เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 200 เจตนาไร้ลักษณ์
ตอนที่ 200 เจตนาไร้ลักษณ์
ฉินจิ่วเกอสีหน้าไม่ยินดียินร้าย เพียงขยายความอย่างสงบนิ่ง ท่วงท่ายังคงปลอดโปร่ง “ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ด้วยกำลังของเมืองซวนอู่ เผชิญกับคลื่นสัตว์อสูรคราวนี้ไม่มีทางรอดเหลืออยู่เลย มีทางเดียวคือต้องย้ายไปยังเมืองที่ใหญ่กว่าจึงจะปกป้องตนเองได้”
ในตำราเก่าแก่ บันทึกเกี่ยวกับคลื่นสัตว์อสูรมีอยู่มากมายเกลื่อนกล่น: ใต้หล้ามืดมัว ทุกที่ทางมีแต่ความดับสูญ สัตว์อสูรมืดฟ้ามัวดิน สรรพสิ่งมลายสูญ ภูเขาบรรพตล้วนกลายเป็นที่ราบ เมืองนครเหลือแต่โลหิตเต็มท้องธาร คนเพียงหยิบมือมีหรือจะต้านทานได้!
“นั่นก็แปลว่า เราจะไม่ปักหลักสู้ แต่จะถอยหนี ไม่เพียงไม่ต้านรับ แต่ให้ละทิ้งดินแดนของพวกเราไป?” มู่เหล่าขมวดคิ้ว หากไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่เหมาะแก่การลงมือ มันคงได้จัดการขั้นเด็ดขาดกับอีกฝ่ายไปแล้ว
“นี่เป็นการถอยอย่างมีจุดหมาย รักษากำลังของเราเอาไว้ เตรียมตอบโต้กลับภายหลัง คลื่นสัตว์อสูรบุกประชิด ยิ่งนำพาแรงกดดันหนาหนัก เมื่อเราหลบคลื่นพลังรุนแรงนี้ได้ รอจนสภาวะพลังนี้เสื่อมถอย ค่อยรวบรวมกำลังคนตอบโต้ภายในม้วนเดียว ด้วยกำลังของเมืองซวนอู่ เผชิญกับคลื่นสัตว์อสูรก็ไม่ต่างจากน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรเท่านั้น”
ฉินจิ่วเกอยิ่งพูดก็ยิ่งตีตื้นด้วยอารมณ์ พยายามข่มน้ำเสียงให้มั่นคงสงบนิ่งเท่าที่จะทำได้
“เพ้อเจ้อสิ้นดี!” เฉียนหยุนเมื่อเห็นว่าฉินจิ่วเกอโง่งมถึงเพียงนี้ ในใจก็ลอบลิงโลดยินดีรีบเสนอหน้าออกมาทำตัวเป็นฮีโร่
“อ้อ?เพ้อเจ้ออย่างไร?” ฉินจิ่วเกอถามยิ้มๆ ขณะเดียวกันก็ลอบกำหมัดเอาไว้
พวกที่ไม่เคยเห็นวิธีการของพรรคโลหิตนภามาก่อนอย่างพวกมัน ย่อมไม่อาจจินตนาการถึงความน่าหวาดกลัวของคนกลุ่มนี้ได้ อีกอย่าง เผ่ามนุษย์ใช่เป็นฝ่ายถูกต้องจริงหรือ?หากฉินจิ่วเกอก็ไม่คิดจะไปขุดคุ้ย มันเพียงแค่ต้องการปกป้องสิ่งที่มันต้องการจะปกป้องเท่านั้น
“ก็แค่เดียรัจฉานที่มาบุกรุกดินแดนเผ่ามนุษย์ ถูกลิขิตให้มาแต่ไม่อาจรอดกลับไป แต่เจ้ากลับเอ่ยวาจาให้ท้ายพวกมัน บ่อนทำลายจิตต่อสู้ของพวกเรา ข้าว่าผู้ฝึกวิชาปีศาจในโรงเตี๊ยมนั่น ต้องเป็นเจ้านัดแนะมาไม่ผิดแน่!”
