เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 157 หมื่นทหารกรีธาทัพ
พลังทั้งสิบสายมีรูปลักษณ์ต่างกันไป แต่มีสีเขียวมรกตและเป็นลักษณะกึ่งเหลวเหมือนกัน
มีแต่ผู้ฝึกตนมหาวิถีทองคำเท่านั้นที่สามารถผนึกไอวิญญาณได้ถึงระดับนี้ และจะคงอยู่ไปอีกหลายปี
มรดกเขาพิรุณเซียน ไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ หลงเฟิงต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมดของบรรพตสละฟ้า จึงจะสามารถบรรลุกลั่นดวงธาตุขั้นสองได้
แต่อัจฉริยะเช่นเจ้าเป้านี้ เขาพิรุณเซียนสิบปีสามารถฟูมฟักออกมาได้หนึ่งคน
ความต่างชั้นทางมรดก ยังไงก็ต้องใช้เวลาค่อยๆ เติมเต็มจนกลบช่องว่างความต่างชั้นนั้นได้
“ดูแลตัวเองให้ดี จำไว้ว่าจงแสดงแสนยานุภาพของบรรพตเราออกมาให้ได้” เมื่อเห็นว่าหลงเฟิงยังคงพยายามที่จะมาช่วยตนให้ได้ ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกตื้นตันอยู่ไม่น้อย
หากท่านพบเห็นเจ้าหนี้ของท่านกำลังอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ท่านไม่พุ่งเข้ามาโยนหินซ้ำเติมก็ถือว่าระดับศีลธรรมของท่านสูงส่งล้นฟ้าแล้ว อย่าว่าแต่หวังให้เข้ามาช่วย
แต่ดูหลงเฟิงสิ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลตัวอย่างในหมู่สุภาพบุรุษที่แท้ แม้มันจะไม่ใช่มนุษย์ แต่เทียบกับมนุษย์มากมายแล้วยังมีความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่า
“อย่าลืมว่า ปู่น้อยเจ้าใช้มีดเล่มเดียว สับสังหารสิบสองมหายุทธวิถีดวงธาตุทองคำมาแล้ว! ”
ด้านหลัง พลันเกิดกระแสลมคลั่งม้วนกวาดเข้ามา พัดเอาเส้นผมดำขลับของฉินจิ่วเกอให้แผ่สยาย เส้นผมแต่ละเส้น เป็นเหมือนมังกรที่แหวกว่ายอยู่กลางเวหา สำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างอหังการ์ ไม่สนว่ากำลังเผชิญกับความยากลำบากใดอยู่
“เคล็ดกิเลนครองฟ้า!”
หลังจากที่ได้รับการคุ้มครองจากเหล่าประมุขขุนเขามานาน ฉินจิ่วเกอก็ไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองมานานแล้ว
วิกฤติครั้งนี้ คิดเสียว่าเป็นบททดสอบของมันก็แล้วกัน ยามตีเหล็กยังต้องใช้ตัวเองตี บางครั้ง ขุมกำลังภายนอกก็ไม่อาจช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ไปเสียทุกคราว
พลังระดับมหาวิถีดวงธาตุทองคำสิบสายเทียบกันแล้วยังเหนือชั้นกว่าพลังโจมตีสุดตัวของพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดเสียอีก
ภายใต้การแตกตัวหมุนวนอันบ้าคลั่ง ไอวิญญาณที่เปี่ยมพลังฉีกเฉือนก็พัดกระหน่ำเข้ามาจากทั่วสารทิศ
“สำแดง! ”
แสงสว่างสาดโร่ ประกายทองคำเลื่อมไหล ฟ้าดินสูญสิ้น เหลือเพียงความบริสุทธิ์ว่างเปล่า
เคล็ดกิเลนทองคำที่ไม่ได้แผลงฤทธิ์มาเสียนาน หลังจากที่ฉินจิ่วเกอเหยียบเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาลแล้ว ก็เป็นครั้งแรกที่กระตุ้นใช้ออกด้วยพลังของตัวเองอย่างแท้จริง ดูไปยังทรงพลาอำนาจสุดเปรียบปาน
