เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 183 พิทักษ์ชาติรักษ์บ้านเมือง
เมื่อพัวพันถึงรากฐานความมั่นคงของเผ่ามนุษย์ อาวุโสใหญ่จึงต้องจำยอม หนวดเครากระดิก
“เช่นนั้นก็ประเสริฐ ใกล้ๆ กับเมืองซวนอู่คือปราการทุ่งร้างทางใต้ของเผ่ามนุษย์ ข้ายังกังวลอยู่ว่าผู้ฝึกวิชาปีศาจพวกนั้นอาจฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีที่นี่” หนันกงอู่จี๋คิดในใจว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว
มีวาสนาพานพบสามยอดฝีมือ ทางฝั่งเมืองซวนอู่นั้นคงหมดห่วงไปได้
“เดิมทีข้าตั้งใจจะส่งศิษย์ไปเข้าร่วมการแข่งขันมหาเผ่าพันธุ์ที่มีขึ้นทุกห้าปี แต่ดูท่าคงจะต้องเลื่อนออกไปก่อน? ” อาวุโสใหญ่ถาม
หนันกงอู่จี๋ตอบ “สี่พรรคใหญ่หารือกันจนได้ความว่าจะเลื่อนการแข่งขันออกไปอีกสามเดือน รอจนเหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรสงบลงแล้ว ถึงค่อยดำเนินการต่อ เหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรในครั้งนี้ถือเป็นด่านทดสอบแรกที่จะใช้คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันในอนาคต”
“ดี เจ้ากลับหุบเขาเพลิงราชันไปก่อนเถอะ คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวทางฝั่งพรรคโลหิตนภาด้วย” คลื่นสัตว์อสูรบุกประชิด การแข่งขันเผ่ามนุษย์คืบใกล้ สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย อาวุโสใหญ่ขี้คร้านเกินกว่าจะให้หนันกงอู่จี๋มัวเสียเวลาอยู่ที่นี่
พอรู้ว่าอาวุโสใหญ่มีเจตนาไล่แขก หนันกงอู่จี๋ก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย ขณะกำลังจะจากไป พอดีเห็นสีหน้าพึงอกพึงใจของอาวุโสสามที่เดินเข้ามาจากด้านนอกเข้าก่อน
ด้านหลังมัน คือเกาฟู่ซือที่ไม่ทราบอาภรณ์ตัวนอกหายไปไหน เหลือไว้เพียงเสื้อบางๆ ปกคลุมร่าง ทิ้งให้มันยืนต้านลมหนาว ท่าทางอ้างว้างยิ่ง
“เอาศิลาวิญญาณมาแล้วค่อยไป! ”
อาวุโสสามยกนิ้วหัวแม่โป้ง ขาเตะเก้าอี้ลงนั่ง คล้ายบอกว่าเขาลูกนี้ข้าเป็นคนหักร้างถางพง ต้นไม้ทั้งหลายเป็นของราชันบรรพตข้า
หนันกงอู่จี๋พร้อมที่จะจำยอม ช่วยไม่ได้ ในเมื่อบุคคลทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นอาวุโสที่สามารถจัดการกับมันได้ทั้งนั้น “ย่อมได้ ไม่ทราบจำนวนเท่าใด”
ใช้ศิลาวิญญาณเล็กๆ น้อยๆ เพื่อผูกมิตรกับพรรคหลิงเซียว หนันกงอู่จี๋ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดทุนแต่อย่างใด
“ห้าสิบล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำ” อาวุโสสามบอกกล่าวอย่างปลอดโปร่ง
หนันกงอู่จี๋ไม่แม้แต่จะชั่งใจ ถึงอย่างไรมันก็มาจากสี่พรรคใหญ่ ผลกำไรที่เผ่ามนุษย์ได้รับในแต่ละปีนั้น เพียงแค่ภาษีก็นับเป็นตัวเลขมหาศาลแล้ว