เฉียนหยุนแน่นอนว่าไม่กลัวคลื่นสัตว์อสูรอันใดนั่น รอจนกองทัพมาถึง ถึงตอนนั้นเดียรัจฉานกลุ่มนี้ย่อมตกตายโดยไร้ที่กลบฝังแน่
ฉินจิ่วเกอพ่นลมออกจมูก มือขยุ้มศีรษะอย่างขัดใจ จากนั้นพลันระเบิดหัวร่อออกมา “ประการแรก คลื่นสัตว์อสูรนี้ยิ่งใหญ่มหาศาล มีสัตว์อสูรมากมายหลายแสนตัว ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุยังไม่อาจเข้าพัวพันได้นาน มิเช่นนั้นคงได้ทิ้งชีวิตไว้ในนั้น”
มู่หยวนผงกศีรษะเห็นพ้อง นี่เองก็เป็นสิ่งที่มันกังวลมากที่สุดในขณะนี้ คลื่นสัตว์อสูรที่พรรคโลหิตนภาชักนำมาก็ไม่ทราบมีจำนวนมากน้อยเท่าใดที่มุ่งหน้ามยังเมืองซวนอู่ หากมีจำนวนนับแสนหรือกระทั่งนับล้าน ต่อให้เป็นมัน ก็ยังต้องหัวโกร๋น
“ประการที่สอง” ฉินจิ่วเกอยกนิ้วเรียวขึ้นสองนิ้ว เผยให้เห็นรอยด้านบางๆ บนปลายนิ้ว “พี่เฉียน รบกวนท่านขยับเข้ามาหาข้าสักสองก้าว นั่นล่ะ เข้ามาอีกนิด”
เฉียนหยุนย่างสามขุมเข้าหา สองมือวางพาดเหนือเข็มขัด รอยยิ้มอัปลักษณ์เต็มใบหน้า
เจ้าซาลาเปาบ้านนอกนี่ ในที่สุดก็ยอมสยบให้กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมัน แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป ดังนั้นไปตายพร้อมกับซ่งเล่อเสียเถอะ
รอจนเฉียนหยุนเข้าใกล้ฉินจิ่วเกอ มุมปากของฉินจิ่วเกอที่เคยยกยิ้มก็จางหาย ด้วยความเร็วดั่งอสนีบาต เกิดเสียงเพียะคราหนึ่ง บนหน้าของเฉียนหยุนก็ปรากฏรอยฝ่ามือเพิ่มขึ้นหนึ่งรอย ส่วนเจ้าของร่างนั้น ได้ลอยละลิ่วไปแล้ว
“อ๊ากกก!” เฉียนหยุนและฉินจิ่วเกอต่างร้องออกมาพร้อมกัน
ทุกคนนิ่งมองเฉียนหยุนหมุนคว้างกลางอากาศเหมือนลูกหนังลมลั่ว ลอยหวือข้ามศีรษะพวกมันไปไกลสามห้าเมตร ไปกระทบเอาแถวเก้าอี้ลมระเนระนาด เศษไม้กระจัดกระจายเต็มพื้นที่
บนหน้ามัน ซาลาเปาแดงฉึ่งปรากฏแทนที่ สร้างความหวาดผวาแก่คนดู
“นายน้อยเฉียน!” ขี้ข้าหลายคนกรีดร้องเสียงหลง เฉียนหยุนถูกฉินจิ่วเกอเล่นงานจนหัวหมุน ตอนนี้ยังคงมึนงงและไม่ทันได้ตอบสนอง
ทุกคนหันไปมองฉินจิ่วเกอเป็นตาเดียว เจ้าตบตีผู้อื่น ผู้อื่นส่งเสียงกรีดร้องนั้นเป็นอันเข้าใจได้ แต่ตัวเจ้าเล่าจะร้องทำอะไร?
