เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 19 ตายไม่ว่าแต่ไม่มีเงินนั้นไม่ได้
มารดามันเถอะ ตนเองและพี่ฉินท่านนี้สมควรควรดวงชงกันอย่างสาหัส หากรอดกลับไปได้นับว่าเป็นโชควาสนาแล้ว
“สัตว์ประหลาดจะไปน่ากลัวอะไร” ฉินจิ่วเกอบ่ยั่น บนพื้นเริ่มปรากฎเศษชิ้นส่วนของวัตถุที่คาดว่าน่าจะเป็นชุดเกราะอยู่ประปราย แต่ก็ถูกฉินจิ่วเกอเตะทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เพียงแต่คราบที่ติดแน่นอยู่บนนั้นไม่ทราบว่าจะใช่เนื้อมนุษย์หรือไม่
เสื้อคลุมดำเป็นพวกรักความสะอาด ระหว่างเดินจึงใช้ไอวิญญาณห่อหุ้มเท้าทั้งสองข้างเอาไว้ ดังนั้นจึงสามารถก้าวเดินไปตามทางที่มีแต่เศษซากระเกะระกะสายนี้ได้อย่างสบายใจ “อ้อ ที่แท้เจ้าก็ไม่กลัวเรื่องทำนองนี้”
“จะซากศพหรือโครงกระดูกมีอะไรให้ต้องกลัว” ฉินจิ่วเกอเห็นว่าอีกฝ่ายชวนทะเลาะ เสียงก็เลยไต่ระดับขึ้นสูง “ดั่งคำที่ว่าข้าวหม้อเดียวเลี้ยงคนร้อยประเภท ต่อให้เป็นสิ่งพิสดารพันลึกยิ่งกว่านี้ข้าก็เคยพบเห็นมาหมดแล้ว”
ฉินจิ่วเกอโอบไหล่ซ่งเล่อเข้ามาใกล้ “ก็เหมือนกับศิษย์น้องสี่ของข้า สูงแปดศอกเอวกว้างแปดศอก เรียกได้ว่าเป็นปฐมเจดีย์เคลื่อนที่ได้ของโลก พี่ซ่งท่องเหนือจรดใต้ ในเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยพบใครที่เทียบเคียงได้บ้างหรือไม่?”
ซ่งเล่อรีบส่ายหน้าเร็วหวือ นึกถึงศิษย์น้องของฉินจิ่วเกอคนนั้นแล้วก็รู้สึกขึ้นมาว่าโครงสร้างกระดูกของคนๆ นั้นช่างน่ามหัศจรรย์อะไรอย่างนี้ สมแล้วที่คนประเภทเดียวกันมักจะดึงดูดคนประเภทเดียวกันเข้ามา
“ยังมีอาวุโสภายในพรรคข้าอีกคน คนมีใบหูสมปรารถนา ตาวาวเหมือนเหรียญ จมูกคล้ายถูกถ่วงด้วยตาชั่ง ศีรษะเหมือนลิ่มโลหะเนื้อตัวเหมือนคลังสมบัติ ยามก้าวเดินจะส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋งตลอดรายทาง ลองคิดดูสิ ทั่วทั้งทวีปฉงหลิงอันกว้างใหญ่ จะหาคนประเภทนี้ได้ที่ไหนอีก?”
