เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 22 ที่มาของเทพเจ้าหอกสามคม
ตัวร้ายน่าชังในที่สุดก็โผล่ออกมาแล้ว มันร้ายกาจยิ่ง ถึงขั้นดับฟ้าถล่มปฐพี ผู้คนพลัดพรากตายจาก ร่ำร้องหาผู้กอบกู้ลงสู่หล้า
ขณะที่ตัวร้ายกำลังจะบรรลุแผนการชั่ว ฉินจิ่วเกอก็ปรากฎกาย คนขี่เมฆาขาว กายาเรืองแสงสีทอง
ปราดแรกที่ผู้คนมองเห็นมัน มิใช่แตกตื่นถึงพลังสะท้านฟ้า หากแต่เป็นเสียงอุทานแซ่ซ้องสรรเสริญถึงความรูปงาม : หล่อมาก บนโลกหล้านี้กลับมีบุคคลที่หล่อเหลางามสง่าถึงขั้นนี้อยู่จริงๆ!
ฉินจิ่วเกอพลิกฝ่ามือก็ดับสังหารตัวการร้ายสิ้น ทวีปฉงหลิงอยู่ในกำมือฉินจิ่วเกอ นับแต่นั้นไร้ซึ่งผู้ต่อกร
เหอเหอเหอ ฉินจิ่วเกอนั่งบนเก้าอี้มังกร ดื่มด่ำทัศนียภาพแห่งโลกหล้า ขุนเขาบรรพตสายน้ำที่ปลายนิ้วทั้งหลาย
ไม่ถูกต้อง ขณะที่ฉินจิ่วเกออยู่ในห้วงเวลาสงบสุขไร้ศัตรู ในห้วงสมองพลันบังเกิดเสียงลั่นราวนาฬิกาตีบอกเวลา
เรื่องเล่านี้ สถานการณ์นี้ เพราะเหตุใดจึงนองเลือดและคุ้นเคยออกปานนั้น? มองดูดีๆ แล้วบรรดาไพร่ฟ้าที่หมอบกราบต่อตนเองอยู่ ทำไมวาดออกมาเป็นภาพอันประหลาดพิกลปานนั้น?
ไม่ใช่แล้ว ฉินจิ่วเกอห้วงจิตสะดุ้งสะเทือนรอบใหญ่ ชั่วขณะเวลาวินาทีนั้นพลันสัมผัสออกถึงสัญญาณอันตราย ท่าไม่ดีแล้ว หวนนึกถึงตนเองไฉนตกตายในชาติก่อนๆ ขึ้น ฉินจิ่วเกอจิกกบาลตนเองอย่างเจ็บปวด นั่นมันภาพหลอนชัดๆ ทั้งยังเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจจดจำได้แม่นยำ
สรรพสิ่งในห้วงฝันล้วนพร่าเลือนสับสน มองไม่ชัดเจน หากกลับทิ่มแทงสติสัมปชัญญะของตนเองจนเจ็บปวดได้อย่างจริงแท้ยิ่งยวด
ตาย ความตาย การตายของตนเองก่อนหน้านี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ดียิ่งว่าตนที่แท้มิใช่ตัวเอก!
ในเมื่อไม่ใช่พระเอก ดังนั้นย่อมไม่มีทางเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
แต่เป็นเพราะเหตุใดเล่า ฉินจิ่วเกอมองดูการแสดงที่บรรเลงอยู่ตรงหน้า กระทั่งยินยอมหลอกลวงตนเอง
เอาเถอะ ในเมื่อแท้ที่จริงตนเองคือพระเอก ยังคงเป็นราชันแห่งใต้หล้าเช่นนี้ต่อไป ถือสิทธิ์ปกครองทั่วฟ้าดิน
ชั่ววินาทีนั้น ฉินจิ่วเกอเริ่มหลีกหนีตัวตนของตนเอง หากเป็นความฝันจริง ขอให้ตนเองฝันอยู่ตลอดไปไม่ต้องตื่นขึ้นได้ก็ดี
ไม่ถูกต้อง ต่อให้ข้ามิใช่พระเอกที่แท้จริง ก็ไม่ต้องการชะตากรรมที่ผู้อื่นลิขิตมาให้!
