เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 172 หนึ่งคนหนึ่งปี
ร่างสวมอาภรณ์ขาวลักษณ์แปดทิศ ที่เอวคาดสายรัดเชือกป่านเส้นหนึ่ง
ศีรษะคาดไม้หนังวัว เท้าสวมรองเท้าฟางสีเทา ทั้งเรียบง่ายทั้งสะอาดสะอ้าน ประดุจดั่งสนโดดเดี่ยวท้าทายกลางขุนเขา
สองตาสุกใสกระจ่างเจิดจ้า ราวเกล็ดหิมะละลายกลางเหมันต์ที่ชะล้างพลังงานด้านลบทั้งมวล ครอบคลุมลงสู่สรรพสิ่ง
ขนงขนคิ้วยังคงดำขลับ ผมเผ้าขาวโพลน
หนวดเครางอกเงยจากใต้คางยาวจรดอก ปลิวไสวกลางสายลม
คนเคลื่อนคล้อยมาตามลม อิสรเสรีราวเกล็ดหิมะเปล่งประกาย
ผู้สูงส่งที่แท้จริง ปลอดโปร่งเสรีในใต้หล้า เหนือล้ำกว่าตัวตน
มีเพียงไม่ใช้ จึงสามารถดำรง ดังนั้นเซียนเทียนไร้กระทำ สุดเมตตาปรานีดั่งสายน้ำ โฮ่วเทียนมีกระทำ สรรค์สร้างจักรวาล หากกลับพลิกคว่ำลงสู่ดิน
ฉินจิ่วเกอนัยน์ตารื้น ไหวระริกด้วยประกายสว่างใส ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ กลับเป็นอาวุโสใหญ่เอง!
ที่แท้ยอดคนที่ให้การอุปถัมภ์ต่ออันหยางอย่างยิ่งนั้น ก็คืออาวุโสใหญ่แห่งพรรคหลิงเซียวเผ่ามนุษย์เอง
ทั้งก็คืออาจารย์ของฉินจิ่วเกอ ฝันร้ายสุดหลอนของสี่กองกำลังเมืองเทียนเอิน
ไป๋หลี่ชิงเฉิงอยู่ไม่ไกล อาวุโสตำหนักสิบพรรคโลหิตนภาเองก็อยู่ใกล้ๆ ฉินจิ่วเกอเร่งถ่ายทอดเสียงบอกกล่าวอาจารย์ อย่าได้เผยศักดิ์ออกมาอย่างเด็ดขาด
อาวุโสใหญ่เองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เรียกทักษะการแสดงอันแสนเชี่ยวชาญออกมา ประกายตาสาดวาบ จากนั้นไร้เรื่องราวใด
บนพื้นดิน จอมทรราชกำลังระเบิดโทสะอัดอก เจ้าเด็กบัดซบ ตัวมันเก้าดวงธาตุขั้นสูงสุดคิดฆ่ามัน ขอบเขตห่างชั้นกันปานไหน มันกลับทำท่าทำทางเหลอหลา ทำท่าไม่ใส่ใจ
พร้อมกับความคิด มันก็รู้สึกตนเองถูกหยามหยันขั้นสุด
ตาย!
ขณะที่มันกำลังเงื้อง่า อาวุโสใหญ่ก็แล่นถลาลงบนเหนือศีรษะมัน สีหน้าปลอดโปร่งสบายราวเทพยดากลับมาตุภูมิ “เจ้าคิดฆ่าผู้ใด?”
“ไอ้ตัวบัดซบที่ไหนกล้าเข้ามาขวาง?” สามอาวุโสสูงสุดที่ด้านหลังเปิดทาง พวกมันล้วนเป็นเก้าดวงธาตุสูงสุดที่สามารถทะยานทั่วทิศ “จอมทรราชคิดฆ่าคน ใครไม่คิดตายด้วยก็ไสหัวไป!”