ฉินจิ่วเกอนวดมือที่ใช้ในการประทุษร้าย เรียกคืนความอบอุ่นสุขุมกลับมาอย่างกระดากอายนิดหน่อย “แค่กๆ ใบหน้าของนายน้อยเฉียนหนาทนจนเกินไป ทำเอามือข้าเจ็บระบมไปหมด น่าละอายจริงๆ”
“พรืด” อันติงหลันหลุดหัวเราะออกมาทันที รู้สึกว่าฉินจิ่วเกอน่ามองขึ้นหลายส่วน
กล้าเล่นงานเฉียนหยุน แถมยังมีท่วงท่าปลอดโปร่งลึกซึ้ง ภายใต้แสงสลัวที่ส่องกระทบใบหน้าคมคายของฉินจิ่วเกอ คางคมกริบที่กระทบคอเสื้อเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นช่างดูสุขุมลุ่มลึกจับใจ
“เจ้า เจ้ากล้าฆ่าคน เจ้าตายแน่!” ขี้ข้าคนหนึ่งทะลึ่งกายขึ้นด้วยโทสะ ราวกับถูกกระทำย่ำยีเสียเอง ตาแดงก่ำคู่นั้นจับจ้องฉินจิ่วเกอไม่วางตา
เหล่ามู่และเหล่าเหมียนหาได้แยแสไม่ นี่เป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งของเด็กๆ ไม่มีอะไรน่าแปลก อันหยางเองก็เห็นด้วยกับการกระทำของฉินจิ่วเกอ วิธีการของอีกฝ่ายช่างเป็นที่ถูกใจมันยิ่ง
ส่วนอาวุโสมู่หยวนนั้น มีเพียงกระแอมไอออกมา แม้คิดเอ่ยวาจาในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ให้กล่าวโทษฉินจิ่วเกอ?มู่หยวนมีหรือจะกล้า ท่านอาจารย์ของเจ้าหมอนี่คือบุคคลที่ตนไม่อาจแตะต้องเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น ข่าวทางฝั่งหนันกงอู่จี๋ก็ไปถึงหูประตูหายนะแล้ว อาวุโสมู่หยวนจึงพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้รางๆ
ให้ก่นด่าเฉียนหยุน?เรื่องนี้ ก็คงจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อย อย่างไรเสียเฉียนหยุนก็เป็นผู้เสียหาย มู่หยวนในฐานะมหายุทธกลั่นดวงธาตุ ไม่อาจกลับดีกลายเป็นร้าย มันหนังหน้าไม่หนาพอ
ฉินจิ่วเกอเผยอปากอย่างไร้เดียงสา ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู แต่สายตาที่ทุกคนมองมันกลับมีแต่ความรังเกียจขนลุก “ขงจื๊อเคยกล่าวไว้ สั่งสอนโดยไม่ให้ความกระจ่างเป็นพฤติการณ์แห่งทรราช”
“ใช่ๆ” ทุกคนผงกศีรษะเห็นพ้อง แต่ในเมื่อเจ้ารู้หลักการนี้ แล้วไฉนยังลงมืออีกเล่า?
ชี้นิ้วไปทางเสื้อสีขาวที่เฉียนหยุนสวมใส่ ฉินจิ่วเกอก็กระพือเสื้อตัวเองแล้วพูดปาวๆ “ทุกท่านไม่เห็นหรือว่าอาภรณ์ที่ข้าสวมกับของมันนั้นเป็นสีเดียวกัน?”
มู่หยวนผงกศีรษะตาม เสื้อของพวกมันล้วนเป็นสีขาว แปลว่ามีรากเหง้าเดียวกัน แล้วไยต้องลงมือลงไม้กันด้วยเล่า!
ฉินจิ่วเกอตบมือ “นั่นล่ะที่ข้าจะสื่อ ในเมื่อมันแต่งตัวเลียนแบบข้า ข้าจะสั่งสอนบ้างไม่ได้เชียวหรือ?”
“ฮ่าฮ่า” อันติงหลันหัวเราะจนหายใจไม่ทัน คนที่เหลือเองก็แอบหัวเราะตามๆ กัน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกยำเกรงในตัวฉินจิ่วเกอขึ้นหลายส่วน
มันกล้าเล่นงานเฉียนหยุน ไม่ว่าจะเพราะกล้าดีหรือเสียสติก็ตาม คนทั้งสองประเภทนี้ก็ไม่ใช่บุคคลที่พวกมันจะตอแยด้วยได้ พวกที่ใจฝ่อบางราย ถึงกับต้องถอดเอาเสื้อตัวนอกสีขาวที่ใส่มาออก หลีกเลี่ยงหายนะหล่นใส่กบาลกะทันหัน