ยามเอ่ยถึงสิ่งมหัศจรรย์ภายในพรรค ฉินจิ่วเกอท่าทางแคล่วคล่องปานแจกแจงรายการมรดกให้คนในตระกูล
ยังมีอาวุโสห้าที่คล้ายไม่บ้าแต่ก็บ้า กับอาวุโสสี่ที่กินยาพิษฉลองวันเกิด และอื่น ๆ อีกมากมาย
ซ่งเล่อเป็นต้องสั่นศีรษะอีกครั้ง ดูเหมือนว่าพี่ฉินคนนี้จะผ่านอะไรมามากมายจริงๆ มิน่าแม้แต่ซากศพยันโครงกระดูกถึงทำอะไรมันไม่ได้
และไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจิตใจของคนๆ นี้ถึงได้บิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าเดิม การที่ต้องอยู่ในสถานที่เยี่ยงนั้น จะต่างอะไรกับการตกนรกทั้งที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์ คนที่มาจากที่นั่นย่อมเป็นพวกปีศาจอสุรกายที่ตกน้ำก็ไม่ไหลตกไฟก็ไม่ไหม้อย่างแน่นอน
พอมองฉินจิ่วเกออีกที นอกจากหน้าเงินไร้ยางอายไปสักหน่อย นิสัยตรงจุดอื่นนับว่าดีงามไม่น้อย หากจะให้ถูกควรเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกทางด้านศีลธรรมจรรยาเลยมากกว่า
พรรคหลิงเซียวช่างเป็นพรรคที่น่าพิศวงโดยแท้ หากเป็นพรรคสำนักอื่น ปกติแล้วย่อมพยายามชุบเลี้ยงผู้สืบทอดรุ่นต่อไปสุดกำลัง ดึงศักยภาพและโหงวเฮ้งดวงชะตาฟ้าดินแห่งมรรคายุทธ รวมถึงขอบเขตสภาวะจิตอันไร้ซึ่งความหวาดกลัวออกมาให้เต็มที่
กลับกลายเป็นว่าในพรรคหลิงเซียว นอกจากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว คนอื่นๆ เห็นทีคงจะมีแต่พวกนอกลู่นอกทางกระมัง
คาดว่าประมุขพรรคหลิงเซียวคิดก่อตั้งสมาคมคนพิการคนเจ็บคนแก่ขึ้นมาหนึ่งแห่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินแรง เมื่อถึงเวลาอันสมควรก็ยกพวกไปตีสถานพักฟื้นคนชราจากทางใต้ รุมกระทืบสถานเด็กเลี้ยงจากทางเหนือ รวบรวมใต้หล้าเข้าเป็นหนึ่ง กลับกลายเป็นยอดคนแห่งแผ่นดินไปในที่สุด
ซ่งเล่อผงกศีรษะให้กับจินตนาการของตัวเอง ฉินจิ่วเกอมองดูท่าทีของอีกฝ่ายก็ได้แต่รู้สึกเห็นใจ คนหนุ่มนี่หนอ เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ
ไม่ได้ตระหนักเลยว่า ซ่งเล่อเองก็กำลังเห็นใจมันอยู่เช่นเดียวกัน สามารถรักษาความเป็นมนุษย์ทั้งที่ต้องอยู่ในพรรคเยี่ยงนั้น ก็ถือว่าเป็นความการุณจากฟ้าแล้ว
ในกลุ่มคนทั้งสาม นอกจากฉินจิ่วเกอแล้ว คนที่เหลือต่างก็พยายามไม่ต่อล้อต่อเถียงกับมัน เพราะการพูดจนปากไม่มีหูรูดอย่างนี้มีแต่พวกสมองป่วยอย่างฉินจิ่วเกอเท่านั้นที่ทำได้
“สหายทั้งสอง ข้าว่าพวกเราตึงเครียดกันเกินไปหน่อยหรือไม่” ฉินจิ่วเกอหยุดเดิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ทราบหรือไม่ว่าเรื่องที่ทำให้มนุษย์เจ็บปวดที่สุดในชีวิตคือสิ่งใด?”
“คำตอบก็คือไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการไม่มีเงินอีกแล้ว!”
