เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 181 หนันกงอู่จี๋
หลังสะบัดร่างเกาฟู่ซือออกไปอย่างรังเกียจ หนันกงอู่จี๋ก็ทะยานขึ้นวูบ มาโผล่อยู่เหนือบันไดสามร้อยขั้น อาภรณ์บนตัวสะบัดพลิ้ว “นี่ก็คือพรรคหลิงเซียวที่เจ้าว่า? ”
เกาฟู่ซือกัดฟันอย่างคั่งแค้น “อาวุโสระวังตัวด้วย เจ้าหนูนั่น นอกจากจะถนัดการเล่นตุกติกและลอบวางอุบายแล้ว ยังชอบลอบกัดอีกด้วย”
คิดถึงประสบการณ์น่าขื่นขมในตอนนั้น คิดถึงตาแดงก่ำของฉินจิ่วเกอในตอนนั้น ในใจเกาฟู่ซือยังสั่นคลอนไม่หาย ได้มายืนอยู่หน้าพรรคหลิงเซียวอีกครั้ง มันกลับหวาดกลัวอยู่บ้าง
“พวกไม่มีราคา” หนันกงอู่จี๋สบถออกมา มันที่เป็นถึงเก้าดวงธาตุสูงสุด พรรคหลิงเซียวกระไรนี่จะมีค่าอันใดในสายตามัน
“เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปเอง” หนันกงอู่จี๋เสนอ ในใจลอบคิดพวกใช้การไม่ได้
เกาฟู่ซือครั้งนี้ไม่โง่งมอีก อาวุโสท่านนี้เป็นถึงอาวุโสทรงเกียรติของหุบเขาเพลิงราชัน ในสายตาของคนต่ำต้อยอย่างพวกตน เทียบกับต้าหลัวจินเซียนบนสวรรค์แล้วยังร้ายกาจยิ่งกว่า
ฉะนั้นมันจะต้องกอดขาใหญ่โตนี้ไว้ให้แน่น
“หามิได้ขอรับ ผู้น้อยคือศิษย์พรรคจอกประกายสิทธิ์หรือก็คือขุมกำลังใต้อาณัติของหุบเขาเพลิงราชัน แน่นอนว่าต้องยินดีที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับอาวุโส”
หนันกงอู่จี๋ลูบคิ้วกระชับอาภรณ์ ลอบก่นด่าในใจว่าเจ้าทารกนี่พูดจาไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
ต่อให้มันไปเล่นสนุกกับพรรคโลหิตนภาเพียงลำพัง ก็ยังนับว่าเหลือแหล่ ทั้งยังไร้หวั่นเกรง อย่าบอกนะว่าพรรคหลิงเซียวอะไรนี่เป็นถิ่นพยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น?
“เอาเถอะ งั้นก็มากับข้า” หนันกงอู่จี๋ขี้คร้านเกินกว่าจะใส่ใจ มันหมุนตัวกลับตั้งใจจะพังประตูเข้าไป
บานประตูถูกทาเป็นสีแดงชาดสดใหม่ ยังเพิ่งผลัดเปลี่ยนหมุดเจ็ดแถวเก้าหลักหน้าประตูใหญ่ ดูไปมีรสนิยมยิ่ง
บนห่วงประตู คือสิงโตเฝ้าประตู แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามเหนือโลกาออกมา ราวกับว่ากำลังดูถูกไก่เล็กสุนัขน้อยที่มาตอแยพรรคหลิงเซียว
ปงปง!
หนันกงอู่จี๋เคาะบานประตู อย่างไรมันก็เป็นมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุสูงสุด ยามกระทำเรื่องราวจำต้องทำอย่างเหมาะสม
แอ๊ด!
บานประตูถูกผลักเปิดจากด้านใน ที่แท้เป็นสวีเซิ่งที่ออกมากวาดลานหน้าประตู
หนันกงอู่จี๋คิดในใจ ไอหยา พรรคหลิงเซียวเปิดประตูได้ตรงเวลาทีเดียว
เอาเถอะ เห็นแก่ที่พวกมันกระตือรือร้นปานนี้ พอเข้าไปก็อย่าได้ทุบตีเจ้าสารเลวน้อยที่เกาฟู่ซือเอ่ยถึงจนบาดเจ็บระดับแปดเลยดีกว่า
ใครจะคาดหลังกวาดตามองสวีเซิ่งลวกๆ คราหนึ่ง หนันกงอู่จี๋เป็นต้องตะลึงลาน ไม่อาจทำใจเชื่ออยู่บ้าง
ในขณะเดียวกัน สวีเซิ่งเองก็ตะลึงไม่น้อย พรรคหลิงเซียว สถานที่ที่สุนัขไม่เหลียวนกกาไม่ปลดทุกข์ที่มันอยู่มาได้สองปีแล้ว ไม่คาดกลับมีแขกเหรื่อมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนด้วย
ช่างหาดูได้ยากยิ่ง!