“เอาล่ะๆ พวกเรามาคุยเรื่องกลยุทธการล่าถอยกันต่อเถอะ ทางเหนือของเมืองซวนอู่ มีสามหัวเมืองหลักตั้งอยู่ นับรวมกับเรา เท่ากับมีสี่เมือง ปกครองพื้นที่ในระยะแสนลี้รอบด้าน หากเราผนึกกำลังรวมกัน สมควรต้านทานจนกำลังเสริมมาถึงได้”
ฉินจิ่วเกอวางแผนไว้อย่างนี้ เป็นเพราะเวลาที่กระชั้นชิด ผู้ฝึกยุทธเมืองซวนอู่จำนวนมากจึงไม่อาจเดินทางได้ไกล จึงได้แต่รวมกำลังกับอีกสามหัวเมือง จดจ่ออยู่กับเมืองเพียงเมืองเดียว เหมือนการตอกตะปูลงกลางอาณาเขตแสนลี้
“ช้าก่อน” เหล่ามู่ลากเก้าอี้เข้ามาใกล้ “ที่นี่คือเขตแดนของเผ่ามนุษย์เรา จึงไม่มีวันถูกเผ่าอสูรอาละวาดคุกคาม หาไม่แล้วเผ่ามนุษย์จะเอาศักดิ์ศรีไปไว้ที่ไหน?ถอยไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ถอยไม่ได้ แต่ต้องปักหลักรอคอยกำลังเสริมเท่านั้น ต่อให้สัตว์อสูรพวกนั้นทรงพลังสักปานใด สุดท้ายก็เป็นเพียงเดรัจฉานกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”
แก่แล้วยังหัวแข็ง!ฉินจิ่วเกอก่นด่าในใจ อีกฝ่ายเป็นถึงกลั่นดวงธาตุ ตนไม่อาจลงไม้ลงมือใส่มันได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่พ้นถูกตบหน้าหงาย
ปักหลักคุ้มครองเมืองซวนอู่ เท่ากับเฝ้ารอความตาย รอจนคลื่นสัตว์อสูรบุกประชิดแล้วค่อยออกจากเมืองก็เท่ากับส่งตัวเองไปตาย หากไม่ผนึกกำลังเข้าด้วยกัน ย่อมไม่มีวันต้านรับได้เด็ดขาด
น่าเสียดายที่พวกหัวสูงแต่ไร้สามารถเหล่านี้ไม่ยอมเข้าใจ ยังคิดอีกว่าการสงครามครั้งนี้ตนเองมีสิทธิ์เต็มเปี่ยม คลื่นสัตว์อสูรที่พรรคโลหิตนภาวางแผนมาอย่างดิบดีไหนเลยจะรับมือได้ง่ายๆ อย่างที่พวกมันคิด
“เอาล่ะ” อาวุโสมู่หยวนหยุดกลิ่นดินปืนที่พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเมื่อในห้องประชุม ก่อนจะเปิดหน้าเพื่อรับลมเย็นระรื่นจากหุบเขาเข้ามา
“ตามที่เหล่ามู่พูดมา ปักหลักคุ้มครองเมืองซวนอู่ เฝ้ารอกำลังเสริมจากพรรค ทุกคนวางใจเถอะ คลื่นสัตว์อสูรไม่อาจทำอย่างไรกับเผ่ามนุษย์ได้ อย่างมากสามห้าวันทุกอย่างก็เป็นอันยุติ”
“ทราบ!” ทุกคนตอบรับเสียงสูง เหล่าเหมียนเองก็เห็นพ้อง
ซ่งเล่อนั่งตัวเกร็งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ได้ลุกขึ้น ลั่วเฉินกอดกระบี่คู่ใจเอาไว้ เพิกเฉยต่อทุกอย่างในห้อง ส่วนอันติงหลันก็กำลังยิ้มเยาะรอดูว่าเฉียนหยุนจะตอบโตอย่างไร
ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง หายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้าขาวนวลผ่องใสปรากฏเส้นเลือดดำขึ้น ร่างส่ายไหว นิ้วทั้งสิบกดลงบนโต๊ะจนข้อนิ้วขาวซีด
รอจนทุกคนจากไป อันหยางก็เดินเข้ามา ตั้งใจจะปลอบใจฉินจิ่วเกอ แต่ก็ถูกปัดมือออก
“ปัญญาอ่อน ไร้สมอง โง่เขลา พวกไม่มีหัวคิด!” ฉินจิ่วเกอชี้นิ้วจดแทบทิ่มจมูกอันหยาง ก่นด่าจนน้ำลายแตกฟอง
อันหยางถูกด่าจนซวนเซไปสามก้าว หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก่นด่ามันแบบนี้ ต่อให้เป็นเฉียนไป๋พี่ชายของเฉียนหยุนก็ยังไม่เหิมเกริมขนาดนี้ แต่ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นน้องเขยมันเล่า เพื่อการตบแต่งออกไปของน้องสาว มันจึงต้องทนไว้