“ประเสริฐ”
สั้นๆ ตรงไปตรงมา
อาวุโสสามเฝ้ารอให้หนันกงอู่จี๋แสดงท่าทีขื่นขมออกมา ไม่คาดอีกฝ่ายกลับตอบรับฉับไว ดูท่าตนจะขอน้อยเกินไปซะแล้ว
ด้วยความหน้าหนาเป็นอาวุธ อาวุโสสามจึงเอ่ยต่อทันที “ขออีกสักสิบยี่สิบล้านได้หรือไม่? ”
หนันกงอู่จี๋หน้ากระตุก “อาวุโส เชื่อหรือไม่ว่าผู้น้อยจะไปแขวนคออยู่หน้าปากประตูพรรคท่านมันเดี๋ยวนี้? ”
อาวุโสสามตกใจ “ก็เอาสิ เจ้าโปรดปรานเชือกแบบไหนล่ะ ข้าจะช่วยหามาให้”
หนันกงอู่จี๋แทบหน้าหงาย รีบล่ำลาจากไปดุจหมอกควัน
ในเวลาครึ่งชั่วยาม อาวุโสใหญ่ก็บอกกล่าวทั้งเรื่องที่ฉินจิ่วเกอแสร้งป่วยเป็นเวลาเจ็ดวัน ทั้งเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบให้ศิษย์น้องได้รับฟัง
เรื่องสำคัญที่สุดยังคงเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ที่ว่า ทุกห้าปีมีขึ้นหนึ่งครั้ง เป็นพิธีการครั้งสำคัญของเผ่ามนุษย์
นี่คือพิธีอันสำคัญยิ่งยวด หลังจากสักการะแก่บรรพชนวิญญาณ ศิษย์เผ่ามนุษย์ที่มีอายุต่ำกว่าร้อยปีก็เริ่มทำการแข่งขัน
ส่วนเหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรที่ผู้ฝึกวิชาปีศาจเป็นตัวต้นเหตุนั้น แม้จะยุ่งยาก แต่ก็ไม่อาจสั่นคลอนรากฐานความมั่นคงนับล้านปีของเผ่ามนุษย์ลงได้
ฉินจิ่วเกอนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้มเริงร่า ขาก่ายกัน “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ การแข่งขันนี้ ศิษย์จะต้องสร้างชื่อให้ท่านอาจารย์อย่างโชติช่วงชัชวาล ไม่แน่อาจกระทั่งมีสตรีผู้ฝึกตนรอบจัดบางท่านหมายตาท่านก็ได้”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว” อาวุโสใหญ่ไม่ใช่ไร้ความมั่นใจในตัวศิษย์รักไปเสียทีเดียว ไม่งั้นคงไม่ยอมให้มันเข้าแข่ง
ฉินจิ่วเกอสงสัย “ท่านอาจารย์ ไฉนก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงการแข่งขันใหญ่ในครั้งนี้มาก่อนเลยเล่า แล้วเพราะเหตุใดมาคราวนี้ถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ของพรรคเรา”
อาวุโสใหญ่มองดูศิษย์ชะตาอาภัพของตนด้วยความหวัง กล่าวอย่างอ่อนโยน “ลองเดาดูสิ”
ฉินจิ่วเกอใคร่ครวญอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นพลันยืดตัวตรง ร่ำร้องออกมาว่า “โลกในยุคปัจจุบันใกล้จะเกิดมหาศึกขึ้นทุกชั่วขณะ เกิดความไม่แน่นอนไปทุกหย่อมหญ้า ผู้ฝึกวิชาปีศาจใช้โอกาสนี้รุกรานเส้นแบ่งแห่งความชอบธรรม พรรคหลิงเซียวเราย่อมไม่อาจยืนอยู่วงนอกเพื่อหลีกเลี่ยงศึกในครั้งนี้ และจำต้องเผชิญกับวิกฤติ ปราบปีศาจผดุงธรรม ปกป้องอาณาประชาราษฎร์ทั่วแผ่นฟ้า”