สวีเซิ่งจับจ้องหนันกงอู่จี๋ด้วยนัยน์ตาเปียกปอน จิ๊ๆ ตาแก่นี่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย มาเยี่ยมเยือนทั้งทีกลับไม่พกอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย
ภายใต้อิทธิพลจากอาวุโสสอง อาวุโสสาม รวมถึงอาวุโสสี่ สวีเซิ่งในตอนนี้จึงเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากชอบเล่นกับไฟและทำเตียงเปียก มันก็เริ่มหันมารักหน้าและศิลาวิญญาณบ้างแล้ว
ที่ทำให้หนันกงอู่จี๋ตกตะลึง กลับไม่ใช่ระดับวรยุทธของสวีเซิ่ง
กับอีแค่กลั่นดวงธาตุขั้นสาม ลำบากเพียงดีดนิ้วก็เรี่ยราดออกหน้าออกหลังแล้ว
แต่ที่ทำให้หนันกงอู่จี๋ประหลาดใจคือการที่กลั่นดวงธาตุขั้นสามผู้นี้มาอยู่ในพรรคเล็กๆ ต่างหาก
ควรรู้ว่าอาวุโสมู่หยวนที่นั่งแท่นบัญชาเมืองซวนอู่นั้นเป็นเพียงกลั่นดวงธาตุขั้นห้าเท่านั้น
อีกทั้งที่ทำให้หนันกงอู่จี๋ตกตะลึงที่สุดก็คือ..
กลั่นดวงธาตุขั้นสามที่แต่งตัวมอซอเปื้อนฝุ่นผู้นี้ถึงกับจับไม้กวาดออกมากวาดลานหน้าพรรค?
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมามือเปล่า สวีเซิ่งก็แสดงท่าทีไม่ยินดียินร้ายออกมา “ชิ่วๆ หลีกทางหน่อย คนจะกวาดพื้น”
หนันกงอู่จี๋ที่ยังตะลึงไม่หายถึงกับเผลอหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว “นี่.. ขอถาม เจ้าใช่กำลังกวาดพื้นอยู่หรือไม่? ”
หุบเขาเพลิงราชันแม้กิจการโตใหญ่ หากยังไม่กล้าบอกว่าไม่เห็นกลั่นดวงธาตุในสายตา ยิ่งกับการรับหน้าที่กวาดลานทำความสะอาดถนน อย่างมากก็ใช้พิสุทธิ์ไพศาล บางครั้งบางคราวยังใช้ศิษย์นอกรับผิดชอบแทน
สวีเซิ่งราวกับเถรกวาดพื้น สวมอาภรณ์เรียบง่ายรับประทานอาหารจืดชืด สะบัดไม้กวาดเอ่ยวาจา “หรือว่าเจ้าดูไม่ออก ข้านอกจากกวาดพื้นแล้ว ยังต้องโกยหิมะด้วย”
“เอ๋?”
ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุบ้านไหน วันๆ ให้ทำเรื่องพวกนี้?