ฉินจิ่วเกอขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนระเบิดแสงสว่างทลายภาพทั้งสี่ทิศ พระเอกก็อยากเป็น ทว่าฉินจิ่วเกอที่มีชีวิตอยู่ในฝันของตนเองรู้ ไม่มีผู้ใดหนีรอดจากหายนะ
หากยังหลงใหลงมงายไม่สร่าง ความตายเป็นเพียงช้าหรือเร็วเท่านั้น
มันจำต้องคืนสติขึ้นมาจากห้วงมายา มีเพียงการหลุดพ้นจากมิติมายาได้ จึงสามารถควบคุมบงการชะตาชีวิตของตนเองไว้ในกำมือได้อีกครั้งโดยแท้จริง
“สมควรใช้วิธีการใด?” ฉินจิ่วเกอมองไปที่ไกลตา ขุนเขาสลับซับซ้อนทอดยาว
ช่างน่าหลงใหลโดยแท้ บรรพตวารีไร้สิ้นสุด ทุกสิ่งล้วนอยู่ใต้ฝ่าเท้าตนเอง ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้น? เมื่อหันกลับมา ทรัพย์ศฤงคารนานัปการที่กองพะเนิน เงิน นี่ล้วนเป็นเงินทั้งนั้น
ชายหนุ่มกัดฟันเข่นเขี้ยว ตัดใจแน่วแน่ ลงมือทำลายทรัพย์สมบัติเหล่านั้นด้วยมือตนเอง
อยากได้สิ่งใด ต้องรู้จักให้ก่อน
หากคิดทลายมิติฝันกลับสู่ความจริง ต้องค้นหามารในใจของตนให้พบ ต่อสู้กับมัน ทำลายมัน ฉินจิ่วเกอเฝ้ามองกองทรัพย์สมบัติมอดไหม้เป็นจุลด้วยน้ำตานองเนตร ท่วงท่าแม้ตายไม่สำนึกเสียใจ
เงินของข้า มองดูพวกมันถูกกลบฝังลงสู่ทะเลอัคคี ฉินจิ่วเกอต้องข่มกลั้นระงับก้อนสะอื้น
แม้ทราบดีว่าทั้งหมดล้วนไม่จริง หากในใจของฉินจิ่วเกอยังเต้นระรัวเร็วไปหลายยก บังเกิดความคิดรั้งอยู่ที่นี่
“ในเมื่อล้วนไม่จริง งั้นก็มอดไหม้ไปให้หมดเถอะ ข้าสร้างเจ้าได้ ก็ทำลายเจ้าได้เหมือนกัน!” ฉินจิ่วเกอถอนกาย กลายเป็นตัวร้ายอย่างแท้จริง ฆ่าคนวางเพลิง ถล่มฟ้าทลายดิน
สวรรค์และพสุธาสั่นสะท้าน โลกหล้าไร้ดวงตะวัน ฝูงชนกระจัดพลัดพราย ต่างชี้นิ้วด่าประณามฉินจิ่วเกอต่อบาปกรรมสุดคณานับ
“ช่างเหมือนจริงแท้ๆ มีเนื้อมีหนังอย่างแท้จริง หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงมิอาจตัดใจลงมือได้ แต่ว่าข้า ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว” ชายหนุ่มช่ำชองในกฎเกณฑ์ของเกมนี้เป็นอย่างดี ตนเองมิใช่พระเอก แต่เป็นผู้ข้ามภพ เรื่องราวที่ดำเนินตามแบบแผนนี้คุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นเคยกว่านี้ได้
ยามนั้น ฉินจิ่วเกอยกชูสองมืออาบเลือดสดๆ ขึ้น ทารกคู่หนึ่งกำลังซุกแอบอยู่ในกองซากปรักหักพัง ดวงตาเอ่อน้ำมองมาทางฉินจิ่วเกอด้วยความหวัง น่าสมเพชเวทนาอย่างถึงที่สุด
น้ำตาบริสุทธิ์สองสาย หยาดหยดลงราวไข่มุก
ไม่ว่ามองจากมุมใด ต่อให้เป็นโคตรคนเลวที่สุดของคนเลวบนพื้นโลกนี้ ล้วนไม่อาจลงมือต่อเด็กน้อยได้
แต่ฉินจิ่วเกอลงมือแล้ว กระบวนท่าเดียวคร่าชีวิต ถึงขั้นที่ก่อนพี่ชายตกตาย ยังโอบร่างเข้าบดบังภยันตรายแก่น้องสาวไว้