โดยไม่รอให้ทั้งสองคนได้ตอบ ฉินจิ่วเกอก็ถามเองตอบเอง ก่อนจะถอนใจแล้วถอนใจอีก ท่าทางเศร้าสลดยิ่ง เหมือนยอดวีรชนผู้ไร้คู่ต่อกรที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงลิบฟ้า
“ทว่ามีชีวิตแต่ไม่มีเงิน ก็ยังไม่เลวร้ายเท่าเข้าส้วมแต่ไม่มีกระดาษชำระ”
พรืด
เสื้อคลุมดำที่เดินอยู่หน้าสุดหลุดขำออกมา หากก็พยายามกลั้นขำเอาไว้สุดชีวิต กระนั้นก็ยังเห็นไหล่ที่สั่นกระตุกได้อยู่ คล้ายกำลังทำท่ากายบริหารอะไรสักอย่าง
“พี่ซ่ง แม้แต่คนตายเองก็ยังตัดไม่ขาดจากปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ” ฉินจิ่วเกอเดินเครื่องสุดกำลัง “ถ้าหากบนโลกนี้มีคนตายที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อยู่จริงๆ ท่านโปรดวางใจ ข้าจะส่งใบกำกับภาษีไปให้มันเดี๋ยวนั้น เรียกเก็บภาษีเงินได้ส่วนบุคคลรวมถึงค่าปรับสาธารณะ ให้มันชดใช้ค่าทำขวัญของพวกเรา รับประกันว่ามันจะตกใจกลัวจนล้มหงายเก๋งกลับลงไปนอนในหลุมแต่โดยดี”
ซ่งเล่อนวดหัวคิ้วที่พลันปวดแปลบขึ้นมา มันค้นพบว่าตัวเองตามความคิดของพี่ฉินคนนี้ไม่ทันจริงๆ คำพูดคำจาของอีกฝ่ายเหมือนกวางติดปีก จับไม่ได้ไล่ไม่ทันอย่างแท้จริง
หากก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หลักการจนตามไม่ทันเสียทั้งหมด อย่างน้อยๆ สามในห้าประโยคก็เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ จริงๆ
“พี่ฉิน ท่านคงเพี้ยนไปแล้วจริงๆ คนตายไปแล้วท่านยังจะกล้าทวงเงินอีกหรือ?” ปาดเหงื่อเย็นบนใบหน้า หากจู่ๆ มีศพคนตายคลานขึ้นมาจากหลุม มันไม่สกัดปล้นพวกตนก็ถือว่าสวรรค์เมตตามากแล้ว ถึงตอนนั้นท่านยังจะกล้าทำตามที่พูดอีกหรือไม่?
“มหาวิถีแสนเรียบง่าย คือคนหรือผีล้วนเท่าเทียม” ชูนิ้วขึ้นฟ้าพร้อมสาบานด้วยจิตใจอันเอ่อล้นด้วยคุณธรรม แม้ว่าในมิติอันลี้ลับที่มันอยู่นี้จะมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้าเลยก็ตาม
“ขอเพียงคนตายเต็มใจที่จะยกมอบทรัพย์สินให้ ข้าไม่เพียงจะเคารพยกย่องด้วยความรัก แต่ยังพร้อมอ้าแขนรับโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคนหรือผี ข้าจะรับรองสิทธิลงคะแนนเสียงและสิทธิการถอดถอนของพวกมัน!”
ฉินจิ่วเกอยกมือลูบคาง กระดูกกะโหลกยังต้องถอนใจ คนตายไปแล้วใครว่าจะหมดห่วงได้จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเงินก็ยังคงเป็นจุดอ่อนอยู่วันยังค่ำ
ขนาดตนเกิดมาสามชาติ ยังมิใช่ถูกเงินบงการไม่อาจหลุดพ้นหรือ
“ดีแต่คุยโวไร้สาระ หากมีผีโผล่ออกมาจริงๆ ข้าอยากจะดูสักหน่อยว่าเจ้าจะทำยังไง” เสื้อคลุมดำปิดปากเอ่ยเยาะเสียงต่ำ
ซ่งเล่อเองก็เริ่มขยับไหล่ด้วยความอึดอัดไม่สบายใจ ตอนนี้บาดแผลของมันทุเลาลงแล้ว เพียงแต่กำลังกายเพิ่งจะฟื้นกลับมาได้เพียงหกส่วน
ลอบมองไปทางฉินจิ่วเกอ พบว่าสีหน้าอีกฝ่ายขึงขังเอาจริงเอาจังเหมือนหินผา เข้าใจว่าไม่ได้ล้อเล่นแน่
จบสิ้นแล้ว คนเป็นกลัวคนไร้เหตุผล คนไร้เหตุผลกลัวคนบ้า คนบ้ากลัวคนตาย ที่คนตายกลัว คือคนไร้ยางอาย
