เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 147 สมาพันธ์อู่ซิ่ง
บนฟ้า สองกลั่นดวงธาตุเหยียบเยาะผ่านเมฆขาว เหาะเหินขึ้นไปเหนือฟ้าจนมาหยุดอยู่ที่ความสูงราวห้าพันเมตร ไม่ต้องห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ใด
การปะทะระหว่างยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ย่อมน่าสะพรึงเป็นธรรมดา เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางภูมิประเทศ คนทั้งสองจึงเลือกที่จะตัดสินกันกลางเวหา มีเพียงเมฆหมอกรอบด้านที่จะถูกกวาดไกลออกไป
ประมุขหลิวสีหน้าเหี้ยมเกรียม ดูเผินๆ เหมือนโจรใจโฉด ยืนตระหง่านอยู่กลางหาว “เข้ามาเถอะ ข้าต่อให้เจ้าหนึ่งกระบวนท่า”
“ทำเป็นพูดดี! ” จวงเกาโฉ่วมีหรือจะกลัวอีกฝ่าย แม้ตนจะมองไม่ออกถึงระดับพลังของฝ่ายตรงข้าม แต่มันไม่มีวันยอมเชื่อว่าคนผู้นี้จะมีความสามารถแท้จริงซ่อนอยู่
ช่วยไม่ได้ แค่ดูจากท่าทางลักษณะของมัน ก็รู้ได้เลยว่าเป็นพวกนอกคอก ไม่อาจร่วมก๊วนตัวละครหลักได้
กลั่นดวงธาตุแบ่งออกเป็นเก้าขั้น ขั้นแรกโคจรไอพลัง ขั้นสองเข้าสู่ร่าง ขั้นสามบำรุงอวัยวะภายใน ขั้นสี่ผนึกจิต ขั้นห้าชันษาเทพ ขั้นหกมรรคาแจ่มกระจ่าง ขั้นเจ็ดแกนวิญญาณ ขั้นแปดสร้างลมปราณ ขั้นเก้าสื่อสัมผัส
ทุกช่วงชั้นย่อยของเขตแดนการฝึกตนล้วนมีความแตกต่างที่ชัดเจน จากตื้นสู่ลึก ทว่า ระหว่างขั้นสามกับห้า ความต่างชั้นทางพลังสามารถชดเชยได้ด้วยการใช้สมบัติเคล็ดวิชายุทธ์
เพียงแต่ กลั่นดวงธาตุขั้นหกและกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด เป็นเขตแดนของมันเอง นอกจากผ่านด่านทัณฑ์สวรรค์มาได้ กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดคือขั้นที่เปลี่ยนให้ครรภ์วิญญาณกลายเป็นแกนวิญญาณไปแล้ว สามารถถอดร่างออกจากกาย เท่ากับมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
สองช่วงชั้นย่อยนี้ มองเผินๆ จะดูเหมือนไม่ต่างกันเท่าใด แต่ในความเป็นจริง กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดบดขยี้กลั่นดวงธาตุขั้นหก ไม่ต้องอะไรมาก เอาแค่เรื่องที่ครรภ์วิญญาณเปลี่ยนเป็นแกนวิญญาณ ก็ถือเป็นวิธีที่มีแต่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นจะพึงมี
ประมุขหลิวแสร้งทำเป็นสุกรหมายกินพยัคฆ์ ทั้งยังทำได้ดีไร้ที่ติ กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดข่มเหงกลั่นดวงธาตุขั้นหกก็เหมือนกับฉินจิ่วเกอวิ่งเข้าไปในดงผู้ฝึกตนชั้นหลอมวิญญาณ จากนั้นขอทุบตีพวกมันสักห้าร้อยคน
“ระวัง! ” ไม่ทราบเพราะเหตุใด ยอดฝีมือจวงเกาโฉ่วที่อวดโอ่มาตลอดพอถึงตอนนี้กลับรู้สึกกดดัน
บางทีอาจเพราะหวาดกลัวต่อใบหน้าของประมุขหลิว สรุปง่ายๆ ก็คือในใจเกิดลางร้ายขึ้นมาแล้ว
“หงส์สวรรค์ล่องเวหา! ”
วิญญาณก่อรูป ไอพลังสร้างสัมผัส ทักษะยุทธ์ขั้นเจ็ด ถือเป็นทักษะที่มีสัมผัสวิญญาณแล้ว ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุสามารถเปลี่ยนให้พลังที่เน่าเฟะกลายเป็นพลังวิญญาณอันวิเศษไพศาล ทักษะยุทธ์จากตัวตนพรสวรรค์ กอปรไปด้วยพลังไร้ระเบียบจริงแท้ราวมายาในตำนาน
“ชักน่าสนุกแล้วสิ” ประมุขหลิวไม่รีบร้อนลงมือ เพราะได้รับอิทธิพลมาจากประมุขน้อย ทำให้สายตาของมันจดจ่อไปที่แหวนมิติบนนิ้วของคู่ต่อสู้ที่กำลังส่องแสงยั่วยวนอยู่
ไอหยา บรรพตสละฟ้ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนา เงินจึงไม่พอใช้อยู่บ้าง
เหมือนอย่างที่ฉินจิ่วเกอเคยวิเคราะห์เอาไว้ การปล้นชิงย่อมรวดเร็วกว่าการทำตัวเถรตรง
บนฟ้าปรากฏหงส์ขึ้นมาตัวหนึ่ง หงส์ตัวนี้มีเมฆขาวเป็นร่างกาย มีไอวิญญาณเป็นแก่นฐาน ขนาดความยาวสิบจั้ง เหาะเหินไปตามท้องนภา เป็นสัญลักษณ์ว่าทุกสิ่งจะไม่มีวันดับสูญ ทุกสิ่งจะไม่มีวันเผาสลาย ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านล้วนมีเปลวเพลิงสีทองส่องไสว ระลอกคลื่นร้อนผลาญกระจายไปทั่วระยะพันลี้ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในเตาอบ
แกว้ก!
