เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 24 กฏสรรพสิ่ง
เมื่อต้องเผชิญพบดวงตาสั่นระริกของซ่งเล่อ ฉินจิ่วเกอปั้นท่าดำรงคุณธรรมสุดติ่ง เอ่ยว่า “คาดไม่ถึงล่ะสิ? สุดชั่วร้ายคือใจคนเป็นเช่นนี้เอง ในเวลาคับขันเป็นตายกลับทอดทิ้งพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขของตนเองไปอย่างไม่ไยดี เสื้อคลุมดำนั่นหนีไปไม่เท่าไหร่ แต่เจ้า…”
ฉินจิ่วเกอใบหน้าฉาบทาด้วยความเจ็บร้าวทรมาน คนซื่อสัตย์มีคุณธรรมอย่างเจ้า ไม่ควรเลย
ยามนี้ หากเปลี่ยนเป็นฉินจิ่วเกอ เมื่อต้องเผชิญกับพี่น้องที่ถูกตนขายยืนอยู่ต่อหน้า แน่นอนว่าย่อมวิ่งหนีราวหลบหนีพระยูไล ให้อีกฝ่ายได้รู้จักว่าสุดขอบจักรวาลอยู่ที่ใดไปแล้ว
ซ่งเล่อเห็นฉินจิ่วเกอไม่มีทีท่าลงมือลงไม้ เห็นชัดว่าเป็นสุภาพบุรุษในหมู่สุภาพบุรุษ สัตย์ซื่อเรียบง่ายจนน่ารักยิ่ง
ดังนั้น ซ่งเล่อก้มศีรษะด้วยความละอาย ถอนใจ หากไม่โต้ตอบ
“สำนึกผิดแล้วหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอค้อน
“สำนึกผิดแล้ว” ซ่งเล่อผงกศีรษะ ท่าทางยอมรับผิดโดยสิ้นเชิง ต่อให้ท่านทุบตีให้ตายก็ไม่ถือสา
ฉินจิ่วเกอแตะปลายคางด้วยความพึงพอใจ มันชื่นชอบบุคลลประเภทนี้ยิ่ง ไม่ต่างจากแกะอ้วนพีอย่างไงอย่างงั้น ใช้มีดเชือดสองทียังถือว่าเปลืองแรงเกินไป
ฉินจิ่วเกอยืนโน้มกายอยู่เบื้องหน้าซ่งเล่อ มือเอื้อมออกไปปัดๆ ลงบนไหล่บ่าลาดของอีกฝ่าย “ครั้งหน้าไม่อนุญาตเจ้าทำแบบนั้นอีก มิเช่นนั้นสหายคนนี้ของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว”
“พี่ฉิน” ซ่งเล่อเงยหน้าขึ้นด้วยความตื้นตัน ใบหน้าเต็มตื้นด้วยความหวั่นไหวและไม่อยากเชื่อ ไอ้หมอนี่กินยาผิดสำแดงมากระมัง ถึงได้ปล่อยเรื่องเลยเถิดพรรค์นั้นไปง่ายดายปานนี้?
“แต่ว่า เจ้าอย่างไรเสียถือว่ามอบแหวนให้ข้าวงหนึ่ง ถือเป็นการชดเชยความสูญเสียให้ข้าเล็กน้อยก็ยังดี” ฉินจิ่วเกอหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ไหนเลยจะสู้กฎแห่งเงินตราอันเที่ยงแท้มาตรฐานได้
ซ่งเล่ออ้าปากค้าง ของทั้งหมดในแหวนมิติข้าก็ให้เจ้าไปแล้ว เจ้ายังจะเอาอะไรอีก?