“ใครมันริอ่านลงมือในเขตเขาพิรุณเซียน? ”
เจ้าสำนักและอาวุโสสัมผัสได้ถึงการระเบิดพลังของข่ายปราณไล่เลี่ยกัน รวมถึงศึกปะทะพลังวิญญาณอันดุเดือดนั่นด้วย เรียกได้ว่าเดือดพล่านจนภูผานทีถล่มทลาย
สัมผัสเทวะของมหาวิถีดวงธาตุทองคำ สามารถครอบคลุมระยะพันเมตร และสามารถบรรลุถึงได้ในหนึ่งความคิด
แต่สุดท้าย นอกจากว่าท่านจะเป็นผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญในด้านพลังจิตจริงๆ สัมผัสเทวะก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น หากคิดขัดขวางการทำงานของข่ายปราณ มีแต่ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้น
พลังโจมตีสิบสายที่ถูกหลงเฟิงตัดทอนกำลัง พุ่งเข้าหาฉินจิ่วเกอจากรอบด้าน ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิดเกินกว่าที่มหายุทธ์กลั่นดวงธาตุจะเข้ามาขัดขวางได้
จึงได้แต่ใช้สัมผัสเทวะรับชมเหตุการณ์อยู่วงนอก ดูเหมือน ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าผู้นี้ คงจะต้องร่วงหล่นไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนี้เอง
บรึม!
ประดุจเสียงกลองสวรรค์กระหึ่มนภา หมื่นขุนพลกรีธาทัพ
หลังจากที่ฉินจิ่วเกอเหยียบเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล ความหยั่งรู้ในด้านพลังจิตและธรรมชาติของมันก็ราวกับพลิกโฉมไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่ใช้เคล็ดกิเลนครองฟ้า ก็สั่งให้หัตถ์สวรรค์ใช้บรรทัดตารางนิ้วแผ่พลังกวาดกราด พลังที่แผ่ออกไม่ได้เหยาะแหยะเหมือนตอนปราณสุริยันอีกต่อไป
“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร! ”
พบเห็นพลังทั้งสิบจวนจะประชิดตัว ฉินจิ่วเกอก็ยกมือขึ้นราวกับจะค้ำยันแผ่นฟ้าเอาไว้ พร้อมอัญเชิญขุมพลังสุดไพศาลออกมา ผืนดินใต้ฝ่าเท้าพสุธาใต้สังขารล้วนถูกบีบอัดจนเล็กลงเรื่อยๆ ต้นไม้รากหญ้าถูกบดขยี้กลายเป็นผุยผง
ข่ายปราณโจมตี อย่างไรก็ไม่ใช่คน จึงขาดปัญญา
พุ่งเข้ามาในเขตสะกดข่มของหมื่นบรรพตค้ำสมุทรอย่างโง่เขลา พลังโจมตีจึงชะลอช้าลงในพริบตา กลายเป็นความเร็วระดับเต่าคลาน ส่งเสียงหึ่งๆ ไม่ขาดสาย
“อึ่ก”
ฉินจิ่วเกอครางต่ำ สัมผัสถึงพลังที่ทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าถึงตัวจนสร้างความเจ็บร้าวประดุจถูกสายอสนีฟาดผ่า
“ผสาน! ”
ยามคับขัน หัตถ์กิเลนก็สามารถใช้บรรทัดตารางนิ้วกวัดแกว่งออกไปทั่วสี่ทิศแปดทางได้ในที่สุด
เล็บอสูรนี้ละเอียดประณีตและแหลมคมเป็นพิเศษ เหมือนกับอุ้งเล็บของนางอสูร
ด้านหลังมือยังมีเกล็ดปกคลุมเป็นชั้นๆ ให้ความรู้สึกเหมือนศิลาเก่าแก่โบราณ เปี่ยมไปด้วยพละกำลังมหาศาล
เส้นเลือดดำปูดโปนอยู่ทั่วกล้ามเนื้อที่เป่งพอง หากลองดึงเอาขนสักเส้นออกมาเทียบ คงมีขนาดหนายิ่งกว่าถังน้ำหนึ่งใบเสียอีก
เพียงขยับนิ้วก็สามารถปกคลุมฟ้าดินเบื้องบนได้
เพียะเพียะเพียะ!