“การกระทำนี้ของท่านอาจารย์เปรียบเหมือนการมองภาพรวมแทนที่จะจำกัดอยู่วงแคบๆ แสดงความองอาจอย่างที่บรรพชนพรรคหลิงเซียวรุ่นก่อนไม่เคยมี แบกรับภาระหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า กอบกู้สรรพชีวิต ศิษย์บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ ท่านอาจารย์อายุมั่นขวัญยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี! ”
ฉินจิ่วเกอพอประจบสอพลอจนเสร็จสรรพ กลับไม่เห็นสีหน้าท่านอาจารย์เปลี่ยนไปในทางที่ดี ตรงข้ามกลับยิ่งมายิ่งดำทะมื่น
นี่บ่งบอกว่าอาวุโสใหญ่เป็นคนเที่ยงตรงผู้หนึ่ง ไม่มีทางที่จะหลงไปกับคำเยินยอของผู้เป็นศิษย์จนเสียกิริยา
“ที่จริงไม่มีเหตุผลมากมายเพียงนั้น เมื่อก่อน พรสวรรค์ของเจ้าขาดแคลนถึงเพียงนั้น ระดับวรยุทธ์ก็ขาดแคลนถึงเพียงนั้น ภูมิความรู้ก็ขาดแคลนถึงเพียงนั้น หากเข้าร่วมการแข่งขัน มีแต่รนหาที่ตายเปล่าๆ แม้แต่คุณสมบัติไปเป็นทหารทัพหน้ายังไม่มี”
อาวุโสสามใช้คำถึงเพียงนั้นติดต่อกันสามครั้งคราภายในประโยคเดียว เห็นได้ว่าพรรคหลิงเซียวในอดีตน่าเป็นกังวลถึงเพียงไหน ดูได้จากการที่อาวุโสใหญ่ปิดด่าน ไม่เพียงทำการหยั่งรู้ถึงพลังแห่งกฎเกณฑ์ ที่สำคัญกว่านั้นคิดเข้าไปปิดหูปิดตาซะให้สิ้นเรื่องราว
“ห้าปีมีครั้ง ถือเป็นโอกาสที่ยากพบพาน การสยบคลื่นสัตว์อสูรเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนการแข่งขันใหญ่เท่านั้น ควรทราบว่าเผ่ามนุษย์เราปกครองอาณาเขตกว้างไกลสุดไพศาล ถึงตอนนั้นคนจากนอกเขตทะเลก็จะเดินทางมาด้วย เป็นการรวมตัวของเหล่าอัจฉริยะอย่างแท้จริง”
ในอดีต อาวุโสมใหญ่เรียกว่าไม่มีความหวังอยู่เลย ขอเพียงศิษย์ของมันอยู่รอดปลอดภัยมันก็พอใจแล้ว แต่ครั้งนี้ ศิษย์รักของมันรวมถึงเจ้าเด็กลั่วเฉินนั่นต่างก็ถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เลว สามารถไปร่วมลงแข่งขันได้
จากการแข่งในครั้งนี้ สมควรได้รับประโยชน์ไม่น้อย และก็ถือเป็นแผ้วถางทางให้พรรคหลิงเซียวได้เข้าสู่โลกุตระเป็นครั้งแรก
มีคนกล่าวว่า ความหวังในภายภาคหน้าของเผ่ามนุษย์ล้วนผูกโยงอยู่กับการแข่งขันที่มีขึ้นทุกห้าปีนี้เอง
ถึงตอนนั้น เผ่ามนุษย์จะสับเปลี่ยนไพ่ในมืออีกครั้ง เป็นการกำหนดตำแหน่งและส่วนแบ่งผลประโยชน์กันใหม่
แม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุดยังถูกตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ดึงตัวไป นั่นคือสถานที่อันเป็นแก่นแกนของเผ่ามนุษย์ เป็นดั่งบรรพตสวรรค์ที่ไม่มีวันสั่นคลอนของเผ่ามนุษย์ ตราบใดที่ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ยังมีเส้นสายชีวิตอันเลื่อนไหล เผ่ามนุษย์ก็ยังจะยังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนมหาทวีปได้ต่อไป
ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ สยบปกครองมาเนิ่นนานนับล้านปี!