อาวุโสใหญ่เลิกคิ้ว โฮ่ นัยน์ตาเจ้าบวมน้ำไปแล้วหรืออย่างไร ข้าอยู่ที่นี่ยังกล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า?
เมื่อลงสู่พื้น อาวุโสใหญ่สะบัดฝุ่นผง “เจ้าร้ายกาจนักงั้นหรือ?”
อาวุโสสูงสุดเก้าดวงธาตุท่านหนึ่งเสนอหน้า “เราผู้เฒ่าก็เพียงพอสับสังหารเจ้า จอมทรราชของพวกเราไม่ได้ลงมือสังหารคนนานเกินไปแล้ว ถึงกับมีคนกล้าเข้ามาสอดปาก!”
อาวุโสใหญ่หัวเราะแผ่ว ตลอดทั้งบริเวณเงียบกริบ กระทั่งไป๋หลี่ชิงเฉิงเองยังสามารถสัมผัสถึงแรงกดดันได้ ไม่กล้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติ
“ข้าบอกแล้วไง พรรคจอมทรราชเจ้าสมควรเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเรี่ยราดซะเถอะ!” อาวุโสใหญ่สะบัดแขน ท่วงท่าราวแมลงปอแตะผิวน้ำ โฉบเข้าหาอีกฝ่าย
จอมทรราชสีหน้าท่าทางหวาดผวา มันยังคงจดจำ เก้าดวงธาตุอันยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าอย่างมันเคยถูกอีกฝ่ายสะบัดฝ่ามือตบทีเดียวกระเด็นขึ้นฟ้า ลอยละล่องไปมาบนเก้าเมฆาอยู่สามวันเต็มๆ ค่อยร่วงสู่พื้น
สามารถกล่าวได้ว่า อาวุโสใหญ่เมื่อออกโรง ในสายตาของสี่พรรคใหญ่ ยังน่าหวาดหวั่นกว่าพรรคโลหิตนภาหรือผู้ฝึกวิชาปีศาจอีก
“อาวุโสสูงสุดรีบถอย!” จอมทรราชไม่อาจสอดมือเข้าช่วยเหลือทันท่วงที ที่ยิ่งกว่านั้นคือไม่กล้าสอดมือ เพียงสามารถส่งเสียงกระตุ้นเตือนว่าที่มาถึงคือมหันตภัยร้าย
ฉินจิ่วเกอยามนี้ใบหน้าเกลื่อนกล่นด้วยรอยยิ้มชั่วช้า พร้อมกันนั้นก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว ยืนนิ่งกับที่ไม่กล้าขยับแม้ปลายนิ้ว
อาวุโสสูงสุดของพรรคทรราช ชัดเจนว่ามันเข้าสู่เส้นทางหลงภวังค์หลับใหลพันปีไม่ตื่น
ปิดด่านกักตนไปร้อยปี ไม่รู้เรื่องราวทางโลก ไหนเลยจะทราบว่าอาวุโสใหญ่ก็คือผู้สั่นเขย่าเมืองเทียนเอินทุกซอกมุมเมื่อวันนั้น
ในเมื่อเป็นกลั่นดวงธาตุ ต่อให้เก่งฉกาจปานไหน จะสามารถเก่งไปได้เท่าใด
ขอบเขตเก้าดวงธาตุกวาดกราดทั่วบริเวณ “เราผู้เฒ่าจัดการเจ้าก่อน ดูว่าผู้ใดกล้ามองไม่เห็นหัวราชันเรา!”
