เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 191 อนิจจา
ด้วยการใช้ข่ายปราณข้ามมิติขนาดย่อมเยา ทำให้ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินเดินทางช้าบ้างเร็วบ้าง ห้าวันให้หลัง พวกมันก็กระหืดกระหอบกลับมาถึงพรรคหลิงเซียวในที่สุด
เดิมทีวางแผนว่าจะเข้าเมืองซวนอู่ในทันที แต่กลับพบว่าภายในเมืองมีผู้คนมาออกันอยู่อย่างเนืองแน่น ศิษย์จากพรรคใหญ่มีอยู่เกลื่อนล้น
หลักๆ แล้วก็คือศิษย์จากหุบเขาเพลิงราชันและประตูหายนะส่องค่ายพรรคใหญ่ พวกมันกลับมารวมตัวกันอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่มีแต่ความป่าเถื่อนวุ่นวายนี้อย่างเนืองแน่น
เมื่อเห็นว่าในเมืองมีคนเยอะ ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินจึงเลือกที่จะกลับพรรคก่อน เพื่อสอบถามความเห็นจากอาวุโสใหญ่
เพิ่งเหยียบพ้นปากประตูทางเข้าพรรค ตรงกลางจัตุรัสลาน กลับมีธงสูงสามจั้งขนาดเท่าคนกำลังพัดพลิ้วไปตามแรงลม
บนผืนธงสีดำเขียนไว้ด้วยอักษรสีทอง ตัวอักษรราวกับจะลอยทะลุออกมา ตัวธงสลักไว้ด้วยลวดลายงามสง่า
ลั่วเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง ผืนธงน่าเกรงขามนี้ ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปเท่าไหร่กัน แล้วนี่อาวุโสสามไม่ออกมาแสดงความเห็นบ้างเลยรึ?
อาวุโสสามที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ในห้องแน่นอนว่าต้องมีความเห็นอยู่แล้ว จากคำสั่งการของอาวุโสใหญ่ พรรคหลิงเซียวในครั้งนี้จะต้องแผ่บารมีให้เป็นที่ประจักษ์ให้ได้
หลังเหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูร พวกมันก็จะเข้าร่วมศึกมหายุทธ์อย่างยิ่งใหญ่อลังการ
อยากเล่นใหญ่ก็ต้องดูดี อยากดูดีก็ต้องทุ่มงบประมาณ อาวุโสสามอยากร้องไห้เป็นท้องธาร ยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดว่าต้องเอาให้เรียบง่ายเข้าไว้
เช่นว่าผืนธงอันเกรียงไกรนี้ สลักลวดลายเงินทองนี้ ด้ามธงที่ทำจากศิลาหยกนี้ มันจะฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อยแล้ว
หลังเขาของพรรคเรามีเหยือกกล้วยใบกล้วยเยอะแยะ เอามาฉีกๆ โปะๆ เข้าไปยังจะไม่เร็วกว่า สะดวกกว่าหรือ?
คาดว่าอาวุโสใหญ่ไม่คิดถกด้วยเหตุผล จัดการยึดทรัพย์บรรดาศิษย์น้องของมันอย่างไม่ให้ตั้งตัว แล้วไปตามช่างฝีมือจากเมืองซวนอู่ให้มารังสรรค์ร่มธงอันไฉไลและทรงเกียรติยิ่งกว่าผืนธงแห่งสวรรค์ผืนนี้ขึ้น
พรรคข้าฟ้าอารักษ์ เกียรติหลิงเซียวสะท้านฟ้า!
ตัวอักษรทั้งแปด ตระหง่านค้ำฟ้าดิน สูงส่งศักดิ์สง่า
ฉินจิ่วเกอที่เห็นอาวุโสสามเดินร่ำไห้ปิดหน้าปิดตามาแต่ไกล จึงอดไม่ได้ต้องเข้าไปปลอบใจว่า “อาวุโสสาม ท่านอย่าร้องไปเลย เงินก็เปราะเหมือนเปลือกไข่ แค่ลมโชยใส่ก็แตกร้าว ท่านก็ปลงให้ได้เถอะ”
อาวุโสสามลดมือลง ที่แท้มันไม่ได้ร้องไห้ แต่กำลังหัวเราะ แถมบนฟันสีเหลืองยังมีเศษเกี๊ยวที่กินไปเมื่อกลางวันติดอยู่อีกด้วย แล้วมันก็กล่าวด้วยโทนเสียงพิกล “เจ้าว่าใครร้องไห้?”
