหวงหน้าตาอีกอย่าง
“เมื่อกี้เจ้าทำร้ายข้าอีกแล้ว” ฉินจิ่วเกอรำพัน ใบหน้าของมันบวมอืดอย่างน่ากลัว ทุกคำที่พูดออกไปต้องสูดหายใจอย่างยากลำบาก
มองดูใบหน้าของซ่งเล่อ นอกจากดำมะเมี่ยมเล็กน้อย กลับไม่ได้รับความเสียหายใด
สวรรค์ช่างตาบอด เปลวไฟพวกนั้นสมควรไปทักทายใบหน้าหมอนี่ให้หมด ให้มันมีแต่แผลเป็นจึงจะถูก มองดูใบหน้าสุกรอืดอันเป็นเอกลักษณ์ของฉินจิ่วเกอ ยังประดับด้วยดอกม่วงจุดแดงเป็นหย่อมๆ ซ่งเล่ออดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“จ่ายเงินมา!” ในห้วงสมองอัดแน่นด้วยความคิดโกยสมบัติ ฉินจิ่วเกอคำรามลั่น
ซ่งเล่อแบนิ้วมือเรียวยาวว่างเปล่าทั้งสิบนิ้วออกมาอย่าดื้อด้าน “ไม่มีเงินไม่มีของ”
“ง่ายมาก” เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ไม่ต่างจากเข็มทิ่มแทงใจ “ทำบันทึกหนี้ ข้าไม่ถือสา”
“เหอเหอ พี่ฉินช่างเข้าใจล้อเล่น รีบรวบรวมพลังวิญญาณเถอะ พวกเราเตรียมฝ่าเข้าไปอีกรอบ”
“อา กรรมจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ข้ายินยอมกลืนยาเม็ดสะบั้นชีพ ไปเกิดใหม่จะดีเสียกว่า” โฉมหน้าถูกทำลาย ฉินจิ่วเกอเจ็บปวดใจยิ่ง กระทั่งไม่มีอารมณ์จะล้วงเอาศิลาวิญญาณบนตัวออกมานับด้วยซ้ำ
เสื้อคลุมดำที่ยังรักษาตัวอยู่ตรงปากรอยแยก ได้ยินเสียงกรีดร้องคร่ำครวญอันน่าเวทนาของฉินจิ่วเกอสะท้อนออกมาจากด้านใน ในใจต้องเย็นวาบ
บุรุษหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นกรีดร่ำคร่ำครวญอย่างไร้หนทางช่วยเหลือ ที่แท้เป็นเพราะเหตุใด?
จากนั้นรวบรวมพลังวิญญาณหมุนเวียนโคจรในเส้นชีพจร แม่น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลายรวมรั้งสู่ตันเถียน พลังวิญญาณควบรวมหมุนเป็นวังวนขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือที่จุดตันเถียน บนร่างปรากฎประกายเรืองรองราวดาราสีเขียวสว่าง ล้วนมีที่มาจากพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ขั้นสุดยอด
จวบกระทั่งเสื้อคลุมดำปล่อยลมหายใจยาวออกมาคำหนึ่ง พลังฝีมือของมัน ก็บรรลุถึงขั้นปราณสุริยันระดับกลางแล้ว!
“กองทัพกระดูกขาวพวกนั้น แม้เป็นกองทัพผีกล้าที่ตกตายเพื่อชาติบ้านเมือง แต่กระดูกของพวกมันไม่สมควรมาตอแยกับข้า ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร”
กระบี่ยาวโบยบิน เสื้อคลุมดำส่งพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งเข้าสู่ตัวกระบี่ ใช้ออกด้วยกระบวนท่ามหานทีสะบั้นสุริยัน บนพื้นดินก็ปรากฎรอยกรีดลากตวัดโค้งอันลึกล้ำรอยหนึ่ง
กระดูกขาวนับไม่ถ้วนถูกกำจัดทำลายภายใต้คมกระบี่ แม้แต่โครงกระดูกที่มีระดับพลังเกือบเทียบได้กับขั้นพิสุทธิ์ ยังถูกฟาดฟันจนแขนขาขาดวิ่น
ประกายกระบี่สาดกระจาย ในรัศมีปราศจากผู้ต่อกรอีก เสื้อคลุมดำเก็บรั้งพลัง มองเข้าไปภายในรอยแยก “รออีกสักหน่อยแล้วกัน ยอมเป็นนกกระจอกสักครั้งก็ไม่เป็นไร”