แต่หวนนึกอีกครั้ง เพราะตนเองฉินจิ่วเกอจึงแทบทิ้งชีวิตน้อยๆ ของมันไป ยามนี้สหายพบหน้ายังไม่เกิดศึกไม่ท่านตายก็เป็นข้าสิ้น ที่จริงถือเป็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์งดงามประการหนึ่งแล้ว
“นับจากวันนี้ไป ข้าและพี่ฉินคือพี่น้องสัมพันธ์ดั่งเหล็กกล้า ต่อไปหากมีเรื่องราวใด ท่านพูดเพียงคำเดียว ข้าย่อมทุ่มเทรับใช้”
ซ่งเล่อลั่นวาจา สามารถได้รับคำสาบานจากศิษย์ฝ่ายในของประตูหายนะ ไม่ต่างจากได้รับบิตคอยน์มาหนึ่งเหรียญ เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงดีใจจนแทบบ้า
ฉินจิ่วเกอผู้ไม่รู้จักพอกลับสั่นศีรษะ “รับใช้ไม่รับใช้อันใดกัน ไม่สู้เอาศิลาวิญญาณมาให้ข้าพันสองพันก้อน เช่นนั้นจึงเหมาะสมกว่า”
สีหน้าเร่าร้อนของซ่งเล่อพลันเย็นชืดลงกะทันหัน ศิลาวิญญาณพันสองพันก้อน เจ้าคิดว่าศิลาวิญญาณคือหินกรวดข้างทางหรือยังไง?
“ไม่พบพานหลายวัน เอ่อ ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกเราไหนเลยจะยกเอาศิลาวิญญาณมาถกเถียงได้ นั่นเป็นการดูหมิ่นพี่ฉินเกินไป” ซ่งเล่อส่ายหัวด้วยความกังวลต่อชะตาตนเอง “พี่ฉินท่านช่างน่าสนใจ กล่าววาจาเปี่ยมอารมณ์ขันจริงๆ”
“ใครกล่าวล้อเล่นกับเจ้า” ฉินจิ่วเกอขึ้นเสียงสูง ท่าทางเอาจริงเอาจัง “เรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ข้าไม่เคยเอามาล้อเล่น อย่าได้คิดว่าเจ้าพูดแบบนั้นแล้วข้าจะอาย ข้าชอบความอับอายแต่ได้เงินทองมากที่สุด”
“พวกเราล้วนเป็นพี่น้อง สุภาพบุรุษคบหา สามารถฝ่าดงดาบภูเขากระบี่ เงินทองของนอกกายพรรค์นั้น จะเทียบมิตรภาพของพวกเราได้อย่างไร?”
ซ่งเล่อไม่ทราบที่แท้ฟังไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งโง่แกล้งบ้าไปแล้วแน่ๆ
ฉินจิ่วเกอแค้นจนแยกเขี้ยว ยังคงเอ่ยต่ออย่างไม่ย่อท้อ “จริงๆ ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าสาบานต่อฟ้า ทั้งหมดที่ข้าพูดล้วนเอาจริง เจ้าเอาเงินมาโยนให้ข้าไม่กี่พันศิลาวิญญาณก็พอ สามารถลดแลกแจกแถมแล้วยังแบ่งจ่ายได้อีกด้วย”
“พี่ฉิน หยุดล้อเล่นเถอะ” ฉินจิ่วเกอเค้นสมองทบทวน คนซื่อๆ เซ่อๆ คนหนึ่ง ไฉนพลันกลับกลายเป็นทั้งหน้าหนาทั้งไร้ยางอายขึ้นมาได้ ที่แท้คนผู้นั้นไปประสบพบเจอกับเรื่องราวใดมากันแน่
หลังประคารม ซ่งเล่อเก็บรอยยิ้มปั้นหน้าเคร่งเครียด “พี่ฉิน ข้า…”
ฉินจิ่วเกอที่ไม่อาจขูดรีดศิลาวิญญาณไม่เบิกบานใจ พลันตัดบทว่า “อย่ามาทำปั้นหน้าเครียด เจ้าคิดว่าเปลี่ยนท่าทีพูดจาแล้วจะเหนือกว่าขึ้นมางั้นหรือ? ข้ารู้ดีแต่แรกแล้ว เจ้ามันพวกไก่อ่อน รีบๆ กลับมาทำท่าปกติได้แล้ว ”
ฉินจิ่วเกอลอบสำรวจมองสิบนิ้วบนฝ่ามือเรียวของซ่งเล่อ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีแหวนมิติใดแล้วจริงๆ จึงทำท่าเป็นนักฆ่าเก็บซ่อนมีดล่าเนื้อ ขุนแกะให้อ้วนพีค่อยเชือดทิ้ง
ซ่งเล่อเอ่ยออกมาอย่างรวบรัดชัดเจน “มีการค้าทำเงินมาเสนอ เอาไม่เอา?”