เห็นๆ กันอยู่ว่าพี่ฉินท่านนี้แม้ภายนอกจะดูใจดี แต่ที่จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ สีหน้าจะเต็มไปด้วยความระทมเคียดแค้นใจ
“นี่พวกเจ้าเห็นข้าเป็นคนหน้าเงินกันหรืออย่างไร?” ฉินจิ่วเกอหัวเราะตบเข่าฉาด โลกพิลึก คนที่นี่ยิ่งพิลึก ไม่มีอารมณ์ขันกันเสียเลย ชื่อเสียงเงินทองข้าล้วนไม่ชายตาแยแสพวกเจ้ารู้บ้างหรือไม่
ซ่งเล่อและเสื้อคลุมดำผงกศีรษะโดยไม่ต้องคิด ซ่งเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอยู่บ้าง “พี่ฉินอ่อนไหวกับเรื่องเงินทองจริงๆ นั่นแหละ”
“พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน” ก่อนอื่นตนถูกค่ายกลปริศนาลักพาตัวมาที่ใดไม่อาจทราบ ถึงจะหนีพ้นจากคมเขี้ยวของอสรพิษปาฉือมาได้ชั่วคราว แต่ฉินจิ่วเกอมั่นใจยิ่งนักว่า ตนกำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่ยักษ์ยิ่งกว่า
เหตุผลนั้นเรียบง่าย บรรยากาศของที่นี่ช่างเงียบเหงาวังเวงเหมือนป่าช้า มองไปสุดสายตาไร้วี่แววของชีวิต ถึงกระนั้นบนพื้นกลับเรียงรายไปด้วยซากสถาน เศษชุดเกราะ และเกล็ดอะไรบางอย่าง
ชัดเจนว่าที่นี่มีคนตั้งรกรากอยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมากมาก่อน นอกจากนี้ ทวีปฉงหลิงก็ไม่เคยขาดยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์หรือชั้นกลั่นดวงธาตุ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญกับเหตุที่ทำให้ยอดฝีมือในที่นี้ต้องแตกพ่ายย้ายฐานไปจากที่นี่กันหมด
ดูจากรูปการณ์แล้ว ในอดีตต้องเกิดศึกนองเลือดที่กินรัศมีหลายหมื่นลี้เป็นแน่ กระทั่งส่งผลกระทบถึงแก่นพลังฟ้าดินของที่นี่ จนต้องกลับกลายเป็นที่รกร้างเปี่ยมภยันตรายไปในที่สุด
ไหนๆ ก็พูดแล้ว ทำไมถึงปล่อยที่ว่างให้เปล่าประโยชน์ ไม่คิดสานต่อพัฒนาปลูกบ้านสร้างเมืองเสียหน่อย ท่านว่าจะเป็นกาลกิณีแก่คนที่มาอาศัย?
ยุคสมัยนี้ หาลู่ทางทำเงินจากคนเป็น ไหนเลยจะดีเท่าคนตาย?
จัดตั้งสุสานไว้ในละแวกใกล้เคียง เก้าหมื่นเก้าเราไม่ขาย หกพันหกก็ไม่ขาย เราขายเพียงเก้าร้อยเก้าสิบแปด ราคาเดียวเท่านั้น!
ประหลาดใจใช่ไหม? คาดไม่ถึงล่ะสิ?
เพียงแค่ต่อสายมาหาเรา รับไปเลยโกศที่เพิ่งผลิตจากเตาหลอมร้อนๆ โอกาสทางธุรกิจที่จะหาจากที่ไหนไม่ได้อีก รับประกันผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำถึงมือท่าน
คิดแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ ฉินจิ่วเกอจมจ่อมลงสู่โลกแห่งอสังหากับผลประกอบการก้อนโต เคลิบเคลิ้มจนถอนตัวไม่ขึ้น ศิลาวิญญาณนอนมาแน่แล้ว ดีเลิศประเสริฐศรี ดีกว่านี้ไม่มีอีก
ซ่งเล่อได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้ายของอีกฝ่ายนานเข้าก็ทนไม่ไหว หวดก้ำปั้นลงกลางกระหม่อมขัดขวางความคิดเลื่อนลอยของฉินจิ่วเกอทันควัน เสร็จแล้วก็รีบเดินไปขนาบข้างคนชุดดำทันที
เสื้อคลุมดำใช่จะเฉยเมยต่อสรรพสิ่งรอบตัวอย่างที่เห็นจากภายนอกไม่ แท้จริงแล้วความหวาดกลัวในใจมันกลับมีมากยิ่งกว่าซ่งเล่อเสียอีก
อย่าบอกนะว่าฮวงจุ้ยของพรรคถูกเปลี่ยนเป็นฮวงซุ้ยแล้ว?