พลังวิญญาณสุดไพศาลพุ่งเข้าใส่อาภรณ์ตัวนอกของฉินจิ่วเกอ และในตอนนั้นเอง พลังอันหนาแน่นที่มาพร้อมกับบรรทัดตารางนิ้วใหญ่ยักษ์ก็บรรลุถึงในที่สุด
ต้านรับพลังสิบสายด้วยความทุลักทุเล ทั้งสองฝ่ายต่างก็มาถึงจุดขับเคี่ยวหักหาญ
พร้อมกับที่พลังจู่โจมสิบสายที่เทียบเท่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดเริ่มอ่อนโทรมลง หัตถ์อสูรใหญ่ยักษ์ข้างนั้นก็เปลี่ยนเป็นโปร่งใส
“ทลาย! ”
ฉินจิ่วเกอตาเบิกกว้างจนหางตาแทบฉีกขาด พลังสูบหายไปจากร่าง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะให้ขนอ่อนลุกขึ้นมาสักเส้นเดียว
ทำลาย! ทำลาย! ทำลาย!
หลังจากขจัดประกายวิญญาณไปได้หลายสาย หัตถ์อสูรคลุมฟ้าก็สลายลงก่อน กระจายไปในอากาศ พลังของข่ายปราณที่เหลือก็พุ่งโจมตีสืบต่อ ส่งเสียงหวืดหวือผ่านเข้าตัวฉินจิ่วเกอ แม้แต่พลังสะกดทับของหมื่นบรรพตค้ำสมุทรยังไม่อาจยับยั้งไว้ได้
“ปะทุ! ”
บรรทัดตารางนิ้วร่วงหล่นลง กระแทกพื้นจนเกิดรอยปริแตก ฉินจิ่วเกอหน้าแดงก่ำ เส้นเลือดแทบปริแตก พลังมารขั้นสุดยอดปะทะกับค่ายกลโจมตีอย่างไร้ที่เปรียบ
พริบตาเดียวกับที่เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ หลงเฟิงกับเจ้าเป้าก็กำลังสัประยุทธ์กันอย่างสูสี แต่เมื่อถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลงเฟิงกลับใช้เขาแหลมบนหัวสลายทักษะยุทธ์ขั้นแปดของฝ่ายตรงข้ามไปได้อย่างสวยงาม ฝากรูโหว่สองรอยเอาไว้บนแขนของเจ้าเป้า
พรวด!
แผลที่มีเลือดเปรอะฉีกขาด เส้นเอ็นกระดูกปลิ้นออก
และแล้วเจ้าสำนักกับบรรดาอาวุโสก็มาถึง
ผู้ที่ล่วงรู้ว่าฉินจิ่วเกอมีฐานะสำคัญขนาดไหนมีเพียงบุคลากรสำคัญของเขาพิรุณเซียนไม่กี่ท่านเท่านั้น สี่ประมุขเองก็เร่งรุดมาถึง พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของพวกมันพลันต้องดำทะมึนลงทันที
ฉินจิ่วเกอใช่ว่าจะไม่มีไพ่ตายที่ใช้รับมือกลั่นดวงธาตุอยู่ แต่เมื่อครู่มันกลับไม่ได้ใช้ แล้วมันยังจะต้านรับพลังจู่โจมสุดยอดทั้งสิบสายได้อยู่อีกหรือ?