“ท่านอาจารย์วางใจได้ เรื่องอื่นศิษย์ไม่กล้าพูดถึง แต่อย่างน้อยครั้งนี้ พรรคหลิงเซียวเราจะต้องครองลำดับหนึ่งมาได้แน่! ”
“มั่นใจปานนั้นเชียว? ” อาวุโสใหญ่กระชับแก้วชาในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นยินดี แต่เพราะต้องการจะฟาดฝ่ามือออกไปสักกระบวน เพื่อคืนสติให้อีกฝ่าย อย่าได้หลงคิดว่าเพียงเพราะเจ้าออกไปเห็นโลกมาไม่กี่ครั้งก็จะครองโลกได้ การแข่งขันใหญ่เมื่อหลายปีก่อน แม้แต่ตัวอาวุโสใหญ่เองยังได้ที่สามเท่านั้น
ร้อยลำดับแรก ล้วนเป็นคนของสี่พรรคใหญ่แทบจะทั้งหมด มีม้ามืดและผู้ฝึกตนอิสระเพียงประปรายเท่านั้น
“ศิษย์ย่อมมีวิธีที่จะส่งพรรคหลิงเซียวเราให้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่ามนุษย์ สโลแกนในครั้งนี้ ศิษย์เองก็คิดมาแล้ว: น่านน้ำไกลสุดตา สิ้นสุดลงที่ปลายฟ้า บรรพตเทียมเมฆา สิ้นสุดลงที่ตัวข้า ไม่ทราบท่านอาจารย์เห็นเช่นไร? ”
“โฮ่”
“โฮ่? ”
อาวุโสใหญ่ยกนิ้ว “ยาวเกินไป เปลี่ยนให้กระชับรวบรัดกว่านี้ หลังคลื่นสัตว์อสูรคราวนี้ เจ้าและลั่วเฉินจะต้องเข้าร่วมการแข่งขัน พาศิษย์น้องของเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”
“สวรรค์โปรดคุ้มครองพรรคเราด้วย จงมอบพลังแก่ข้า! ” ฉินจิ่วเกอร่ำร้องสองมือยกชูเหนือศีรษะ
“อืม เจ้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค จำต้องรับผิดชอบให้ดี”
อาวุโสใหญ่เผยสีหน้าวางใจ ที่จริงคนที่มันเป็นกังวลมากที่สุดภายในพรรคก็คือเจ้าหน่อนี่ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มันเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ได้แต่ต้องไขว้นิ้วก้มหน้ายอมรับแล้ว
แม้แต่เทพเซียนยังมีภาวะอารมณ์ แล้วฉินจิ่วเกอจะไม่มีข้อบกพร่องบ้างเชียวหรือ?
การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์สัตว์อสูรคืบใกล้เข้ามา อาวุโสใหญ่ถ่ายทอดคำสั่งให้ศิษย์ภายในพรรคเตรียมตัว ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองซวนอู่ คาดว่าศิษย์ของสี่พรรคใหญ่เองก็คงไปรวมตัวอยู่ที่นั่น
อินทรีวัยหัดบินย่อมอยากออกไปเหาะเหินบนนภา หากไม่อาจเหาะเหิน มันก็จะร่วงหล่นสู่หุบเหว กายสังขารและเลือดเนื้อจะเปลี่ยนเป็นเศษซาก ความเมตตาไม่อาจสั่นคลอนความชั่วร้าย จำต้องพึ่งพากำปั้นของตัวเอง พรรคหลิงเซียวจึงต้องผ่านการเคี่ยวกรำสักครา
เมื่อศึกใหญ่กระชั้นใกล้ อาวุโสใหญ่จึงสั่งให้ฉินจิ่วเกอไปตามตัวน้องรองหรือก็คือลั่วเฉินมา
หลังได้ผลอู๋เลี่ยงฟื้นคืนสติ ลั่วเฉินก็พร่ำฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนใครบางคนที่ถึงจะกินไปแล้วสองผลระดับฝึกปรือก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม
ได้ฟังรับสั่งจากอาวุโสใหญ่ ลั่วเฉินตอนนี้บรรลุพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดแล้ว ขาดเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุมหาวิถีดวงธาตุทองคำ
ฉินจิ่วเกอไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงพระเอก จะเลื่อนขั้นรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ย้อนมามองตัวเอง ที่ถึงแม้จะกินผลอู๋เลี่ยงไปแล้วกว่าสองลูก ก็ยังคงติดแหงกอยู่ที่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
สถานที่ที่ลั่วเฉินใช้ในการออกหาประสบการณ์ อยู่ไม่ไกลจากเขตพรมแดนมนุษย์อสูรมากนัก และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะวุ่นวาย พิสุทธิ์ไพศาลในที่นั้นคือขโมย กลั่นดวงธาตุคือมหาโจร ระดับการแก่งแย่งฆ่าฟันไม่ใช่ระดับที่ดินแดนอันทุรกันดารจะเทียบได้