ฉินจิ่วเกองุนงง “ไฉนท่านถึงได้ยิ้มร่าเสียขนาดนี้ ธงผืนนี้คงจะต้องใช้เงินไม่น้อยไม่ถูกหรือ?”
อาวุโสสามแคะฟัน ตอบ “จิ๊ๆ เราผู้เฒ่าเป็นคนรักเงินขนาดนั้นเลยรึไง?”
“ใช่” ลั่วเฉินผู้สัตย์ซื่อ ตอบอย่างสุภาพบุรุษ
“ไม่ใช่” ฉินจิ่วเกอผู้ลื่นไหล ตอบอย่างมีประสบการณ์
อาวุโสสามตอบอย่างร่าเริง “ที่จริงตอนแรกเราผู้เฒ่าก็หดหู่ซึมเซาไปหลายวัน แต่ได้ยินศิษย์พี่บอกว่า คำพวกนี้เป็นเด็กน้อยเจ้าคิดออกมา”
ลั่วเฉินได้ยินดังนั้นก็บังเกิดความเลื่อมใสในตัวศิษย์พี่ใหญ่ขึ้นมาบ้าง
คำพูดบนผืนธงนั้น ที่จริงแสดงให้เห็นความเป็นพรรคหลิงเซียวอย่างชัดเจน แต่ทำให้อาวุโสสามต้องควักเงินแบบนี้ ไม่กลัวว่ามันจะจัดการเจ้าจนเลือดตกยางออกบ้างรึ?
ฉินจิ่วเกอเริ่มตัวสั่นเยือกขึ้นมา จู่ๆ ก็เกิดปวดเบาขึ้นกะทันหัน แต่ทันใดนั้นมันก็ถูกอาวุโสสามรั้งเอาไว้ก่อน “ตอนแรกเราผู้เฒ่าอยากจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น แต่พอคิดๆ ดูแล้ว เอาไว้รอให้เสร็จจากการแข่งขัน หากพรรคของเราไม่ผงาดค้ำฟ้า พวกเจ้าก็จะได้รู้ว่านรกคืออะไร”
ฉินจิ่วเกอหันไปมองลั่วเฉิน ล้อกันเล่น มีพระเอกอยู่ด้วยทั้งคน การแข่งขันครั้งนี้ยังจะแพ้ได้อีกหรือ?
“อาวุโสวางใจได้ หากไม่อาจคว้าลำดับหนึ่งมาได้ จิ่วเกอยินดีที่จะเดิมพันด้วยหัวโตๆ นี้ ให้ท่านเอาไปใช้ยิงแทนก้อนดินเหนียวได้เลย”
“เจ้าแน่ใจขนาดนั้นเชียว?” อาวุโสสามถึงกับผงะ เหมือนที่ศิษย์พี่ว่าไว้เลย หมู่นี้เจ้าเด็กนี่ช่างอวดเบ่งดีแท้
นี่ข้าควรที่จะตบเรียกสติมันสักฝ่ามือ หรือควรที่จะจิกมันสักสองทีด้วยความกระปรี้กระเปร่าดี?
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะแข็งตึง ลั่วเฉินจึงกล่าวประณีประนอม “ไม่ทราบว่าเหตุใดอาวุโสสามถึงได้ดูมีความสุขขนาดนี้?”