หาไม่แล้วคนดีๆ อยู่ๆ จะมาสมองป่วยแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งไม่ใช่สมองป่วยธรรมดา แต่ป่วยแบบไม่บันยะบันยัง
คนยำเกรงคนบ้า เพราะในสายตาของคนบ้า คนทั้งโลกก็คือคนโง่
ด้วยความคิดผิดแผกแปลกมนุษย์เช่นนี้ มีหรือจะไม่ถูกเหล่าผู้ฝึกตนของทั้งทวีปฉงหลินจุดไฟบูชา ฐานะคนบ้ามิอาจไม่ทำให้ผู้คนต้องเกรงกลัว
อาวุโสห้าพรรคหลิงเซียวก็คือผู้เปิดประตูสู่โลกแห่งความป่วยจิตนี้
“หยุด!” ขณะที่คนชุดดำกำลังคิดอะไรเพลินๆ สัมผัสเทวะของมันที่แผ่ออกไปข้างหน้าพลันถูกบางอย่างรบกวน
“เป็นอะไรไป?” ซ่งเล่อบาดแผลยังไม่หายสนิท ระดับฝึกปรือชั้นปราณสุริยันในทวีปฉงหลิงไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย
“มีการเคลื่อนไหว ระวังตัวด้วย” คนชุดดำขบปากเบาๆ สายตาเพ่งตรงไปที่เนินเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ได้ยินคนชุดดำสั่งให้ระวัง ฉินจิ่วเกอก็ไม่กล้าประมาท ที่นี่รกร้างมาเป็นพันปีเป็นอย่างน้อย ทั้งยังสามารถซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังค่ายกลระดับสูงรอดหูรอดตาผู้คนโดยไม่ถูกเอาไปทำโปรเจคอสังหาอีกด้วย
แปลว่าอะไร? นั่นก็แปลว่าที่นี่ยังมีเจ้าของกรรมสิทธิ์เดนตายที่ไม่ยอมย้ายรกรากไปอยู่ที่อื่นเหลืออีกกลุ่มหนึ่งน่ะสิ!
“มีคน!” เสื้อคลุมดำอุทานเสียงต่ำ กระบี่ถูกดึงออกจากฝักโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะมีเงาคนเคลื่อนผ่านไป แต่สัมผัสเทวะกลับไม่อาจตรวจจับร่องรอยของไอวิญญาณได้เลย
“ที่นี่มีค่ายกลที่ปิดตายอยู่ นอกจากจะหาดวงตาค่ายกลให้เจออีกรอบ ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะออกไปจากที่นี่ได้อีก”
ซ่งเล่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกควันด้วยสายตาตื่นตัว บนนั้นเรืองรองด้วยประกายโลหิต คล้ายจะสะท้อนให้เห็นภาพซากศพกองสุมดั่งภูเขา เลือดหลั่งไหลเป็นท้องธารออกมา “ไอวิญญาณในชั้นบรรยากาศของที่นี่บางเบาจนแทบสลายไปได้ทุกเมื่อ ด้วยสภาพอากาศ สภาวะแวดล้อม และพื้นดินรกร้างว่างเปล่าเช่นนี้ ผู้ฝึกตนที่คิดจะฝ่าด่านปราณสุริยันนั้นลืมไปได้เลย”
พูดถึงตรงนี้ คนทั้งสามก็เข้าใจ พวกตนส่องไฟฉายลงหลุมถ่าย รนหาที่ตายโดยแท้
มิติแห่งนี้ กล่าวได้ว่าอยู่นอกอาณาเขตของทวีปฉงหลิง และถูกปิดตายมานานกว่าพันปีเป็นอย่างน้อย อาจถึงขั้นว่าไม่มีใครรู้ถึงการคงอยู่ของมัน จริงอยู่ที่ยอดฝีมือชั้นสูงสามารถมีชีวิตได้หลายพันปี แต่ไอวิญญาณในที่นี้ขาดแคลนจนถึงขั้นไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปราณสุริยันได้ด้วยซ้ำ
ชนชั้นปราณสุริยัน อายุขัยไม่เกินร้อยปี เช่นนั้นเงาร่างที่ถูกสัมผัสเทวะของคนชุดดำตรวจจับได้เมื่อสักครู่นี้ก็……
หลังปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว คนทั้งสามก็มองหน้ากัน ต่างก็พบเห็นความหวาดกลัวในแววตาของกันและกันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉินจิ่วเกอ วิญญาณคนตายไม่มีอะไรให้ต้องกลัว จะกลัวก็แต่วิญญาณที่ตายเพราะอดอยาก นั่นคงจะต้องเฮี้ยนมากแน่ๆ