“คำว่าเอาของเจ้านี่ความหมายยังไงกันแน่ ช่างทำให้ผู้คนต้องเข้าใจผิดนัก”
“เอาเถอะ จะทำไม่ทำ”
“พี่ซ่ง สามารถบอกกล่าวอย่างชัดเจนหรือไม่ ใช้วาจาเหล่านี้ข้าใจไม่ดี”
ซ่งเล่อโมโหสุดขีด ขนาดมองไม่เห็นหน้ายังสามารถทิ่มแทงตนเองได้หลายแผล หรือว่าหมอนี่คิดแก้แค้น ตระเตรียมยั่วโมโหตนจนอกแตกตายเป็นแน่
“เจ้ามานี่” ซ่งเล่อไม่คิดพิรี้พิไรกับฉินจิ่วเกออีก ช่างไม่อาจสนทนาได้อย่างแท้จริง หากคิดพูดพร่ำกับหมอนี่ จำต้องมีสุขภาพจิตแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ
“พี่ซ่ง ข้ามีรสนิยมปกติ แม้ตอนนี้ยังโสด แต่จะให้รับประทานสิ่งของไม่เลือกหน้าข้าทำไม่ได้
“หุบปาก!”
ซ่งเล่อคว้าจับชายเสื้อฉินจิ่วเกอแน่น ลากพามันไปข้างหน้าสองร้อยเมตร
เบื้องหน้าสายตาพลันสว่างไสว แสงสว่างส่องไสวไปทั่วทุกซอกมุม บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ กระตุ้นความนับถือเลื่อมใสของผู้คน
โขดหินในที่นี้กลับมิใช่สีดินเหลืองตุ่นเหมือนทั่วไป หากแต่ถูกอาบชโลมด้วยพลังวิญญาณ เรียบลื่นราวหยก แข็งแกร่งสุดเปรียบ บนพื้นผิวไม่ทราบถูกพลังอันใดชะล้างจนสะอาดสะอ้าน
ในห้วงบรรยากาศอัดแน่นด้วยพลังกดดันแข็งแกร่งมหาศาลจนฟ้าดินต้องสะท้านสะเทือน หากพลังกลุ่มนี้ถูกปลดปล่อยออกสู่โลกภายนอก ย่อมไม่ต่างจากเทพยดาถือกำเนิด
“มีพลังลี้ลับคล้ายมีคล้ายไม่มีขุมหนึ่ง คล้ายผสานหลอมรวมกับอากาศ แต่ยังแข็งกร้าวกว่าพลังวิญญาณอยู่หลายช่วง เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน”
ฉินจิ่วเกอบรรลุสู่ปราณสุริยันขั้นต้น จิตสัมผัสเทวะค่อยๆ ถูกขัดเกลาจนเฉียบคมเป็นสัมผัสเทวะ คนเอ่ยบรรยายความรู้สึกที่สัมผัสได้จากกลุ่มก้อนพลังงานหนาแน่นนั้นออกมา
ซ่งเล่อเอ่ย “ภายในสมควรมีสุดยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดทิ้งร่างไว้ ในยุคสงครามดึกดำบรรพ์ อย่างน้อยต้องเป็นยอดฝีมือชั้นกฎสรรพสิ่ง”
“กฏสรรพสิ่ง?”