อาวุโสสามรามือจากฉินจิ่วเกอ บนใบหน้าแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง หากมีแมลงวันบินหลงเข้ามาคงถูกรอยย่นเหล่านั้นบี้ตาย “ที่จริงวันนี้เราผู้เฒ่าอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่จู่ๆ ก็มีพวกชะตาอาภัพโผล่เข้ามา ตอนนี้ถูกลากตัวไปที่ห้องโถงหลัก ข้าก็เลยอารมณ์ดีขึ้นแยะ”
“อ้อ”
ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินต่างรู้ดีว่าที่จริงอาวุโสสามเป็นพวกยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น พอได้รู้ว่ายังมีคนที่ดวงชะตาอาภัพกว่าตนโผล่มา อยู่ๆ ก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเป่าเสียอย่างนั้น
“อีกฝ่ายเป็นใคร?” สุภาพบุรุษฉินผู้แสนดีไม่อาจทำใจเห็นคนเลือดตกยางออก
อาวุโสสามเลิกคิ้ว แหงนหน้ามองฟ้า “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง แต่ได้ยินว่าคนผู้นี้มาหาเจ้า เจ้าคนอับโชคนั่น จ้างคนให้พามันมาที่นี่ เนื้อตัวมีแต่รอยช้ำดำเขียว ผ้าพันแผลนี่ยั้วเยี้ยไปหมด สารรูปไม่น่าดูเลยจริงๆ”
ฉินจิ่วเกอเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี รีบวิ่งหน้าตั้งไปที่ห้องโถงหลัก โดยมีลั่วเฉินพ่วงท้าย
ภายในห้อง กลิ่นอายชวนหดหู่เห็นใจลอยตลบ อาวุโสใหญ่กำลังง่วนอยู่กับภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ด้านล่างตั้งเก้าอี้ไว้สองตัว จับเข้าหากัน ด้านบนวางแผ่นไม้ผุๆ ไว้หนึ่งท่อน พร้อมคนที่มีแต่บาดแผลเต็มตัวผู้หนึ่ง ถูกห่อผ้าจนเป็นมัมมี่นอนใกล้ตายอยู่บนนั้น
อาวุโสใหญ่รามือจากสิ่งที่ทำอยู่ หันมาถอนใจเบาๆ หายนะแท้ๆ ผีอับโชคที่เขาร่ำลือกันในตำนาน เห็นทีจะเป็นเจ้าคนตรงหน้านี้กระมัง?
คนที่ถูกพาดพิงผู้นั้นกำลังนอนพังพาบอยู่บนแผ่นไม้ผุๆ เนื้อตัวแดงเขียวเป็นจ้ำๆ บนผ้าพันแผลยังสามารถเห็นบุปผาสีแดงกระจัดกระจายเป็นดอกดวง ดูไปดูมาก็ออกจะน่ารักอยู่เหมือนกัน
ฉินจิ่วเกอพอเร่งรุดเข้ามาถึง ทันทีที่เห็นมัมมี่ตรงหน้า มันก็สะกิดอีกฝ่ายด้วยปลายเท้าอย่างละมุนละม่อม “เจ้าน่ะ ตายหรือยัง?”
เจ้าคนที่นอนอยู่หายใจรวยริน ราวกับเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับนกกาเหว่าปริ่มจะขาดใจ “ยัง แต่ก็คงไม่นานแล้ว”
ฉินจิ่วเกอตกตะลึงพรึงเพริด ตาเบิกกว้าง คิ้วดกดำเลิกสูง “ท่านที่เคารพ ท่านเป็นใครมาแต่ไหน ไฉนน้ำเสียงท่านถึงได้คุ้นหูข้าปานนี้?”
มัมมี่บนแผ่นไม้พยายามที่จะลุกขึ้นนั่ง มันปัดป่ายแขนที่มีแต่บาดแผลไปมา จนเส้นเลือดแทบปริแตก “พี่ฉิน ข้าเอง นี่ข้าเอง!”
“คุ้นจริงๆ” แม้แต่ลั่วเฉินยังต้องพยักพเยิดว่าเจ้ามัมมี่ตรงหน้านี่ช่างคุ้นตาจริงๆ
“ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าคุ้นตายิ่ง ไม่รู้ว่าเคยเห็นเจ้าที่ไหน?” ภายใต้ผ้าพันแผลหนาเตอะ แว่วเสียงรวยริน
ฉินจิ่วเกอตะแคงซ้ายตะแคงขวา มองแล้วมองอีก “ประทานโทษนะท่าน แต่ท่านที่เคารพเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันแน่ ท่านใช่มาผิดที่แล้วหรือไม่?”
เจ้าคนที่นอนหมดสภาพยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง ไหล่สั่นเทิ้ม “พี่ฉิน นี่ข้าเอง ข้าซ่งเล่อ ซ่งเล่อ!”