“มีผีจริงๆ หรือนี่?” หลังเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยความยากลำบาก ม่านตาของซ่งเล่อก็หดวูบจนเป็นจุดเดียว
“จะหมู่หรือจ่าเราก็ยังต้องไปดู ชิงเป็นฝ่ายลงมือก่อนย่อมดีกว่ารอให้อีกฝ่ายลงมือ” ฉินจิ่วเกอคว้ากระบี่หนักขึ้นมาถือ ไอวิญญาณที่คุกรุ่นอยู่ในร่างเริ่มเคลื่อนตัว
“อืม” คนชุดดำรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีตอบสนองของฉินจิ่วเกอ หากตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งคาดเดาอะไร มันเองก็หยิบอาวุธคู่กายออกมาถือไว้ ก่อนจะค่อยๆ คืบคลานเข้าหาเนินเขาที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เนินเขาลูกนี้มีขนาดเพียงร้อยเมตร แต่เชิงเขารอบๆ กลับกินพื้นที่กว่าหลายพันเมตร
กล่าวได้ว่า ก่อนหน้านี้คนทั้งสามได้ยืนอยู่บนเชิงเขาที่ยกสูงขึ้นมาจากพื้นมาโดยตลอด
เชิงเขาสามารถลากยาวได้ไกลหลายพันเมตร ภูเขาลูกนี้ ยอดของมันอย่างน้อยก็ต้องสูงเป็นหมื่นๆ เมตรขึ้นไป เป็นความสูงชนิดที่แทบจรดไปถึงสวรรค์ ประหนึ่งคมกระบี่ที่ตั้งตระหง่าน แต่บัดนี้ เนินเขาตรงหน้าพวกมันกลับมีขนาดเพียงแค่ร้อยเมตร เตี้ยจนน่าสังเวช
คงมิใช่ว่าบรรพตที่สูงนับหมื่นเมตรลูกนี้ จะถูกพลังปริศนาตัดผ่านจนถล่มทลายเหลือแค่เพียงเท่านี้?
กล่าวกันว่ายอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุผู้มีอายุขัยเกินหนึ่งพันปี สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ดั่งหั่นภูผาตัดห้วงสมุทร
ผู้ฝึกตนที่บรรลุมหาวิถีสามารถสำเร็จตนเป็นเซียน ตัดทะลุห้วงมิติได้ดั่งใจ
การผ่าภูเขาสูงหมื่นเมตรจนราบเป็นหน้ากลองจึงไม่ควรจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร
แต่ในสายตาของคนทั้งสาม นี่จะต่างอะไรกับฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่ จะใช่วันโลกาวินาศหรือเปล่า?
เมื่อเดินเข้ามาใกล้เชิงเขา นัยน์ตาของคนทั้งสามก็ยังเลื่อนลอยไม่ได้สติ จนถึงตอนนี้ในใจของพวกมันคล้ายมีฆ้อนแท่งเล็กๆ ตอกกระแทกอยู่ สร้างความเจ็บปวดทุรนทุรายอยู่ภายใน
“ไสหัวออกมา!” สัมผัสเทวะของคนชุดดำเป็นที่น่าตื่นตระหนก กระบี่ยาวในมือวาดออก เปลี่ยนไอวิญญาณที่เงียบสงัดเหมือนน้ำนิ่งในอากาศให้เกิดระลอกกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง
พื้นดินรกร้างถูกไอวิญญาณเฉือนเอาหน้าดินออกมาเป็นชั้นบางๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านใต้ก็คือลิ่มเลือดสีดำสนิทที่จับตัวแห้งแข็งเป็นซากหินดึกดำบรรพ์ กลิ่นอายชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดจนถึงบัดนี้ก็ยังคงเข้มข้มคละคลุ้งไม่เสื่อมสลาย
“แหลกไปซะ!” ซ่งเล่อกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว เคล็ดวิชายุทธ์ขั้นห้าระเบิดเข้าใส่ลิ่มเลือดแข็งกระด้างก้อนนั้นอย่างไม่ออมแรง