“หายไปซะเถอะ” เมื่อลงมือสังหารมนุษย์คนสุดท้ายแล้ว ฉินจิ่วเกอระเบิดปลดปล่อยพลังวิญญาณในร่างออกทั้งหมด โลกหล้าอันอึกทึกวุ่นวายพลันกลับกลายเป็นนิ่งสงัดราวหยุดหมุน เศษชิ้นส่วนความทรงจำนับไม่ถ้วนล้วนถูกดูดกลืนเข้าสู่ประตูมหาวิถี
ยามลืมตาอีกครั้ง พบว่าด้านข้างก็คือแม่น้ำสีแดงใสกระจ่างสายเดิม เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนฝันที่หลอกให้มันดีใจเก้อตื่นหนึ่ง
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ฉินจิ่วเกอก็ยังคงหวาดกลัวไม่หาย ก่อนจะต้องถอนใจออกมา ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการข้ามภพหลายต่อหลายครั้งดูเหมือนจะไม่สูญเปล่า ในช่วงเวลาคับขันกลับเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี
คาดว่าตอนที่ติดอยู่ในภาพหลอน เวลาคงผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน
กองทัพกระดูกขาวน้อยครั้งที่จะเฉียดเข้าใกล้ที่นี่ ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่น เอาแผ่บุปผาสีแดงที่งอกเงยขึ้นจากภูเขาซากศพก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นความกลัวตายที่หลงเหลืออยู่ในตัวของพวกมัน
ลองขยับตัวออกหมัด ในอากาศก็ส่งเสียงดังดุจหวดแส้ตัดอากาศ ให้ความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง
ฉินจิ่วเกอค้นพบว่าหลังทานดอกพลับพลึงโลหิตเข้าไปแล้วไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลลัพธ์เสียทีเดียว อย่างน้อยระดับฝีมือของมันตอนนี้ก็ได้ข้ามสู่ขอบเขตปราณสุริยันขั้นแรกเริ่มอย่างลุล่วงปลอดภัยแล้วเรียบร้อย
ส่วนชีพจรบาดแผลที่ปริแตกเสียหายยับเยินก่อนหน้านั้น ล้วนฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติดังเดิม
ไม่รู้ว่ากองทัพกระดูกขาวจะตามรังควานอีกหรือไม่ ด้วยพละกำลังของคนๆ เดียว ยากที่จะต้านทานกองกำลังระดับนั้นเอาไว้ได้
ตอนนี้ซ่งเล่อและเสื้อคลุมดำไม่ทราบไปอยู่ที่ไหน เดิมทีเรื่องที่คนทั้งสองทิ้งฉินจิ่วเกอเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นั่นเป็นสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่คงเลือกไปในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ฉินจิ่วเกอไม่ยินยอมถูกปฏิบัติด้วยความเย็นชาทั้งที่ตนก็ทำดีเอาไว้มาก
“ดอกพลับพลึงโลหิตพวกนี้ไม่เลวเลยจริงๆ โลหิตบริสุทธิ์ของพวกมันถึงขั้นเสริมความแข็งแกร่งให้กับมวลกล้ามเนื้อโดยตรง แต่น่าเสียดาย เพราะใช้เวลาเป็นปีในการเติบโตโดยอาศัยซากศพกองกระดูก ทำให้ใครก็ตามที่กินเข้าไปต้องเกิดภาพหลอน ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุที่อยู่เหนือขอบเขตพิสุทธิ์ก็ยังไม่อาจขจัดออกไปได้”