ในสายตาของอาวุโสสูงสุดพรรคทรราช อาวุโสใหญ่ต่อให้ร้ายกาจ ยังไงก็ยังก้าวไม่พ้นกลั้นดวงธาตุอยู่ดี
ยกดาบฆ่าฟันมันให้ราบ ดูซิว่าจะมีใครหน้าไหนกล้ามาหาเรื่องจอมทรราชอีก
ไป๋หลี่ชิงเฉิงเพ่งสายตามอง ไม่เอ่ยอันใด ยอดฝีมือของพรรคโลหิตนภาที่ซุกซ่อนไว้ ยิ่งซุกงำตนเองลึกล้ำกว่าเดิม
ฉินจิ่วเกอและอันหยางรู้สถานการณ์ ล้วนทราบดีว่าอาวุโสใหญ่ลึกล้ำสุดหยั่งถึง มิใช่คนที่อีกฝ่ายสามารถข่มขู่ได้
เผียะ!
หนึ่งฝ่ามือ หนึ่งฝ่ามือนิ่งสงัดดุจน้ำบ่อไร้ระลอก
ฝ่ามือนี้ของอาวุโสใหญ่รวบรัดหมดจดยิ่ง เป็นฝ่ามือที่รวมรั้งทักษะฝีมือทั้งหมดทั้งมวล เรียวเล็บสะอาดองค์ถูกตัดเล็มอย่างหมดจด
ริ้วรอยพาดผ่านตามแนวหลังฝ่ามือราวเส้นวงปีบอกกาลเวลาของพฤกษาใหญ่ ผิวหนังราวเปลือกไม้ ให้ความรู้สึกหนักหน่วงรุนแรงประการหนึ่งแก่ผู้คน
พื้นผิววาดผ่านด้วยเส้นเลือดสีเขียว ราวกับชีพจรมังกรอันคึกคะนองแห่งมหาทวีป เส้นสายลวดลายสาน เกี่ยวกระหวัดพาดพันอย่างครื้นเครง
ฝูงชนพลันรู้สึก ชั่วขณะนั้น ฟ้าดินพลันเปลี่ยนแปรเป็นผิดแผกแตกต่างไป จวบกระทั่งเมื่อดวงตาของท่านสามารถมองเห็นกระจ่างชัด อาวุโสสูงสุดของพรรคทรราชท่านนั้นก็ปลิดปลิวละลิ่วล่อง ร่วงม่อยกระรอกหมดสภาพลงบนพื้นดินหนาที่แตกร้าว ฟันฟางดีดกระเด็นเซ็นซ่าน
ซี๊ดดด!
แม้แต่ไป๋หลี่ชิงเฉิงเองยังสายตาแปรเปลี่ยนไป หว่างคิ้วทระนงจองหองของนางทอแววตื่นตระหนก ท่วงท่าอวดโอ่รางนางหงส์เลือนสลายหายวับ
เก้าดวงธาตุขั้นสูงสุด แม้แต่ชนชั้นแหวกชำระกายา ยังไม่กล้าเอ่ยว่าจะตบฝ่ามือเดียวกระเด็นเป็นว่าวขาดป่านได้
อาวุโสท่านนั้น หยุดยั้งอยู่ที่กลั่นดวงธาตุขั้นเก้ามาพันปี บรรลุระดับชั้นสุดยอดฝีมือมาเนิ่นนานแล้ว
ผู้คนในที่นั้นล้วนมิใช่มือดีทั่วไป อาวุโสใหญ่ชัดเจนว่าเป็นกลั่นดวงธาตุชัดๆ หากกลับสามารถตบกลั่นดวงธาตุสูงสุดท่านหนึ่งจนปลิวลิ่วทั่วสี่ทิศ นับว่าไม่กล้าคาดคิดจริงๆ
ทุกคนแตกตื่นตะลึงลาน ทั่วบริเวณกลายเป็นเงียบงันราวความตาย ก่อนค่อยๆ ทยอยเบนสายตาไปทางจอมทรราชทีละคนทีละคน
จอมทรราชเหมือนกลืนแมลงวันลงท้อง ก้มศีรษะต่ำ สะกดความหวาดผวาในใจไว้
“บัดซบ ข้าจำได้ว่าคราวที่แล้วบอกว่าให้พรรคเรี่ยราดเจ้าเปลีย่นชื่อเรียก และอย่าได้มาเสนอหน้าต่อหน้าข้าอีก ใช่หรือไม่?”