กลับมายังจุดเดิม ฉินจิ่วเกอลอบกลืนดอกพลับพลึงแดง เข่นฆ่าทำลายล้างอยู่ในมิติมายาอย่างต่อเนื่อง
สรรพคุณโอสถของดอกพลับพลึงแดงหล่อหลอมกายเนื้อของฉินจิ่วเกอจนแกร่งกล้า อย่างน้อยในบรรดายอดยุทธ์ขั้นปราณสุริยัน มันสามารถเรียกตนเองว่าเป็นจอมพลังได้เต็มปาก ผิวพรรณร่างกายภายนอกเปล่งประกายเรืองรองราวหยก
พลังของกายเนื้ออันบริสุทธิ์ ส่งเสริมให้ฉินจิ่วเกอมีพลังป้องกันและความทรหดขั้นสุดยอด กายาอันแข็งแกร่ง สามารถกักเก็บพลังวิญญาณได้มากกว่า
แรกเริ่มบำเพ็ญเพียร หยั่งสัมผัสถึงพลังฟ้าดิน พากายาคืนสู่ธรรมชาติ ชักนำพลังวิญญาณสู่ร่าง นั่นคือขั้นเริ่มต้น
ดูดซับพลังวิญญาณผ่านลมหายใจ ใช้พลังต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่งขจัดชะล้างรูขุมขน ผิวหนัง เลือดเนื้อ เส้นเอ็น จากภายนอกสู่ภายใน นี่ก็คือระดับชั้นหลอมวิญญาณ
จวบกระทั่งพลังวิญญาณอาบชโลมเจ็ดชีพจรแปดอวัยวะจนถึงขีดจำกัด ผู้ฝึกฝนจึงเริ่มใช้พลังวิญญาณค้นหาความลับของร่างกาย และเริ่มเปิดจุดตันเถียน
จนเมื่อตันเถียนถูกเปิด กายเนื้อของผู้บำเพ็ญตนพลันกลายเป็นแข็งแกร่ง เมื่อรวมกับพลังวิญญาณจากจุดตันเถียนที่ไหลเวียนถ่ายเทไม่หยุดยั้งทุกวี่วัน รวมกับพื้นฐานอันเหมาะสม จึงสามารถฝึกฝนทักษะวิชายุทธ์
ในพรรคหลิงเซียว เคล็ดวิชายุทธ์มีไม่มาก ยังไม่ถึงวิชายุทธ์ขั้นสามด้วยซ้ำ ที่มีมากสุดคือเคล็ดวิชายุทธ์ระดับสอง
เคล็ดวิชายุทธ์ระดับสามหนึ่งเล่ม ราคาค่างวดไม่ด้อยไปกว่าคัมภีร์ทักษะยุทธ์ขั้นห้า เพียงพอให้เห็นได้ว่า เคล็ดวิชาโคจรพลัง สำหรับผู้ฝึกตนมีความสำคัญขนาดไหน
ซ่งเล่อใช้เคล็ดวิชายุทธ์ยกระดับพลังฝีมือของตนเอง คนก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับปราณสุริยัน ขณะที่เสื้อคลุมดำทะลวงด่านปราณสุริยันขั้นกลางสำเร็จ ซ่งเล่อเองก็ทะลวงด่านตามไปอย่างราบลื่น
ฉินจิ่วเกอในใจไม่ทราบเป็นรสชาติใด ดูท่าพลังฝึกปรือของตนถูกทอดทิ้งล้าหลัง สมควรเร่งฝึกปรือจึงถูกต้อง
“พี่ฉิน พวกเราตะลุยต่อกันเถอะ” ผู้ฝึกเต๋า ทุกช่วงชั้นเล็กๆต่างก็มีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง
ซ่งเล่อมาถึงปราณสุริยันขั้นปลาย เพียงห่างจากขั้นสุดยอดอยู่เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
“บอกกล่าวไว้ก่อน หากเปลวไฟพวกนั้นฟาดใส่หน้าข้าอีกละก็ อย่าได้ขวางทางหนีข้า” ฉินจิ่วเกอไม่รับไม่รู้ เรื่องนี้สำคัญต่อมันยิ่งชีพ ไม่อาจปล่อยผ่าน
“ตกลง รอบนี้ท่านนำ” ซ่งเล่อเอ่ย ผ่านไปชั่วขณะ ใต้พื้นก็พลันบังเกิดเสียงกรีดร้องเจ็บปวดน่าเวทนาก้องออกมาอีกครั้ง ช่างน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
ดาวเดือนระยิบระยับเต็มหน้า ในที่สุดการฝึกนรกก็จบสิ้นลง ภายใต้แสงสว่างเรืองรอง บนพื้นดินที่เรียบแน่นพลันปรากฎแท่นหยกสี่เหลี่ยมขึ้น