ฉินจิ่วเกอไม่ใช่พวกย่นระย่อต่อความยากลำบาก ทั้งที่เพิ่งสลัดพ้นห้วงมิติมายา คนกลับตั้งใจจะใช้ดอกพลับพลึงโลหิตเพื่อเร่งอัตราการฝึกปรือโดยไม่กลัวถึงพลังที่แฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย
การกระทำอันบ้าบิ่นราวกับคนขาดสติเยี่ยงนี้ ต่อให้มองหาทั่วทวีปฉงหลิงก็ยังไม่มีใครคิดจะเจริญรอยตาม
ตอนที่ยังเด็ก ฉินจิ่วเกอเคยถูกหมากัดมาก่อน และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อใดที่พบเห็นสุนัข มันไม่เพียงไม่หลีกหนี ตรงกันข้ามกลับเป็นฝ่ายเข้าหา พยายามเป็นเพื่อนกับสุนัขตัวนั้น
รอจนสายสัมพันธ์เริ่มงอกงาม กับช่วงเวลาที่สุนัขตัวนั้นตายใจที่สุด ฉินจิ่วเกอที่สั่งสมกำลังมานานก็ลงมือโดยการกัดสุนัขตัวนั้นจนจมเขี้ยว
นับจากวันนั้น ในยุทธภพก็มีตำนานอีกบทหนึ่งที่เล่าขานสืบต่อกันมา ฉินจิ่วเกอ คนบ้าฟ้าประทาน
หลังเล่นลอบกัดทวงแค้นจนสำเร็จไปด้วยดี ฉินจิ่วเกอก็มีอาหารประจำใจเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง สุนัขหม้อไฟ โรยต้นหอมปอกกระเทียมตามลงไปหน่อย อร่อยอย่าบอกใคร
จากตัวอย่างข้างต้น แปลว่าคนบ้าไม่อาจถือกำเนิดออกมาได้ในเวลาวันสองวัน เพื่อการณ์นี้ฉินจิ่วเกอนับว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากจริงๆ
“ดีที่บิดาเป็นผู้ข้ามภพ เรื่องพิสดารพันลึกประเภทใดบ้างที่ยังไม่เคยพบเจอ ดอกพลับพลึงโลหิตมายาแค่นี้มีหรือจะหยุดบิดาได้” ไม่พูดเปล่า ฉินจิ่วเกอกระชากดอกพลับพลึงโลหิตจนรากหลุดมาทั้งยวง ก่อนจะกลืนส่วนที่เป็นดอกลงไปอีกครั้ง เสร็จแล้วก็สกัดฤทธิ์ยาภายใน ใช้ภาพมายาในนั้นขัดเกลาจิตใจให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า วัวกินดอกโบตั๋นไม่เป็นความจริง ผู้ที่กินไม่จำเป็นต้องเป็นวัวเสมอไป แต่อาจเป็นคนก็ได้
หลังกลับจากโลกมายาอีกครั้ง ไอวิญญาณภายในร่างแม้จะไม่เพิ่มพูนมากมาย แต่เส้นเอ็นกระดูกไปจนถึงสัมผัสเทวะล้วนพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่พอ ยังไม่พอ” ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า ผลลัพธ์เช่นนี้ยังไม่ทำให้มันพอใจ
สามารถฝ่าโลกมายาออกมาได้ ทำให้มันปลาบปลื้มลำพองใจเป็นที่สุด รอจนมันกลับถึงพรรคหลิงเซียวเมื่อไหร่ ศิษย์น้องรองที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ปรากฎตัวย่อมไม่กล้าทำอย่างไรกับมันแน่