อาวุโสใหญ่กระตุ้นเตือนไปถึงศิษย์รักของตนท่ามกลางฝูงชน ในใจของมันไม่ยินดีอย่างยิ่ง เด็กน้อยนี้ไม่กลับพรรคมาร่วมสองปี ที่แท้หลุดรอดจากภยันตราย กลับไม่ส่งข่าวคราวสักคำ ช่างน่าชิงชังนัก
ที่น่าสมเพชที่สุดก็คืออาวุโสสามของพรรคหลิงเซียน ไม่มีเรื่องราวก็ต้องถูกอาวุโสใหญ่ที่อารมณ์เสียตลอดมาไปหาเพื่อลับฝีมือ ตอนนี้ทั่วร่างมีแต่บาดแผล ต้องแบกปินออกยิงนกระบายอารมณ์แทนที่
“ข้า ข้าข้าข้า ข้าคิดว่า” จอมทรราชติดอ่างขึ้นทันที ไม่กล้าออกปากตอบคำ
ปฏิกิริยาของทุกผู้คนกลับมิได้อัศจรรย์ใจเท่าใด ที่จริงอาวุโสใหญ่เมื่อวันนั้นเพียงตวัดมือออกไปฝ่ามือเดียว ก็ตบจอมทรราชจนลอยเหินหาวไปสามวันเต็ม พลังฝีมือที่เพียงพอในการถล่มแหวกชำระกายาได้ นั่นไม่อาจตอแยโดยแท้จริง
“เจ้า เจ้าคิดว่าอะไร?” อาวุโสใหญ่อาวุโสใหญ่รวบรวมพลังความแค้นใจของมัน ตระเตรียมระบายออก
“ข้า ข้าคิดว่าท่านผู้อาวุโสสง่าเฉิดฉายไร้คู่เปรียบ คงไม่ลงไม้ลงมือต่อพวกเราเหล่าผู้เยาว์” จอมทรราชแทบหลั่งน้ำตา ไม่กล้าส่งสายข่มขู่ฉินจิ่วเกออีก
เมื่อครู่คิดจัดการมัน อาจารย์ของมันก็โผล่ออกมา แล้วจะให้มันมีชีวิตอยู่ได้ยังไง
“เจ้าก็เรียกว่าเป็นผู้เยาว์ได้ด้วยหรือ?” อาวุโสใหญ่แค่นเสียงเหยียด “ไม่ใช่อยู่มาหลายพันปีแล้วหรือ”
“หลายพันปี ในสายตาของพวกเราเต่าเทวะ เพียงผ่านไปสามในสิบส่วนเท่านั้น”
“ที่แท้ชีวิตยืนยาวมั่นคง ไสหัวไปซะ”
จอมทรราชเผ่นออกไปไกลลิบลิ่วด้วยความโล่งอก ยังไม่ลืมหิ้วปีกอาวุโสสูงสุดที่ยังตะเกียกตะกายบนพื้นไปด้วย ต้องอัดยาไปไม่น้อย อีกฝ่ายจึงพอเรียกสติคืนมาได้
เดิมทีได้ยินมาว่าเมืองเทียนเอินยามนี้มีปีศาจอาละวาด อาวุโสใหญ่ที่อารมณ์ร้ายก็ออกมากำจัดมาร แท้ที่จริงส่วนใหญ่แล้วล้วนเพื่อระบายอารมณ์มากกว่า
เมื่อมาถึงขอบเขตขั้นระดับมัน นอกจากไล่ล่าไขว่คว้าหากฎเกณฑ์แล้ว ก็เหมือนจะไม่มีอะไรทำ