กลั่นดวงธาตุสามารถท่องทะยานทั่วฉงหลิง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงกฎสรรพสิ่งที่คล้ายมายาฝัน ไม่ทราบว่าชนชั้นระดับนั้นในประตูหายนะมีอยู่หรือไม่
ซ่งเล่อยังคงกระซิบกระซาบด้วยความเลื่อมใส ไม่กล้าส่งเสียงดัง “ข้าเคยฟังเหล่าอาวุโสในสำนักบอกกล่าว ขอบเขตขั้นสูงสุดของการฝึกตน คือการสัมผัสรู้ถึงกฎเกณฑ์ พลังแห่งกฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่ตัวประหลาดชั้นกฎสรรพสิ่งใช้สะกดชะตาฟ้า ไม่อาจยกมาเทียบได้กับพลังวิญญาณ”
ตัวประหลาดกฎสรรพสิ่ง สามารถดำรงอยู่ได้นับหมื่นปี พลังเต็มเปี่ยมลึกล้ำสูงส่งยากคาดหยั่ง เรียกว่าพลิกฟ้าคว่ำดินยังไม่ถือว่าเกินเลย
ในเมื่อมีพลังกฎเกณฑ์ ไม่ว่าเอ่ยอันใดออกมาล้วนเป็นไปตามปรารถนา เพียงวาจาประโยคเดียวก็สามารถเปลี่ยนดินฟ้า มิใช่พลังวิญญาณบ้านๆ จะเทียบเคียงได้
เมื่อต้องเผชิญกับขอบเขตขั้นตำนาน ฉินจิ่วเกอเองก็ต้องเปลี่ยนท่าทีเล่นหัวไม่จริงจังของตน กฏสรรพสิ่ง สมควรมีเงินทองท่วมหัวกระมัง?
“เจ้ากำลังบอกว่า ข้างในมียอดยุทธ์ขั้นกฎสรรพสิ่งละสังขาร?”
นัยน์ตาฉินจิ่วเกอลุกโพลง อีกฝ่ายมีสมบัติเก่า อย่างน้อยสมควรไม่ต่ำกว่าหลายสิบล้านศิลาวิญญาณ
รอจนตนร่ำรวยขึ้นมา เจ้าอ้วนน่าตายที่ไม่เคยเบิกเนตรหากเอ่ยทวงเงินต่อหน้าเมื่อไหร่ มันจะเอาศิลาวิญญาณน้อยใหญ่ทั้งหลายเทใส่ศีรษะอ้วนๆ นั้นของอีกฝ่ายซะเลย
“มั่นใจแปดเก้าส่วน เจ้าดู”
ซ่งเล่อชี้ไปยังพื้นที่ว่างหน้าศิลา ภายในโขดหินคล้ายปรากฎมหาวิถีแห่งเต๋าอันลี้ลับไร้รูปทว่าดำรงคงอยู่ ราวกับมังกรที่เห็นหัวแต่ไม่เห็นหาง “ที่โขดหินเบื้องหน้านั้น เต็มไปด้วยเส้นสายสีทอง นั่นก็คือร่องรอยของพลังแห่งกฎเกณฑ์ คาดว่าการละสังขารคงเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่คิด ก่อนขึ้นสู่ภพเซียนอาวุโสท่านนั้นจึงไม่ทันเรียกคืนพลังกฎเกณฑ์ที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน”
“เท่ากับว่า พลังกฎเกณฑ์ที่หลงเหลือระเบิดออกกะทันหัน พลังอันไพศาลระเบิดทลายทิวเขาโดยรอบนับพันหมื่นลี้หมดสิ้น รอยแยกด้านนอกเองก็มาจากพลังกฎเกณฑ์ที่กรีดแยกออก” ซ่งเล่อปะติดปะต่อเรื่องราว
“อย่างน้อยน่าจะผ่านมาหลายพันปีแล้วกระมัง?” มองดูเส้นสายสีทองในก้อนหินที่เจือจางแตกซ่าน นั่นคือสภาพของการระเบิดพลังแห่งกฎเกณฑ์ ประเมินดูแล้ว ขอแค่อีกฝ่ายเพียงอ้าปากหาวส่งๆ ตนเองก็แหลกเป็นหมื่นชิ้นแล้ว