ศิษย์หุบเขาเพลิงราชันอารมณ์ดุดันรุนแรง นี่มิใช่เรื่องหลอกลวง หากมิได้หมายความว่าพวกมันไม่มีสมอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าอาวุโสผู้เข้มงวดกวดขัน หนันกงอู่จี๋เองในเผ่ามนุษย์ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้สำเร็จคนหนึ่ง ย่อมมิใช่คนตาฟาง
“เช่นนั้น ในพรรคหลิงเซียว มีเจ้าคนเดียว?” หนันกงอู่จี๋ไม่ทราบสมควรปั้นสีหน้าเยี่ยงไรแล้ว มรดกหุบเขาเพลิงราชันสืบต่อกันมานับหมื่นปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยใช้กลั่นดวงธาตุมากวาดพื้น
หากเป็นยุคผู้ฝึกตนรุ่งเรืองเฟื่องฟูเมื่อบรรพกาล นั่นอาจเป็นไปได้
สวีเซิ่งกลอกตาใส่ “พื้นที่มากมายปานนี้ จะมีแต่ข้าคนเดียวได้ยังไง ยังมีศิษย์นอกศิษย์ในอีก”
“แล้วทำไมพวกมันไม่มากวาดพื้น?” เกาฟู่ซือทนไม่ไหวแล้ว รัศมีพลังของคนผู้นี้สูงส่งกว่ามันไม่น้อย อย่างน้อยต้องเป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด เป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริง
เมือ่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ในใจสวีเซิ่งต้องคร่ำครวญ “พวกมันวันๆ ต้องฝึกวิชา มีแต่ข้าที่อยู่ว่างไร้เรื่องราว อาวุโสสามจึงให้ข้ามาฝึกฝนร่างกาย ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับพรรค”
“เช่นนั้น ขอถามว่าอาวุโสสามท่านนั้น ชื่อแซ่ว่าอะไร ระดับพลังอยู่ขั้นไหน?”
มองดูจากโหงวเฮ้งใจดีมีเมตตาของหนันกงอู่จี๋ สวีเซิ่งไม่คิดมากความ
คนที่ตามหาพรรคหลิงเซียวเจอ สมควรเป็นสหายของอาวุโสใหญ่
โดยเฉพาะไอ้พวกตาแก่ที่มามือเปล่า ระดับพลังที่แม้แต่มันยังมองไม่ออกพวกนี้
ทอดถอนใจ ตาแก่นี่ คงมิใช่หกดวงธาตุเจ็ดดวงธาตุหรอกกระมัง?
รัศมีพลังพร่ามัวดั่งมหาสมุทร สีหน้ามากบารมี เป็นยอดคน!
เมื่อเห็นว่าระดับพลังของหนันกงอู่จี๋สูงส่งสุดสูง สวีเซิ่งจึงเก็บท่าทีคร้านจะสนใจของมันลงไป “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เขาเพียงพลิกฝ่ามือ ก็สามารถยกแม่น้ำครึ่งสาย ระดับพลังสุดหยั่งถึง”
“ซี๊ดด”
หนันกงอู่จี๋สูดลมหายใจ กลับมิได้รีบร้อนมุทะลุเข้าสู่พรรคไป
จากวาจาของสวีเซิ่งแล้ว อาวุโสที่มอบหมายให้มันมากวาดพื้น เกรงว่าจะเป้นยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุ
พรรคเล็กกระจ้อยร่อยนี้ ตั้งอยู่กลางป่ากลางดอย กลั่นดวงธาตุเป็นตัวตนไร้ค่าสำหรับพวกมัน?
นี่มิอาจไม่สร้างความลังเลแก่หนันกงอู่จี๋ ยิ่งเมื่อในเผ่ามนุษย์ มีกฎห้ามการต่อสู้ขอบเขตทลายฟ้าถล่มดิน
การต่อสู้ระหว่างชนชั้นกลั่นดวงธาตุด้วยกัน เกิดขึ้นน้อยมาก
ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ มิใช่พวกมังสวิรัติเด็ดขาด
“อาวุโส ข้างนอกหนาวเย็น เชิญเข้าด้านในดื่มชาสักถ้วยอุ่นร่างกาย”
สายตาของสวีเซิ่งบ่งชัด อาวุโสท่านนี้ร่างสูงเก้าฉื่อ ยืนอย่างโอ่อ่าผึ่งผาย ด้านหลังติดตามมาด้วยเด็กรับใช้ ยังมารบกวนการกวาดพื้นของมันอีก?
หากอาวุโสสามออกมาตรวจสอบความสะอาดแล้วตกมาตรฐาน กลั่นดวงธาตุขั้นสามอย่างมันย่อมเป็นแค่ขี้ฟันอีกฝ่าย สวีเซิ่งไม่คิดทดลอง
“ดี”
หนันกงอู่จี๋ได้คิดว่าตนเองเป็นถึงเก้าดวงธาตุ ฟ้าดินกว้างใหญ่ กระทั่งแดนร้างไร้ของเผ่าอสูรยังไปได้
พรรคหลิงเซียวที่พื้นที่ไม่ถึงร้อยลี้นี่ จะมีกลั่นวดงธาตุบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เมื่อปลุกปลอบขวัญ หนันกงอู่จี๋ก้าวเท้าข้ามธรณีประตู เดินเข้าสู่ภายใน
“อาวุโส” สวีเซิ่งเรียกรั้งไว้อีก
“หืม?” หนันกงอู่จี๋ตัง้ท่าโดยอัตโนมัติ ทำไม หรือว่าพวกเจ้ามีกับดัก?