“ในเมื่อมีดอกพลับพลึงโลหิต น้ำในแม่น้ำสายนี้ก็ต้องเป็นแม่น้ำรั่วสุ่ยในตำนาน สามพันสิ่งในรั่วสุ่ย เลือกเพียงหนึ่งก็เพียงพอ หากรับประทานดอกพลับพลึงพร้อมน้ำรั่วสุ่ยนี้ สมควรยิ่งสามารถก้าวข้ามได้เร็วขึ้น”
พูดเสร็จก็ไม่รอช้า วิ่งไปที่แม่น้ำวักน้ำขึ้นแล้วดื่มเลย
ถ้าเกิดว่าจู่ๆ ก็มีเทพหนองน้ำปรากฎตัวขึ้นมาอีก แล้วถามฉินจิ่วเกอด้วยท่าทีเป็นมิตรว่าสิ่งที่เจ้าทำตกหายคือขวานทองคำหรือขวานเงิน
ฉินจิ่วเกอย่อมตอบกลับไปด้วยกำปั้นโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
ถ้าเกิดมีเทพหนองน้ำปรากฎตัวขึ้นแล้วบอกกับฉินจิ่วเกอด้วยความจริงใจว่า หนุ่มน้อยเอย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงหนึ่งอย่าง
ฉินจิ่วเกอย่อมตอบกลับไปด้วยความขึงขังจริงจังว่าเช่นนั้นก็เอาศิลาวิญญาณห้าล้านก้อนออกมาให้ข้าสิ
เมื่อนั้น เทพหนองน้ำก็อาจจะตอบฉินจิ่วเกอกลับมาด้วยกำปั้นเฉกเช่นเดียวกัน
ทำสิ่งไรย่อมได้สิ่งนั้น วัฏจักรกฎแห่งกรรมบนโลกล้วนเป็นเช่นนี้
เคราะห์ดีที่สมรภูมิโบราณแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าไม่มีแม้แต่นกกามาขี้เรี่ยราดนานแล้ว แถมฮวงจุ้ยก็ยังไม่เลว ไม่มีทั้งเทพหนองน้ำ ไม่มีทั้งอาวุโสห้าเช่นกัน
ด้วยทัศนคติของเทพเสินหนงผู้ทดลองทานหญ้าสมุนไพรทุกชนิด ยามกระหายฉินจิ่วเกอก็วักน้ำในแม่น้ำขึ้นดื่ม ยามหิวก็ดึงดอกพลับพลึงโลหิตขึ้นทาน พอไม่มีอะไรทำ ก็เอาบันทึกมิติมายาขึ้นมาปัดถู ระดับพลังก็ค่อยๆ กระเตื้องขึ้นอย่างช้าๆ
ราวสามวันให้หลัง ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกว่าอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ทำให้ร่างกายของมันพัฒนาต่อไปได้อีก
หลังปูรากฐานให้กับขอบเขตปราณสุริยันขั้นต้นจนมั่นคงดีแล้ว การเรียกใช้เก็บรั้งมวลพลังภายในร่างแม้แต่ปราณสุริยันขั้นปลายก็ยังเทียบไม่ติด นี่ก็คือข้อดีของการขัดเกลาร่างกายและสัมผัสเทวะให้แข็งแกร่ง
กองทัพกระดูกขาวพวกนั้นไม่โผล่หัวมาให้เห็นอีกเลย ฉินจิ่วเกอก็ดำเนินตามแนวคิดเจ้าไม่ตีข้าข้าไม่ตีเจ้า เตรียมออกเดินทางตามหาพวกซ่งเล่อที่หายไปต่อ ต่อให้พลังฝึกปรือจะเพิ่มพูนขึ้นมาแล้ว แต่มันก็ยังไม่กล้าพูดว่าตนเองเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่อย่างน้อยๆ ก็คงจะพอเทียบชั้นกับสหายทั้งสองคนได้อยู่
“มารดามันเถอะ แข็งแกร่งขึ้นแล้วมีประโยชน์อันใดในเมื่อหาทางออกไม่เจอ หรือต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นคนป่าคนเขา?” ฉินจิ่วเกอคุยกับตัวเองไปพลาง เก็บดอกพลับพลึงริมทางวักน้ำกินไปพลาง
เดินเลาะริมฝั่งมาได้ครึ่งทาง ทัศนียภาพรอบด้านก็เริ่มแปรเปลี่ยนต่างไปจากเดิม