“เร็ว รีบไปตามท่านหมอโจวมาเดี๋ยวนี้! ”
เจ้าสำนักร้อนรนดุจไฟรนก้น ไม่ว่าฐานะของฉินจิ่วเกอจะซับซ้อนเพียงใด หากเกิดอะไรขึ้นกับมัน พวกมันทั้งหมดย่อมจบเห่กันทันที
ต่อให้ล้อกันเล่นก็ยังอันตรายอยู่ดี คราวนี้ถือว่าพลาดไปจริงๆ
ท่านหมอโจวคือนักปรุงยาขั้นห้าที่เขาพิรุณเซียนเชิญมาประจำการอยู่ที่พรรค ฐานะสูงส่งสุดสูง
แน่นอน ความสูงส่งนี้ก็ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นอาวุโสสี่ของพรรคหลิงเซียว ตาแก่คนนี้เป็นถึงนักปรุงยาขั้นหก แต่กระนั้นกลับไม่มีสิทธิความเป็นมนุษยชน ยังถูกศิษย์ร่วมพรรคลอบวางอุบายเล่นงาน จนแทบถูกโอสถสะบั้นชีพส่งให้ไปเยือนปรโลก ที่จริงนับเป็นความเสื่อมเสียของนักปรุงยาอยู่เหมือนกัน
ขอเพียงนักปรุงยาอยู่ที่นี่ ชีวิตของผู้ฝึกตนก็นับว่าไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมฐานะของสมาคมนักปรุงยาในมหาทวีปถึงได้สูงส่งนัก ไม่ว่าใครก็ไม่คิดเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นหรอก
อีกอย่าง โอสถที่สมาคมนักปรุงยาผลิต ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดฟ้าก็ยังต้องหวั่นไหว
ท่านหมอโจวต้องใช้พลังกายทั้งหมด รวมถึงสละโอสถขั้นหกถึงสามเม็ดจึงจะช่วยดึงฉินจิ่วเกอให้กลับจากปากเหวแห่งความตายได้ เป็นแค่เด็กชั้นพิสุทธิ์ไพศาลคนหนึ่งแท้ๆ ท่านหมอโจวรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
โอสถระดับหกสามเม็ด สามารถแลกเปลี่ยนศิลาวิญญาณขั้นกลางจำนวนร้อยก้อนได้เลย แต่ต้องเอามาใช้กับฉินจิ่วเกอ นับว่าเสียของแท้ๆ
แต่พอเห็นเจ้าสำนักอยู่ไม่สุขถึงขนาดนั้น แม้แต่ท่านหมอโจวที่เป็นคนเที่ยงตรงก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าเด็กนี่จะใช่บุตรนอกสมรสของเจ้าสำนักหรือไม่ ถึงได้แอบพาตัวมันเข้ามาอย่างลับๆ แถมยังปรนนิบัติดูแลอย่างไม่ออมรั้งขนาดนี้
เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ส่วนตนของท่านน้าเอาไว้ เจ้าเป้าก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เดินมุ่งไปหาท่านน้าเพื่อแจ้งข่าวอย่างไม่ให้เสียเวลา ดังนั้นพอฉินจิ่วเกอคืนสติจากความตายมาได้ จู่ๆ ก็มีสตรีท่าทางดุร้ายปรี่เข้ามาจนฝุ่นทรายฟุ้งตลบอบอวล ในมือยังถือไม้หัวโต กวัดแกว่งใส่กบาลของเจ้าสำนักชนิดที่ว่ากะไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย
อยู่ๆ พวกอาวุโสก็เกิดสนใจที่จะชมนกชมไม้ขึ้นมากะทันหัน ไม่มีใครอุตริคิดยื่นมือช่วยเหลือเจ้าสำนัก มีแต่จะทำเป็นมองไม่เห็นมากกว่า
เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนเสื่อมเสียศักดิ์ศรีครั้งใหญ่ แล้วอยู่ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดสลัวไปหมด พลันตระหนักว่าถูกทุบกบาลเข้าอีกครั้ง จึงต้องวิ่งตาเหลือกหลบหนีไป ระหว่างทางยังก่นด่าเทวดาฟ้าดินอย่างไม่หยุดปาก
ในระหว่างที่เขาพิรุณเซียนกำลังตกอยู่ในความงุนงงและสับสน ฉินจิ่วเกอก็ฟื้นคืนสติในที่สุด ทุกคนพอได้รู้ความจริงต่างก็พากันกระทืบเท้าไปตามๆ กัน
สมควรแล้ว ไม่อาจโทษว่าผู้อื่นได้ เจ้าเด็กนี่ตกตาย ที่จริงเป็นเรื่องสมควรแล้วต่างหาก