ดูท่าผู้ละสังขารไปคือมนุษย์ผู้ฝึกตน หากเมื่อครู่เป็นคนที่มีสายเลือดสัตว์อสูรหรือสิ่งของที่เข้ามาจากด้านนอก บททดสอบคงจะยิ่งกว่าเข่นฆ่า คนก็ส่วนคน สัตว์อสูรก็สัตว์อสูร ทั้งสองเผ่ามิใช่คนบนทางเดียวกัน แน่นอนว่าการปฏิบัติย่อมไม่เหมือนกัน
ว่ากันว่าสงครามดึกดำบรรพ์นั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ สัตว์อสูร และมารบนทวีปฉงหลิงอยู่บ้าง
สำหรับเผ่ามารและเผ่ามนุษย์ คือต่างมองกันและกันเป็นศัตรู ส่วนเผ่าอสูร กลับเป็นความแค้นหลั่งเลือดลึกล้ำถึงก้นสมุทร
ฉินจิ่วเกอดูแล้ว เหล่านี้มีหรือไม่ก็ไม่เห็นสลักสำคัญ วิถีฟ้าล้วนผสมปนเปเป็นหนึ่งเดียว ทั้งหมดล้วนเกิดใหม่เป็นแมงเม่า ไม่เห็นจำเป็นต้องแบ่งแยกแค้นเคืองถึงสายเลือดเผ่าพันธุ์
หากเป็นตนเองคิดตกทอดเคล็ดวิชายุทธ์หรือทักษะยุทธ์ใดต่อไป บททดสอบย่อมมิใช่การทดสอบวัดระดับพลังฝีมือของแต่ละคน
เพื่อความยุติธรรม ผู้ใดมอบศิลาวิญญาณมากกว่า หมายความว่าจิตคารวะอาจารย์ของมันยิ่งใหญ่กว่า สมบัติตกทอดย่อมต้องมอบต่อมันผู้นั้น
“อาวุโสท่านนั้น ก่อนตายกอปรด้วยพลังฝีมือทะลุฟ้าทลายดิน ละสังขารไปนับพันปี กฎเกณฑ์ที่อยู่บนแท่นหยกยังคงไม่สลายหายไป”
เมื่อยืนอยู่ด้านล่างแท่นหยก กระทำการคารวะด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่พลันบังเกิด ซ่งเล่อกราบกรานอาวุโสยอดยุทธ์คราหนึ่ง
ทันทีที่ย่างเท้าขึ้นบนแท่นศิลาหยก รัศมีพลังวิญญาณสุดไพศาลก็ถาโถมเข้าหา นั่นคือราชันที่บงการรุ่งเรืองเสื่อมโทรมในต่ำใต้อย่างแท้จริง
แท่นศิลาหยกทั้งสี่ด้านยาวแปดพันจั้ง ทั้งหมดล้วนกระทำสำเร็จโดยพลังแห่งกฎเกณฑ์ เมื่อเข้าไปภายใน คลื่นพลังไพศาลราวคลื่นสมุทร ตรงกลางขัดสมาธิไว้ด้วยโครงกระดูกร่างหนึ่ง เนื้อหนังและเสื้อผ้า ล้วนถูกย่อยสลายหายไปหมดสิ้นแต่เนิ่นนานแล้ว
หลงเหลือเพียงร่างกระดูกโดดเดี่ยวทระนง ยังคงเที่ยงตรงค้ำฟ้าดิน มิอาจไม่ทำให้ผู้คนต้องสยบยอม
โครงกระดูกมิได้มีสีสันหม่นหมองน่าหวาดหวั่น กลับกัน เป็นโครงกระดูกอันประณีตเปล่งประกายใสกระจ่างราวแก้วอัญมณี คล้ายดวงตะวันสาดแสงส่องต้องบนร่างมัน
ไร้ซึ่งกลิ่นอายความตาย ยังมีรัศมีของพระโพธิสัตว์
“ดู!” ซ่งเล่อชี้ไปยังเหนือศีรษะของโครงกระดูก อวลไปด้วยหมอกสิบประกายห้าสี “นั่นก็คือต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ที่อาวุโสท่านนี้ทุ่มเทฝึกฝนมาทั้งชีวิต หากได้มันมา ไม่แน่ว่าอาจสามารถหยั่งรู้มหาวิถีแห่งกฎเกณฑ์ได้ หมายความว่า ต่อไปอาจบรรลุถึงขั้นกลั่นดวงธาตุ”
กล่าวถึงตอนนี้ ซ่งเล่อและฉินจิ่วเกอคล้ายเร่งฝีเท้าขึ้นมาแล้ว
กำเนิดกฎเกณฑ์ มันคือสมบัติที่ศิลาวิญญาณหรือทรัพย์สินใดไม่อาจซื้อหา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ตกทอดมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ ยุคที่บรรดาผู้ฝึกตนในทวีปฉงหลิงขึ้นสู่จุดสูงสุด ศักยภาพเหนือล้ำกว่าปัจจุบันไปไกลโข
คนทั้งสองสบตากันและกัน…