คนทั่วไปคิดฆ่ามดปลวกยังต้องให้นิ้วสกปรก ทว่าชนชั้นกฎสรรพสิ่งเพียงชั่วลัดนิ้วมือก็สามารถล้างบางยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุอย่างหมดจด แม้แต่นิ้วยังไม่ต้องกระดิก
ซ่งเล่อกลืนน้ำลาย หากมิใช่พบเห็นด้วยตนเอง ย่อมไม่อาจเชื่ออย่างแน่นอน กระทั่งยอดยุทธ์บนจุดสูงสุดแห่งพิภพอย่างกฎสรรพสิ่งก็มีวันร่วงหล่น
ทั้งยังร่วงหล่นลงอย่างกะทันหันยิ่ง เหมือนถูกคนฟาดทำร้ายบาดเจ็บสาหัส วิญญาณโบยบินจากร่าง
“พวกเราลองเข้าไปดูหน่อยดีหรือไม่” ฉินจิ่วเกอถาม ซ่งเล่อเองก็มีความคิดนี้แต่แรก
“ไม่ต้องรีบ” ซ่งเล่อชะลอฉินจิ่วเกอที่ร้อนใจจนขาดความอดทน “ในโขดหินแฝงพลังสภาวะของกฎเกณฑ์ที่เหลืออยู่ แม้ผ่านมานานหลายพันปี แต่กฎเกณฑ์ที่ตกค้างยังคงไม่สลายไป”
“แล้วเจ้ามีวิธีหรือ” ฉินจิ่วเกอถาม “รีบๆ เข้าไปกันเถอะ พลังตกค้างพวกนี้ยังไงก็คงไม่ถึงแก่ชีวิต อย่างมากก็แค่คางเหลือง”
ซ่งเล่อกัดฟัน มิใช่คางเหลือง แต่เจ็บเจียนตายเลยต่างหาก
กฎเกณฑ์ที่อัดแน่นอยู่ในก้อนศิลาตรงหน้า มองดูก็รู้ว่าเป็นร่องรอยของสายอนีบาต ที่ฟาดผ่าลงมือมิใช่ร่างเนื้อของผู้คน หากแต่เป็นวิญญาณในร่างเนื้ออันโสโครกต่างหาก
เทพยดา ที่ฆ่าคือจิตชั่วร้าย มิใช่ตัวคน
กฎเกณฑ์ฟ้าดินอันน่าหวาดหวั่น อานุภาพฟ้าที่ถี่ยิบยิ่งกว่าเส้นผมมิได้มุ่งสังหารในคราเดียว หากแต่สามารถค่อยๆ บีบคั้นผู้คนจนตกตาย ทรมาทรกรรม ใช้มีดดาบอันอ่อนนุ่ม มิได้กระชากสังขารออกประหาร หากแต่จะทรมานท่านทั้งเป็นจนบ้าคลั่ง
“อยากได้เงินทองต้องเสี่ยงชีพ เมื่อไม่ต้องการชีวิตก็แล้วแต่”
กฎเกณฑ์คือศักยภาพของผู้เป็นใหญ่แห่งฟ้าดิน เป็นสหายคนแรกของมหาวิถี วันนี้อาจช่วยเหลือยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุทะลวงด่าน ขณะเดียวกันก็อาจถลกหนังหนาๆ ของท่านออกมา
“เอาเถอะ พวกเราทดลองดู เจ้าหน้าข้าหลัง” ซ่งเล่อเอ่ย
ฉินจิ่วเกอสะดุ้งเฮือก คนคล้ายถูกลูบบั้นท้ายแต๊ะอั๋ง “ชั่วร้ายเกินไปแล้ว เจ้าแก่กว่าข้า เจ้าอยู่หน้า”
“ก็ได้ กฎเกณฑ์พวกนี้เองก็ไร้เจตจำนงแต่แรก พวกเราเคลื่อนไหวให้เร็วหน่อยก็ใช้ได้แล้ว สามารถใช้พลังวิญญาณสกัดไว้”
“วางใจเถอะ ผู้สำเร็จการณ์ใหญ่ ผู้สามารถไหนเลยไร้ความข่มกลั้น แค่ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ข้าไม่สนใจ” ฉินจิ่วเกอกล่าววาจาอย่างปลอดโปร่งไม่นำพา แม้แต่ซ่งเล่อยังพลันรู้สึกต่ำต้อยขึ้นมา