เจ้าสำนักหน้าดำหน้าเขียว เรียกหารือกับอาวุโสกุมอำนาจอีกหลายท่านทันที เนื้อหาการประชุมมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฉินจิ่วเกอกันอย่างเผ็ดร้อน เรียกร้องให้อีกฝ่ายทำการพิจารณาตัวเองอย่างลึกซึ้ง
“กระทำเรื่องใหญ่ ต้องคำนึงถึงภาพรวมเข้าไว้” ฉินจิ่วเกอกล่าวออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เจ้าสำนักแววตาทอประกายดุร้าย ปลายจมูกเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “แล้วอะไรอีก? ”
“สามัคคีปรองดองร่วมใจหนึ่งเดียว มิอาจก่อความแตกแยก” ฉินจิ่วเกอเอ่ยต่ออย่างว่าง่าย
“แล้วอะไรอีก? ” เจ้าเป้าเองก็ส่งสายตาดุร้ายมาทางนี้ ลุงแท้ๆ ทุบตีสั่งสอนหลานแท้ๆ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ฉินจิ่วเกอกล่าวรับความผิดสืบต่อ “ถ้าไม่รนหาที่ มีหรือจะตาย ประเมินสถานการณ์แสวงหาข้อเท็จจริง แก่งแย่งประชันเสน่ห์ของพลังชั้นกลั่นดวงธาตุ”
“น้องสาวเจ้าสิ เป็นนักบุญหรือไง! ” เจ้าสำนักและเจ้าเป้าคำรามออกมาพร้อมกัน
ที่จริงตอนที่เจ้าสำนักมาถึงที่เกิดเหตุ มันก็ต้องตะลึงตาค้างไปรอบหนึ่งแล้ว ข่ายปราณที่ปล่อยพลังจู่โจมระดับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดออกมาถึงสิบสาย เจ้าเด็กนี่อาศัยขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นต้านไว้ได้หรือเปล่ายังไม่ต้องพูดถึง แต่ผลกลับกลายเป็นว่าพลังทั้งสิบสายล้วนถูกมันทำลายไปเสียฉิบ
แม้ตัวมันเองจะเกือบได้ข้ามฝั่งแม่น้ำไปนั่งคุยกับยมบาลมาแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจมองข้ามกำลังรบของฉินจิ่วเกอ ผู้ที่สามารถมองข้ามยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลทั่วไปผู้นี้ได้
พรสวรรค์ระดับนี้ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจนน่าตะลึง
แต่ด้วยทัศนคติรนหาที่ตายของมันนี้ จึงไม่คู่ควรให้สนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง
การหาคู่ครองให้กับว่าที่ผู้นำคนต่อไปของสมาพันธ์อู่ซิ่ง เป็นเรื่องที่แพร่สะพัดทั่วเมืองเทียนเอินดุจไฟลามทุ่งนานแล้ว
เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเมืองเทียนเอินอย่างใหญ่หลวง แต่เมืองเทียนเอินก็เป็นเอกเทศมาโดยตลอด ทั้งสามเผ่าจึงไม่อาจส่งคนมาแทรกแซง
ุทุกคนเชื่อว่า ผู้ชนะ หากไม่ใช่มาจากเขาพิรุณเซียน ก็ต้องเป็นค่ายพรรคเดชมารหรือพรรคทรราชสามขุมกำลังนี้เท่านั้น
พอการตบแต่งของสมาพันธ์อู่ซิ่งสิ้นสุดลง ก็อาจเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ของเมืองเทียนเอิน หรือกระทั่งมหาทวีปฉงหลิงเลยก็ได้
หลายค่ายพรรคทั่วมหาทวีป มิอาจไม่จับตามองดูเจตนาที่ยังไม่แน่ชัดของสมาพันธ์อู่ซิ่งในคราวนี้
ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายคว้าชัยไปในที่สุด ในฐานะขุมกำลังเจ้าถิ่นประจำเมืองเทียนเอิน สมาพันธ์อู่ซิ่งจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากเรื่องนี้ กระทั่งเป็นไปได้ว่าจะเสียรากฐานหมื่นปีเลยด้วยซ้ำ ที่พวกมันทำเช่นนี้ นับว่าผิดวิสัยอย่างยิ่ง ที่แท้มีจุดประสงค์ใดกันแน่?