“พี่ฉินใจเย็นก่อนเถอะ ที่จริงที่พวกเราออกมาครั้งนี้ ก็เพราะได้รับคำสั่งจากอาวุโสให้เป็นกำลังช่วยเหลือหัวเมืองหลักต้านรับสัตว์อสูร ส่วนเรื่องอื่นนั้น ถึงตอนนั้นย่อมมีคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบมาสานต่อเอง”
“เจ้าคิดว่าพรรคโลหิตนภาโง่งมจนถึงขั้นปล่อยให้พวกเจ้าทำอะไรตามใจงั้นสิ?” ฉินจิ่วเกอแค่นหัวร่อเสียงเย็น “ใช่ว่าเจ้าไม่ได้ประสบเหตุการณ์ที่เมืองเทียนเอินมาก่อน ขาดอีกเพียงนิดเดียวพรรคโลหิตนภาก็สามารถฆ่าล้างบางจนเกิดการนองเลือดทุกหย่อมหญ้าได้แล้ว”
“แต่ไม่ใช่ยังมีท่านอาจารย์ของพี่ฉินอยู่หรือ ขอเพียงท่านผู้สูงส่งยอมออกหน้า คนที่พรรคโลหิตนภาส่งมาย่อมไม่ใช่คู่มือท่านแน่นอน”
ฉินจิ่วเกอเผยแววกังวลออกมา เผลอนึกถึงเรือนร่างยั่วยวนของไป๋หลี่ชิงเฉิงขึ้นวูบ จากนั้นก็สะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป “ข้ากังวลว่าด้วยความสามารถด้านข่าวกรองอันยากจะหยั่งคาดของพรรคโลหิตนภา พวกมันคงจะรู้ที่ตั้งของพรรคหลิงเซียวข้าแล้ว และใช่ว่าพวกมันจะไม่ส่งคนไป”
“อย่างมาก หากไม่อาจป้องกันเมืองซวนอู่ได้ ก็ฝ่าลงล้อมออกไปก็พอแล้ว” อันติงหลันเอ่ยถามอย่างไม่เดียงสา ต้องระเบิดโทสะปานนี้ด้วยหรือไง ทำคนตกอกตกใจหมด
ฉินจิ่วเกอไม่พอใจ สีหน้าท่าทางออกชัดแจ้ง “ถึงตอนนั้น สี่ทิศแปดทางมีแต่สัตว์อสูรรายล้อม นอกจากกลั่นดวงธาตุ มิเช่นนั้นท่านจะทะลวงฝ่าออกไปอย่างไร ยิ่งกว่านั้นผู้ฝึกวิชาปีศาจของพรรคโลหิตนภาย่อมต้องปรากฏกายออกร่วมวง”
เมื่อคิดถึงตอนนี้ ในใจฉินจิ่วเกอยิ่งพะวง เจ้าอ้วนน่าตายและศิษย์น้องทั้งหลายพลังฝีมือยังอ่อนด้อย หากเมืองไม่อาจยันไว้ได้ ไม่ว่าไข่ฟองใดก็ไม่อาจหลุดพ้นเมื่อรังทลายไปได้ ฉินจิ่วเกอดูแล้ว ความเป็นไปได้ไม่น้อยเลย
น้ำคำของมันยิ่งเพิ่มความดุดัน “ข้าเข้าใจแล้ว เมืองซวนอู่แตกไม่แตก ตายไม่ตาย พวกมันกลั่นดวงธาตุ ยังมีพวกตระกูลใหญ่ยังไงก็รอด แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางสงบใจใคร่ครวญตัวเลือกนี้”
“พี่ฉิน ท่านฟังข้าก่อน…”
ฉินจิ่วเกอที่กำลังโทสะอัดอกไม่รอฟังอันหยาง ยกมือขึ้น “พอ ข้าจะออกไปเดินสักรอบ พวกมันจะเป็นยังไงก็ช่าง”
อันหยางแตะปลายจมูกอย่างกระอักกระอ่วน น้องเขยมันคนนี้อารมณ์มุทะลุดุดันจริงๆ ไม่ต่างพริกไทยเลย ลั่วเฉินมองดูเงาหลังที่เดินไหลออกไปของฉินจิ่วเกอ สำหรับกับศิษย์พี่ใหญ่มันคนนี้ มันนับว่ามีความเชื่อมั่นอยู่ไม่น้อย
“หรือว่า เมืองซวนอู่จะไม่อาจต้านอยู่ได้จริงๆ” ลั่วเฉินพึมพำ
ซ่งเล่อกังวลไม่น้อย “หากต้านไม่ไหว ในเมืองซวนอู่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำไม่น้อย เกรงว่า”
อันหยางลดเสียงลง “อย่าไร้คิดฟุ้งซ่าย ย่อมต้องยันไว้ได้แน่นอน คลื่นสัตว์อสูรแม้มากมายมหาศาล ทว่ากระจัดกระจายไม่รวมตัว ที่มาถึงเมืองซวนอู่ได้ย่อมมีไม่มาก”
“หวังว่าจะเป็นตามนั้นเถอะ” ลั่วเฉินยิ้มออกมาคำหนึ่ง ไม่กล่าวกระไร