มันก่อนหน้านี้ลองแล้วลองอีก กลับยังไม่กล้าเข้าสู่ดงสายฟ้าจริงๆ
“สหาย ไปเลย!” อยู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็ตะโกนขึ้นกลางปล้อง เท้าหนึ่งถดถอยไปครึ่งก้าว ส่วนอีกเท้าฉวยโอกาสถีบส่งซ่งเล่อไปข้างหน้า
“ตัวบัดซบ!” ซ่งเล่อด่าทอคำใหญ่ บนโขดหินปรากฎประกายไฟ พุ่งเข้าใส่เบื้องหน้ามันทันที
ซ่งเล่อหนังศีรษะชาด้าน ปลายจมูกคล้ายถูกลวกด้วยเปลวไฟ อัคคีที่เผาไหม้บนโขดหินจนดำเกรียมทั้งแผ่นผืน ที่จริงเป็นกฎเกณฑ์ที่บางเบาขั้นสุด แต่แม้จะบางเบากว่านี้ อานุภาพยังไม่อาจมองข้ามได้
“พี่ซ่งช่างกล้าหาญนัก ข้าย่อมไม่ปล่อยให้ท่านต้องออกหน้าลำพัง เรือน้อยฝ่าคลื่นลม มีแต่เดินหน้าไม่อาจถอยหลัง ไปเถอะ”
เท้าแรกเหยียบย่างลงบนข่ายอัคคี ประกายสีขาวอันแกร่งกร้าวหลายสายก็ชักนำกฎเกณฑ์ให้สั่นสะท้านมวลอากาศ ถึงขั้นไม่สนธรรมชาติแห่งฟ้าดิน
ฝ่าไปเบื้องหน้ายากเย็นยิ่ง การโจมตีจากศิลาตรงหน้ายิ่งมายิ่งมาก ไม่ต่างจากกวนอิมพันมือ
จากพลังตกค้างที่เห็น อาวุโสท่านนั้นสมควรฝึกปรือกฎเกณฑ์ธาตุไฟ ประกายอัคคีที่ปลดปล่อยออกมายังมีบ้างที่แกร่งกร้าวราวสายฟ้า สามารถฟาดทำลายได้แม้แต่เมฆาฟ้าดิน
“อึก”
ประกายเพลิงร้อนลวกจนเกินไป แผ่นหลังซ่งเล่อถูกไฟสีขาวสายหนึ่งจู่โจมใส่ ภายใต้เสื้อผ้าที่ไหม้เกรียม แม้แต่ผิวหนังยังถูกเผาสุกไปแปดส่วน
เสียงในลำคอถูกกักไว้ไม่ได้เปล่งออกมา ซ่งเล่อฝืนสะกดความเจ็บปวดที่ร้าวลึกถึงกระดูก สืบเท้าต่อไปเบื้องหน้าอย่างทุลักทุเล
ฉินจิ่วเกอที่ด้านหลังกลับไม่มีความทรหดถึงขั้นนั้น ถูกเปลวอัคคีไม่กี่สายฟาดใส่ ลำคอก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาออกมา
“อิพ่ออิแม่เอ๊ย ฟาดปู่ข้าตายแล้ว!”
“อดทนไว้ พี่ฉิน เรือออกจากฝั่งแล้วไม่มีถอยหลัง”
“ไอ้ง่าว นั่นมันล่องเรือ แต่ที่นี่มีแต่ถ้ำเปล่าๆ คิดเล่นสเก็ตยังเล่นไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“หยา เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว ข้าจะกลับบ้าน ข้าจะกลับบ้าน”
“อดทนไว้ พี่ฉิน!”
คนสองคนที่ตอนแรกฮึกเหิมราวเปลวเพลิง ตอนหลังร่ำร้องก้องฟ้า ซ่งเล่อใบหน้าดำมะเมื่อม เสื้อผ้าอาภรณ์ขาดวิ่นราวกับปิ้งย่างหม่าล่าไหม้เกรียม ไม่เหลือเค้าความสง่างามแม้แต่เศษเสี้ยว