แต่พอมาถึงเมืองเทียนเอิน ก็ทำให้มันได้พบคนสองคน คนที่หนึ่ง แน่นอนว่าย่อมเป็นอันหยาง อีกฝ่ายสมองน้อยเงินทองมาก อาวุโสใหญ่แน่นอนว่าย่อมไม่เกียจคร้านทำความรู้จักต่อผู้เยาว์เช่นนี้
ส่วนคนที่สอง ก็คือศิษย์ที่หายสาบสูญไปนานปีของมันนี่เอง
เจ้าเด็กนี่ทะลวงชั้นพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว ถือว่าก้าวหน้าเร็วจริงๆ
ที่สำคัญที่สุด เจ้าเด็กนี่ยังส่งสัญญาณเสียงมาบอกตนว่าที่นี่มีผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่ ทั้งให้ระวังคนของสมาพันธ์อู่ซิ่ง
“พวกเจ้าล้อมวงกันทำอะไร?” อาวุโสใหญ่ถามทั้งที่รู้แก่ใจ กวาดตามองไปรอบด้านอย่างมีอำนาจ
ทุกคนได้แต่ลดศีรษะไม่กล้าตอบ ชัดเจนว่า มหาปู่ผู้นี้ แม้แต่แหวกชำระกายายังไม่อาจล่วงเกิน อย่าลืมว่าสามสุดยอดเมืองเทียนเอินตกตายอย่างไร
หากมันได้เข้าร่วมการแย่งชิงมรดกของมหาจักรพรรดิทะเลมรณะในครั้งนี้ พรรคทรราชยังจะเล่นตุกติกอะไรได้?
หากจะเสียผลประโยชน์ อย่างน้อยก็เป็นคนของเผ่ามนุษย์เหมือนกัน พอคิดได้ดังนี้ เขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมารก็เบาใจลงอักโข
ขณะกำลังจะเอ่ยคำ คนทั้งสองก็ถูกอันหยางผู้กุมทวนทองเอ่ยตัดหน้าเสียก่อน จึงได้แต่ถลึงตาใส่เจ้าเด็กนี่อย่างเคียดแค้น
อันหยางกล่าวอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้อาวุโสใหญ่ได้รับฟัง มุมปากของอาวุโสใหญ่ยกขึ้น เอามือไพล่หลังกล่าว “เจ้าลองใช้ยันต์ล่าปีศาจดู บิดาผู้นี้ก็รู้สึกว่าใกล้ๆ ต้องมีผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่แน่”
ที่จริงแล้ว ในสถานที่รปราศจากยันต์คำสาปของสมาคมนักจัดวางค่ายกลช่วยเหลือ อาวุโสใหญ่ใช้สัมผัสเทวะของมันสำรวจตรวจสอบ กลับไม่พบอันใดผิดปกติจริง มิเช่นนั้นเขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมารคงไม่กำแหงขนาดนี้
ในบรรดาพวกมันมียอดยุทธ์อยู่!