“ซ่งเล่อ?” ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน ในใจเกิดความรู้สึกผิดขึ้น
มาคิดๆ ดู หรือจะเป็นอันติงหลันแม่นางไทแรนโนซอรัสที่ทุบตีซ่งเล่อจนบาดเจ็บสาหัสระดับแปดเช่นนี้ อย่างไรเสียซ่งเล่อก็เป็นถึงศิษย์เอกฝ่ายในของประตูหายนะ ต่อให้เป็นเฉียนหยุนที่เล่นไม่ซื่อ ก็ไม่มีทางโง่งมถึงขนาดลงมืออย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้
ส่วนลั่วเฉิน คราวก่อนในป่าปีศาจสวรรค์ มันกับศิษย์พี่ลอบลงมือต่ออีกฝ่าย ยามนี้มายืนประจันหน้าอยู่กลางห้องโถง ความมั่นใจที่เคยมีจึงต้องลดหลั่นลงไป
ฉินจิ่วเกอตะลึงงัน ก่อนจะฉีกยิ้มเอ่ย “พี่ซ่งอย่าได้ล้อข้าเล่น พี่ซ่งของข้ารูปหล่องดงามขนาดนี้ จะหาใครโดดเด่นทัดเทียมท่านนั้นไม่มี”
ดวงตามืดหม่นทึมเทาสองดวงเริ่มมีหยาดน้ำตาไหลปริ่มแล้ว “พี่ฉิน!เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว แต่เป็นเพราะคลื่นสัตว์อสูรประชิดใกล้เข้ามาทุกที ข้าก็เลยได้รับคำสั่งให้ไปป้องกันเมืองซวนอู่ แถมยังได้รับความเห็นชอบจากอาวุโสหยุนหลี”
“งั้นเจ้าไฉนถึงได้อยู่ในสภาพนี้ หรือจะเป็นฝีมือของเฉียนหยุน?บอกข้า แล้วข้าจะไปจัดการให้” ฉินจิ่วเกอกระทืบเท้า ในใจยังเหลือความหวังสุดท้าย
ซ่งเล่อทั้งที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ยังอุตส่าห์เร่งรุดมายังพรรคหลิงเซียว นี่พิสูจน์ว่ามันมองตนเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง
แต่พี่น้องอย่างฉินจิ่วเกอนั้น กลับคล้ายจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดหายนะน่าอัศจรรย์นี้
อีกอย่าง น้องรองในคราบปิดหน้าปิดตาเองก็เคยเล่นงานซ่งเล่อมาแล้ว หากซ่งเล่อเกิดล่วงรู้เข้า คาดว่าคงได้กระอักเลือดเก่าออกมาสามลิตร โอดครวญว่าสวรรค์ไร้ใจ กอดเข่าร่ำไห้ไปชั่วชีวิต
เพื่อที่จะให้ซ่งเล่อของเรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ฉินจิ่วเกอย่อมไม่มีทางบอกความจริงกับอีกฝ่าย
ซ่งเล่ออารมณ์ปั่นป่วน ทรวงอกหอบสะท้อนขึ้นลง หวดกำปั้น “ข้าพร้อมแล้วถึงได้เลือกที่จะเดินทางจากพรรคสู่เมืองซวนอู่ทันที แต่ใครจะไปคิด เพิ่งออกจากประตูพรรค กลับพบคนของหุบเขาเพลิงราชันเข้านับสิบนับร้อย แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกมัน อันหยาง ก็มาด้วย”
“แค่กๆๆ” ฉินจิ่วเกอกระอักไออย่างรุนแรง จนใบหน้าเริ่มแดงเห่อ รู้สึกผิดอยู่กลายๆ
ซ่งเล่อสองตาไร้ประกาย เอ่ยอย่างคนหมดหวัง “อันหยางผู้นั้นช่างไร้เหตุผลสิ้นดี อยู่ๆ ก็มาถามข้าว่าเจ้าใช่ซ่งเล่อหรือไม่ ข้าบอกไปว่าใช่ เท่านั้นแหละ มันก็ตะโกนด่าข้าว่าไอ้หน้าวอก ช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลเหลือเกิน”
“จากนั้นเล่า?” สุภาพชนลั่วเฉินถามต่อ ส่วนฉินจิ่วเกอผู้ร้อนตัวได้แต่เลื่อนตาหลบไปอีกทาง