ประจวบกับที่นั่นอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการหลักของประตูหายนะเท่าใด ฉินจิ่วเกอคิดแล้วคิดอีก จนสรุปได้ว่าไม่ได้เจอหน้าซ่งเล่อนานแล้วเหมือนกัน คาดว่าคงจะสองปีแล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจจะแวะเยี่ยมเยือน ดูว่าระดับฝีมือของอีกฝ่ายจะพัฒนาไปถึงไหนแล้ว
ประตูหายนะคือหัวหอกของสี่พรรคใหญ่ แม้จะเป็นสมญาที่ประตูหายนะตั้งขึ้นเองก็ตาม แต่การที่พวกมันกล้าเรียกตัวเองเช่นนั้น ย่อมต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่อย่างแน่นอน
พรรคทอดยาวหลายพันลี้ ภายในมีแม่น้ำไหลคดเคี้ยวแลดูยิ่งใหญ่สุดคาดหยั่ง
ความกว้างใหญ่ของพรรค เอาแค่อาณาเขตฝ่ายในก็ครอบคลุมนับพันลี้ ไอวิญญาณหนาแน่นดั่งคลื่นสมุทร จนสามารถจับตัวขึ้นเป็นผลึกได้
ยังไม่นับศิษย์มีชื่อและศิษย์นอกสำนัก อย่างน้อยจำนวนประชากรก็ปาเข้าไปร่วมแสนแล้ว บริเวณตีนเขายามนี้จึงดูชุกชุมวุ่นวายเหมือนมดงานที่กำลังเดินเบียดเสียดกันให้วุ่น
ส่วนถิ่นที่พำนักของเหล่าอาวุโสและพื้นที่ของเขตในที่ทุกคนเฝ้าคอยนั้น มองไปเห็นแต่หุบเขาลึก แม่น้ำคดเคี้ยวไหลพาดผ่าน ความงามตามอย่างธรรมชาติมีให้เห็นอย่างเข้มข้นชัดเจน
สิ่งปลูกสร้างสูงตระหง่านมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ ไม่ได้อลังการเหมือนอย่างหุบเขาเพลิงราชัน
ประตูหายนะเน้นไปทางธรรมชาติและอยู่อย่างมัธยัสถ์ ภายในแม้มีกลั่นดวงธาตุอยู่ไม่น้อย หากก็ไม่ได้เป็นที่น่าสะดุดตา
ยอดเขาเหนือเมฆาแลดูโดดเดี่ยวทระนง บุปผาแมกไม้ส่งกลิ่นสุคนธ์พัดโชยทั่วแผ่นผืน
มีคนไม่น้อยที่เข้ามาผูกมิตรกับศิษย์อัจฉริยะของประตูหายนะในแต่ละวัน
หลังพิสูจน์ว่าตนเองเป็นศิษย์จากพรรคเล็กๆ ในเผ่ามนุษย์แห่งหนึ่ง คนเฝ้าประตูก็รับสินบนจากฉินจิ่วเกอเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะปล่อยให้มันผ่านเข้าไป
หลังสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหนูซ่งเล่อมาได้แล้ว ฉินจิ่วเกอก็เดาะลิ้นคราหนึ่ง เจ้าเด็กนี่ที่แท้กลับไม่เลวเลยทีเดียว
แม้จะไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายตรง แต่ซ่งเล่อในเวลานี้ก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของศิษย์ฝ่ายใน นั่งอยู่บนเก้าอี้อันมั่นคง
แก่นแกนของศิษย์ฝ่ายใน มีศิษย์สายตรงที่เลื่อนขั้นขึ้นมาไม่ได้ขาด ที่เลวร้ายสุดก็ล้วนเป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในช่วงชั้นเดียวกัน เป็นผู้ถูกเลือกในฐานะอนาคตของประตูหายนะ
ฉินจิ่วเกอเข้ามาในพรรคด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดรายทางมีคนหอบหิ้วของกำนัลมาฝากเนื้อฝากตัวกับสานุศิษย์ภายในพรรคไม่ได้ขาด คนพวกนี้อย่างเลวร้ายที่สุดถ้าอีกหน่อยไม่เป็นผู้ดูแลก็คงเป็นจ้าวเมืองภายใต้การปกครองของประตูหายนะสักแห่ง
ขณะเดิน ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกหน้าร้อนอยู่บ้าง ตนเร่งรุดมา จนไม่ได้เตรียมของขวัญติดไม้ติดมือมาสักอย่าง
รู้จักมารยาทเป็นเรื่องดี ยิ่งมีมากยิ่งไม่มีใครว่า ยิ่งเป็นสุภาพชนยิ่งต้องให้ความสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นนักบุญที่กำลังรับประทานอาหาร กำลังเข้านอน กำลังขับถ่าย คำว่ามารยาทนี้ ก็ยังนับว่าสำคัญอยู่ดี
ขณะคิดเพลินๆ ผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมา บนร่างของพวกมันหากไม่ใช่หอบหิ้วของกำนัลก้อนโตก็ยังมีของกำนัลย่อมเยาติดตัวมา บ่งบอกถึงความจริงใจอันเปี่ยมล้น