อาวุโสใหญ่หรี่ตา ได้ยินศิษย์ของตนถ่ายทอดเสียงมา พรรคโลหิตนภามีสิบตำหนัก พวกมันส่งร่างจำแลงของมันมา
ฉึบๆ
อันหยางก้าวเดินออกไปยังเบื้องหน้าปากทางเข้าสุสาน สายตาของทุกผู้คนแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
มิใช่ไม่มีคนคิดเข้าไป หากแต่เป็นทุกคนล้วนคิดเข้าไป ดังนั้นชั่วขณะหนึ่งล้วนถูกขวางไว้ไม่อาจอัดกันเข้าไปได้
ทว่าต่างก็หวั่นเกรงต่ออำนาจของอาวุโสใหญ่ ควรทราบว่า หากกล้าลงมือต่อคนเช่นนี้ ย่อมต้องมีความมั่นใจ มิเช่นนั้นย่อมต้องตอแยความยุ่งยากตามมา
ชัดเจนว่า เขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมาร ไม่มีกำลังขวัญเช่นนั้น
ส่วนทางด้านพรรคทรราช แม้จะมีสองแหวกชำระกายาและกลั่นดวงธาตุมากมาย ทว่าพวกมันล้วนไม่คิดต่อสู้อาวุโสใหญ่ ด้วยเกรงว่าจะสร้างความลำบากแก่ผู้อาวุโส
อันหยางปักทวนทองลงพื้น แหวนมิติในมือถูกดึงแผ่นหยกที่สลักเต็มไปด้วยอักขระสีดำเต็มพรืด บนพื้นผิววะวับวาบด้วยไอมรณะคละคลุ้ง ส่งผลให้คนคิดว่านั่นคือดวงใจของผู้ฝึกวิชาปีศาจ
ไป๋หลี่ชิงเฉิงถอยกายไปหลายก้าว ส่งผีผาในอ้อมอกแก่ผู้ติดตาม สตรีรับใช้ชุดดำหลายนางก็ห้อมล้อมไว้
นั่นเป็นฝีมือของชนชั้นกฎสรรพสิ่ง อาวุโสใหญ่ต่อให้เก่งฉกาจกว่านี้ ยังไม่สามารถทะลวงผ่าพันธะของพลังแห่งกฎเกณฑ์เข้าสำรวจตรวจสอบผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ซุกซ่อนอยู่
ทว่าวัตถุวิเศษในมือของอันหยางนั้น คล้ายสามารถสัมผัสได้ถึงคุณสมบัติพิเศษบางประการของผู้ฝึกวิชาปีศาจ
สมาพันธ์อู่ซิ่งบนเวที สวีหม่าฟางหลู่เฝิงทั้งห้าตระกูล สีหน้าผิดแผกแตกต่างกันไป
ทั้งห้าตระกูลไม่มียอดฝีมือมาด้วย ที่พลังฝีมือสูงส่งที่สุด มีเพียงเจ้าสมาพันธ์ที่เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าสูงสุดที่ยืนอยู่กึ่งกลางเวที
ที่ปลายแถว มีคนชักดาบกระบี่ออกมาตระเตรียมพร้อม กลับถูกเจ้าสมาพันธ์ใช้สายตาปรามไว้
อาวุโสใหญ่แกล้งทำเป็นหูตาฝ้าฟาง ปิดตาลง คล้ายกำลังหยั่งสัมผัสถึงเจตนารมณ์แห่งกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ปล่อยให้ยันต์ในมือของอันหยางสำแดงพลัง
หนึ่งคนสะกดทั้งบริเวณ อาวุโสใหญ่ไม่เอ่ยวาจา คนอื่นๆ เองก็ไม่กล้าพูด ต่างจ้องมองอันหยาง คิดดูว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไร
“สำเร็จแล้ว พวกท่านดู ยันต์มีปฏิกิริยา!”
อันหยางแตกตื่นยินดียิ่ง วัตถุที่ไว้แสดงปฏิกิริยาบ่งบอกว่ามีผู้ฝึกวิชาปีศาจดำรงอยู่นี้ เป็นสิ่งของที่สมาคมนักจัดวางค่ายกลกำนัลแก่หุบเขาเพลิงราชัน
เนื่องเพราะหุบเขาเพลิงราชันและประตูหายนะห่างจากชายแดนอสูรมนุษย์ไม่ไกล มีหน้าที่สะกดรักษาเขตแดนมนุษย์ไว้
มิเช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นของทั่วๆ ไป คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอพลังปีศาจที่ล่องลอยเจือจางอยู่ในอากาศ
ซ่าซ่า!
ในส่วนลึกของหลุมดำปากทางเข้าสุสาน ปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้น เงาดำสามสายกะพริบวาบๆ ราวดาบหัวกะโหลกตัดฝ่าอากาศชั้นแล้วชั้นเล่า
ประกายแสงเย็นวะวาบหลายสายแยกย้ายปรากฏ พุ่งทะลวงเข้าใส่อันหยางในทันที