ซ่งเล่อทอดถอนใจ แค้นใจที่ตัวเองอารมณ์ร้อน “จากนั้นข้าก็มีปากมีเสียงกับพวกมัน แล้วอยู่ๆ เจ้าอันหยางก็เรียกศิษย์ฝ่ายในของหุบเขาเพลิงราชันนับร้อย มีแม้กระทั่งศิษย์สายตรงมากลุ้มรุมข้า ทั้งยังประกาศนามประมุขพรรคของพวกมัน บอกว่าในนามของสวรรค์”
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ” ลั่วเฉินและฉินจิ่วเกอแววตาทอประกายจดจ่อ เรื่องราวนี้ช่างแฝงอันตรายอยู่ทุกฝีก้าว ชวนใจเต้นตุ้มต่อมๆ
ผ่านชั้นพันแผลหนาเตอะ ยังสามารถได้กลิ่นอายคาวเลือดจากกระบี่ที่ห้อยอยู่ข้างเอว ช่างเป็นกองทัพที่เกรียงไกร ผู้ใดพบผู้นั้นมิอาจไม่ใจหวั่นไหว
“ถูกคนเป็นโขยงกลุ้มรุม ต่อให้ข้าเป็นกลั่นดวงธาตุก็หนีไม่รอด ข้าเลยตะโกนออกมาประโยคหนึ่ง ***เถอะ!จากนั้นข้าก็ถูกคลื่นมนุษย์กลบกลืนจนสิ้นสติสมประดีไป แม้กระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกประทุษร้าย”
น้ำเสียงของซ่งเล่อเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หางเสียงกระทั่งสั่นเครืออยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะลงจากเก้าอี้ไม่ได้ มันก็คงวิ่งแจ้นจากไปแล้ว โลกนี้ช่างมืดหม่นและทึมเทา อัปลักษณ์เสียจนผู้คนต้องสิ้นหวังอย่างล้ำลึก
ฉินจิ่วเกอหลบหน้าหลบตา ร่ำร้องอย่างอาดูร “พี่ซ่ง ช่างน่าเจ็บปวด น่าเวทนา วีรชนชะตาอาภัพ!”
ลั่วเฉินเองก็รู้สึกทนไม่ได้ คนพวกนี้หน้าไหว้หลังหลอก นับว่าเกินไปจริงๆ “ซ่งเล่อ เจ้าวางใจเถอะ หากมีโอกาส ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเจ้าคนที่เรียกอันหยางนั่นให้เอง”
“อย่าลืมศิษย์สายตรงหุบเขาเพลิงราชันพวกนั้นด้วย!” ซ่งเล่อที่นอนแนบอยู่บนเก้าอี้ทะลึ่งตัวขึ้นด้วยแรงอารมณ์
เดือดร้อนฉินจิ่วเกอให้รีบกดมันกลับลงไปนอนที่เดิม จากนั้นผงกศีรษะทั้งน้ำตา “เจ้าวางใจได้ พวกมันจะต้องชดใช้แน่”
“อย่าลืมศิษย์ฝ่ายในของพวกมันด้วย!” ซ่งเล่อผู้แสนชอกช้ำร้องบอกออกมาอีก เส้นเสียงแทบฉีกขาด
ฉินจิ่วเกอยังคงผงกศีรษะให้คำมั่น “ได้ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง”
“แล้วก็พวกที่เมินเฉยไม่ยอมช่วยข้าด้วย!” ซ่งเล่อยังคงน้ำเสียงวีรชนไล่ล่าเหล่ามารร้าย กำลังใจฮึกเหิมร้องกระหึ่ม
ฉินจิ่วเกอดวงหน้าอาดูร “ได้ ได้ นับคนพวกนั้นเข้าไปด้วย”
“หากทำได้ละก็ ยังมี…” ซ่งเล่อแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แตกระแหง รู้สึกยังไม่สาแก่ใจ
แต่ลั่วเฉินนั้นเหลืออด เดิมดุ่มๆ เข้ามาหยิกเข้าที่แผลของซ่งเล่อจนหน้าเขียว “ตื่นได้รึยัง?”
ซ่งเล่อเอ่ยอย่างขื่นขม “ตื่น ตื่นแล้ว โอย ครั้งนี้ข้าเจ็บตัวเปล่าแท้ๆ แต่ยังไงก็คิดไม่ตก หุบเขาเพลิงราชันกับข้าไม่เคยขวางมือขวางเท้ากันมาก่อน แล้วเหตุไฉนถึงต้องทำกับข้าเช่นนี้”
ฉินจิ่วเกอหนังหน้าบิด โบกไม้โบกมือ “พี่ซ่ง โลกนี้มีหลายเรื่องราวที่ไม่อาจคลี่คลายกระจ่าง ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าไฉนเจ้าเทียนหมิงเสียนั่นมีความแค้นท่วมฟ้ากับข้าเลย”
“ใช่แล้ว!” กว่าจะเสาะหาน้ำเสียงแห่งผู้ร่วมชะตากรรมพบล้วนไม่ง่าย ซ่งเล่อปลายหางตามีน้ำตาหลั่งไหล