ภายในห้องใต้หลังคาอันมืดสลัว มีเพียงความมืดหม่นชวนหดหู่ดำรงอยู่ ปราศจากแม้แต่แสงเทียนรำไร
มีเพียงประกายจันทร์อันเยียบเย็น ที่ส่งกระทบอยู่นอกห้องหับ เผยให้เห็นเงาร่างของปีศาจร้ายภายในห้องได้อย่างสลัวราง
เจ้าสมาพันธ์อู่ซิ่ง ส่งเสียงเคาะประตูห้องเบาๆ
นับแต่พบตัวนายหญิงน้อยในนามของสมาพันธ์อู่ซิ่ง ห้องใต้หลังคาที่มีขนาดพันเมตรห้องนี้ก็ไม่เปิดให้ใครอีก
“เข้ามา”
เสียงกระจ่างชัดดังขึ้น ชวนให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นบริสุทธิ์ คล้ายเสียงใสกังวานของแท่งหยกยามกระทบถูกระฆัง เป็นเสียงอันแจ่มชัดแต่ก็คล้ายอยู่ไกลเกินเอื้อม
ด้วยใจอันสั่นระริก เจ้าสมาพันธ์สะกดความรู้สึกชาด้านบนหนังศีรษะ กลั้นใจก้มศีรษะเดินเข้าสู่ความมืด ก่อนจะมาหยุดลงคุกเข่าอยู่กลางห้อง
“เป็นอย่างไรบ้าง? ” สุ้มเสียงกระจ่างใสดังสืบต่อ
“สวีหม่าฟางหลู่เฝิง ตระกูลทั้งห้าในสมาพันธ์ (ห้าแซ่) ได้ถูกคนของข้าแฝงตัวเข้าไปอย่างลับๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาวุโสผู้กุมอำนาจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ใต้บัญชาข้า ทั้งยังส่งคนสนิทไปรับตำแหน่งสำคัญอื่นๆ จนสามารถควบคุมแหล่งดำเนินการสำคัญๆ ในแต่ละแห่งได้”
สมาพันธ์อู่ซิ่งประกอบไปด้วยห้าตระกูล สวีหม่าฟางหลู่เฝิง ซึ่งเป็นตระกูลดั้งเดิมและเก่าแก่ที่สุดในเมืองเทียนเอิน มีเครือข่ายอำนาจใหญ่โตที่สุดในย่านนี้
“ห้าผู้นำตระกูลไร้ศรัทธามากพอ แต่ถ้าควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกมันให้ดีก็มีค่าไม่ต่างกัน รอจนพวกข้าแทนที่สี่ขุมอำนาจสูงสุดได้เมื่อไหร่ เมืองเทียนเอินก็จะแข็งแกร่งสุดต้านทาน หาไม่แล้วอีกสามตระกูลที่เหลือจะสงสัยเอาได้”
“ขอรับ สตรีศักดิ์สิทธิ์ทรงเจริญยิ่งยืนนาน” เจ้าสมาพันธ์หมอบราบคาบแก้วอยู่ติดพื้น ไม่กล้ายกตัวขึ้นแม้แต่นิดเดียว
พลังจิตชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าของมันสัมผัสรู้ว่า ภายในห้อง ยังมีรัศมีพลังอันเวิ้งว้างกระจ่างใสอีกขุมหนึ่งอยู่
รัศมีพลังขุมนี้สูงส่งเหนือโลกา สูงส่งเหนือมหาวิถีดวงธาตุทองคำไปไกลลิบ