ท้องฟ้าสีทึบทึมเทียบกับก่อนหน้ายังมืดครึ้มยิ่งกว่า ไอโลหิตในที่นี้เข้มข้นจนหายใจหายคอไม่สะดวก
กลิ่นอายพยาบาทชั่วร้ายหนาหนักจนสามารถปลุกกระตุ้นนิสัยขั้วลบในจิตใจมนุษย์ให้กำเริบเสิบสาน เพื่อที่จะเอาชนะความรู้สึกด้านลบที่เริ่มครอบงำจิตใจเข้าไปทุกที ฉินจิ่วเกอก็บังเกิดแนวคิดสุดบรรเจิดขึ้นมา
เรียบง่ายยิ่ง นับเงิน
ก่อนอื่นก็เอาแหวนมิติของซ่งเล่อออกมา ไม่สิ สมควรเรียกว่าแหวนมิติของฉินจิ่วเกอต่างหาก จากนั้นก็หยิบเอาศิลาวิญญาณออกมานับทีละก้อนๆ นับเสร็จแล้วก็นับใหม่อีกรอบ
ต้องอยู่ตามลำพังในสถานที่เช่นนี้ ฉินจิ่วเกอกลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยว กลับกัน มันรู้สึกชื่นบานยิ่งนัก
“มาคิดดู ถ้าโลกนี้ไม่มีเจ้าอ้วนน่าตายสักคน เท่ากับเจ้าหนี้ของเราก็ลดลงไปหนึ่ง แปลว่าศิลาวิญญาณในกระเป๋าก็จะปลอดภัย”
ขณะที่กำลังมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว ฉินจิ่วเกอก็เริ่มพิจารณาว่าจะฆ่าหมกเจ้าอ้วนดีหรือไม่ จากนั้นก็โบ้ยความผิดไปให้ศิษย์น้องรองที่ยังไม่เคยพบหน้า
อาจเป็นเพราะความคิดนี้ชั่วร้ายกักขฬะจนเกินไป ฉินจิ่วเกอจึงต้องเผชิญหน้ากับกองทัพกระดูกขาวอีกครั้ง นับจำนวนแล้วมีประมาณหนึ่งร้อยตน ทั้งยังแผ่กลิ่นอายชั้นปราณสุริยันขั้นกลางออกมาไม่ขาดสาย
โครงกระดูกขาวปราศจากความคิดอ่าน พวกมันดาหน้าเข้าหาฉินจิ่วเกอทันควัน ไอสังหารจับตัวแน่นจนกลายเป็นหอกแหลมที่ราวกับจะสามารถแหวกทะลวงตัดอากาศได้
“แหลกไปซะ!”
กระบี่หนักเล่มเดิมถูกทิ้งไปนานแล้ว ฉินจิ่วเกอจึงต้องหยิบค้อนเหล็กอาวุธชิ้นใหม่ออกจากแหวนมิติ จากนั้นก็หวดออกไปข้างหน้า
ค้อนเหล็กถูกเหวี่ยงออกอย่างแรง ก่อเกิดพลังอันหนาแน่นสุดเปรียบปาน บดขยี้กระดูกขาวหลายตัวจนแตกสะบั้น
คนอาละวาดกวาดขวางเข้าสู่ดงกองทัพ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ หอกกระดูกขาวก็หวดเข้าใส่จากบนศีรษะ
เฮอะ!
ขณะกวาดค้อนขวางออกไป ฉินจิ่วเกอฉวยโอกาสที่โครงกระดูกไร้นัยน์ตา ลอบลงมีดอำมหิต ล้วงหอกสามคมออกมาตวัดจู่โจม
ฉินจิ่วเกอลงมือโดยลำพังครานี้ ผู้คนในบู๊ลิ้มล้วนสามารถเรียกขานมันเป็นราชันหอกสามคมอย่างเต็มปาก จากมุมที่มันจู่โจมหอกสามคมออก อำมหิตเผ็ดร้อนอย่างยิ่ง
เมื่อกำจัดโครงกระดูกไปนับร้อยโครง ตรงที่ไกลตาพลันปรากฎเนินเขาลูกใหญ่ที่มีรอยแตกขนาดมหึมา ก่อตัวเป็นโพรงถ้ำลึก ตรงดิ่งเข้าสู่ใจกลางขุนเขาบรรพต
ฉินจิ่วเกอสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในห้วงบรรยากาศที่กำลังเต้นเร่า คนเร่งทะยานเข้าสู่ร่องโพรงเร็วรี่