แม้แต่มันเองยังสัมผัสได้ ฮวงจุ้ยพรรคหลิงเซียวนี้ มีพลังชั่วร้ายอยู่หลายส่วน
ดูท้องฟ้านั่น ไม่หยินไม่หยาง มองดูพื้นดินนั่น ขรุขระตะปุ่มตะป่ำ แถมยังมีรัศมีกลิ่นอายของจอมมารใหญ่อยู่ด้วย
สวีเซิ่งหัวเราะเอ่ย “ท่านผู้เฒ่าร่างสูงเก้าฉื่อ เวลาเดินต้องก้มเอวลงหน่อย อย่าได้เดินหลังตรงเด็ดขาด”
ช่วงนี้อาวุโสสามของพรรคมันฝึกฝนเคล็ดวิชาหนังสติ๊กพิฆาต ทั้งยังเพิ่งเล่นงานจนศิษย์เอกของสำนักกลายเป็นไม่ผีไม่คน ตนเองในฐานะของศิษย์พรรคหลิงเซียว เมื่อเห็นหน้าอาวุโสสาม ต้องเอาหม้อเหล็กกั้นทรวงอกจึงกล้าเดินทางไปไหนมาไหน
“เฮอะ” เกาฟู่ซือโมโหจนโบกไม้โบกมือ เท้ากระทืบพื้นหิน “อาวุโส พวกมันกล่าววาจาผีสาง เพียงคิดหลอกลวงเราเท่านั้น”
“ข้าแน่นอนว่าย่อมไม่หลงกล แค่พวกกลั่นดวงธาตุขั้นสามเท่านั้น”
เพียงเพิ่งเอ่ยวาจาจบคำ หนันกงอู่จี๋ก็ยืดอกยืดเอวขึ้น เบ่งขยายร่างโบกสะบัดชายแขนเสื้อจากไป
สวีเซิ่งพ่นลมหายใจ คนผู้นี้ หาที่ตายแท้ๆ
เมื่อเข้ามาถึงในพรรคหลิงเซียว คึนสมควรติดดินขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นจะประสบหายนะเลือด
ขนาดศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวนั่น ตอนนี้ยังต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มบนเตียงรอคนป้อนข้างป้อนน้ำอยู่เลย
ระหว่างทางไม่พบพานผู้ใด ภายในพรรคหลิงเซียวเงียบสงัดงันราวความตาย ประดุจดั่งหมู่บ้านร้างที่ถูกทอดทิ้งมานานหลายปี สายลมหยินชั่วร้ายกรรโชก ต้นไม้ใบหญ้ารกเรื้อ
อาวุโสหนันกงอู่จี๋ที่ร่างสูงเก้าฉื่อ ศีรษะตรงแน่วชี้ฟ้า ฝีเท้าก้าวย่างราวเมฆาพลิ้ว
สายรัดมังกรที่หว่างเอวห้อยไว้ด้วยแปดลักษณ์ กลางหลังสะพายกระบี่ใหญ่ ศีรษะค้ำยันฟ้า โดดเด่นเหนือผู้คน
คิ้วทั้งสองข้างพาดหนาราวกระบี่หนักทึบเชื่อมผสานกันที่กลางหน้าผาก จมูกพยัคฆ์เนื้ออวบหนา มากโชควาสนามากบารมี
“อาวุโส ครั้งนั้นเจ้าเด็กนั่นเองก็ลอบทำร้ายต่อพวกเรา มันพาคนมาซุ่มดักรอ รอจนพวกเราเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ จึงคว่ำจอกส่งสัญญาณออกมารุมกินโต๊ะพวกข้า”
“กลัวอันใด ข้าอยู่นี่แล้ว!” เสียงสะท้านกังวานดั่งระฆังก้อง กลั่นดวงธาตุขั้นเก้าสูงสุด ยามเอ่ยวาจาเสียงดังนิดหน่อยจะเป็นไรไป
มันผ่อนคลายจิตสมาธิ หนันกงอู่จี๋รำพึงต่อตนเองว่า พักนี้เหนื่อยเกินไป กระทำสิ่งใดล้วนต้องระมัดระวังให้มาก พรรคหลิงเซียวเล็กๆ นี่มีกลั่นดวงธาตุขั้นต่ำไม่กี่คน ไม่มีอะไรต้องกลัวเกินไป
ผลักดันเกาฟู่ซือไปนำหน้า หนันกงอุ่จี๋สูงกว่าอีกฝ่ายสองช่วงศีรษะ “เจ้าไปเดินนำทางข้างหน้า พาข้าไปห้องโถงใหญ่”
นั่นก็คือสถานที่ที่เปี่ยมบารมีที่สุดในพรรคหลิงเซียว อาวุโสใหญ่นั่งอยู่ภายใน หยั่งรู้มรรคาฟ้า ซึมซาบเข้าสู่ร่าง
เกาฟุ่ซือผงกศีรษะ เดินกระแย่งด้วยปลายเท้าเหมือนไก่ย่อง สอดส่ายหูตาออกไปทั่วแปดทิศ
เกรงว่าหากมีเสียงถ้วยชาตกแตก จะปรากฏมือดาบขวานสามร้อยถลาออกมาเอาชีวิต
หนันกงอู่จี๋ยิ่งอดรนทนไม่ไหว เจ้าเด็กนี่ไร้ซึ่งกำลังขวัญ ตาขาว!
ต้องส่งเสียงกระชั้นออกมาคำหนึ่ง เร่งเกาฟู่ซือให้นำทางไปเบื้องหน้า
เสียงตวาดครั้งนี้ ท่ามกลางที่พำนักอันสันโดษเปลี่ยวร้างของพรรคหลิงเซียว กลับบาดหูเป็นพิฌศษ
อาวุโสสามพอดีกำลังฝึกปรือเคล็ดวิชาหนังสติ๊กพิฆาตอยู่หลังเขา พอดีสามารถเป็นขุนพลพิทักษ์สำนัก
ทันทีที่ได้ยินเสียงตวาดแค่น ตัวมันยังไม่ทันคิด ล้วงเอาหนังสติ๊กตรงช่วงเอวออกมาทันควัน บีบลูกหนังสติ๊กยิงออกไปทันที
ทางด้านนี้ หนันกงอู่จี๋กำลังติดตามเกาฟู่ซือ ทันใดนั้น เกาฟู่ซือก็พลังรับรู้ถึงวัตถุที่พุ่งมาด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด ประกายแลบแปลบปลาบเหนือเศียร
ดังนั้น มันหดหัวลงทันควัน
วัตถุนั้นแล่นผ่านเหนือศีรษะของมันไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด กระสุนที่พลาดเป้าพุ่งผ่านเลยไปยังหนันกงอู่จี๋ที่ติดตามหลังมา
“โอ๊ย!”
เสียงกระทบเนื้อดังคราหนึ่ง หนันกงอู่จี๋กรีดร้องเสียงลั่น มือซ้ายยกขึ้นมากุมใบหน้า มือขวากดลงบนไหล่ของเกาฟู่ซือ
“อาวุโส ข้าบอกแล้วไม่มีผิด มีกับดัก!” เกาฟู่ซือแตกตื่นจนสั่นสะท้าน แทบไม่อาจยืนหยัดมั่น
หนันกงอู่จี๋คลายมือที่กุมใบหน้าไว้ออกมา แก้มขวาของมันบวมปูดเป่งพองราวซาลาเปายักษ์
หากคนไม่รู้เรื่องมาเห็น ต้องคิดว่าอาวุโสทรงเกียรติของหุบเขาเพลิงราชันท่านนี้เหงือกอักเสบจนแก้มบวมปานนี้
“บัดซบ ตัวต่ำช้าที่ไหนกล้าลอบทำร้ายข้า!”
หนันกงอู่จี๋ บังเกิดความเสียขวัญ ระดับความเร็วของวัตถุเมื่อครู่ กระทั่งมันยังไม่อาจหยั่งคาดได้
มันปราศจากการป้องกันอย่างสิ้นเชิง วัตถุกระแทกเข้าใส่ใบหน้า ทั้งวัตถุที่กระแทกมาก็กระเด็นลงไปพงหญ้าข้างทางแล้ว
หรือพวกมันจะวางกับดักไว้จริงๆ?