เสียงหงส์กู่ร้อง เพลิงอัคคีแสงเทวะพวยพุ่งเข้าหาประมุขหลิว คลื่นพลังร้อนลวกจนแม้แต่ขุนเขาสูงใหญ่ยังต้องหลอมละลายเป็นผุยผง
“ตาแก่ ดูท่าเจ้าคงจะชอบเล่นเป็นมนุษย์นกมากเลยสิ? ” ประมุขหลิวแค่นเสียงหยัน คนผู้นี้ก็คือพวกที่ยังไม่เป็นอิสระจากรสนิยมห่วยๆ ผู้หนึ่ง
จวงเกาโฉ่วหน้าขึ้นสี ดาลเดือดจนต้องแค่นเสียงดังเฮอะ ในช่วงชั้นเดียวกัน พวกที่เผชิญกับหงส์สวรรค์ล่องเวหาของมัน มีใครบ้างที่ไม่หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก เอาแค่เพลิงอัคคีหงสาที่ผนึกขึ้นมา กับพลังธาตุอัคคีบนตัวมัน ก็สามารถเผาผลาญได้แม้แต่หลิงไถตารางนิ้วเลยด้วยซ้ำ
“จงไหม้เป็นผุยผงไปซะ! ” พลาอำนาจของจวงเกาโฉ่วไม่อาจดูแคลนได้ วายุอัคคีอันองอาจห้าวหาญ โฉบลงจู่โจมฝ่ายตรงข้าม
ประมุขหลิวคืนสู่ร่างเดิม ไม่คาดกลับเป็นวัวดำตัวหนึ่ง วัวตัวนี้สูงร้อยจั้ง กีบเท้าทั้งสี่สามารถเหยียบภูเขาสูงใหญ่ให้ราพณาสูรไปได้ สันหลังของวัวดำเป่งพองเหมือนหลังคาทวีป กระดูกกล้ามเนื้อแข็งแกร่งปานเหล็กไหล ราวกับไม่อาจมีสิ่งใดมาสั่นคลอนมันได้
มออ!
ยามที่วัวดำใหญ่เทียมฟ้านี้ขยับตัว ท้องฟ้าสุริยันเป็นต้องหล่นหาย เมฆหมอกปลิวกระจายไปทั่วสารทิศ บนฟากฟ้าหนึ่งพันเมตร ปรากฏเขาไท่ซานอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา สยบยอดเขาสูงทุกลูกในระยะ ประดุจองค์จักรพรรดิแห่งสวรรค์
หงส์อัคคีล่องเวหา พยัคฆ์สำแดงอำนาจ ด้วยสายเลือดขัตติยะของสัตว์อสูร จึงทอดตามองไปทั่วหล้าด้วยความหยิ่งผยอง
วัวดำตัวนี้ดูไม่สะดุดตา ท่วงท่าไม่มีอันใดพิเศษ ริมฝีปากแสยะเปิด ส่งลิ้นสั้นกุดออกมาแลบเลียอย่างค่อนข้างพึงใจ ทำท่าเหมือนจะกลืนหงส์ผู้สูงส่งตัวนั้นลงท้อง
“รนหาที่! ”
จวงเกาโฉ่วพอเห็นว่าอีกฝ่ายคนก็ไม่ใช่อสูรก็ไม่เชิง จึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นพวกเผ่าพิสดาร ในแววตายิ่งทวีความเหยียดหยาม
ง่ำ!
แต่ที่ทำให้กวงเจาโฉ่วต้องปากอ้าตาค้างก็คือ วัวตัวโตที่กำลังแสยะปากอ้ากว้าง ถึงกับสามารถกลืนหงส์อัคคีของมันลงท้องไปได้จริงๆ ในเสี้ยวพริบตานั้น ท้องฟ้าพลันมืดหม่น ไอวิญญาณกลายเป็นมีดคมกริบที่ตัดผ่าเมฆาเก้าสวรรค์
รอจนฟ้าดินคืนความสว่าง ดวงตะวันกลับคืนสู่โลกหล้า สภาพอากาศกลับมาอุ่นร้อน แต่ความหนาวเยือกกลับยังคงอยู่
ประมุขหลิวเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้ว พบเห็นสีหน้าแววตาของจวงเกาโฉ่ว ในใจก็ปรากฏเจตนาฆ่าฟันขึ้นทันที ร่ำๆ จะเข้าไปฉะอีกฝ่ายให้ตายคามืออยู่รอมร่อ แต่ก็ฉุกคิดถึงแผนการกรีธาทัพเข้าสู่เมืองเทียนเอินอันแสนสำคัญขึ้นมาได้ก่อน จึงค่อยๆ เก็บรั้งจิตสังหารลงไป และสะกดเอาไว้ที่ก้นบึ้งของจิตใจ
รอจนประมุขหลิวถอนสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้กลับไป จวงเกาโฉ่วที่กำลังยืนแขนสั่นก็พลันได้สติ มันพบว่าตัวเองถึงกับหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมาจนชุ่มโชก
“คืนให้เจ้า! ”
ประมุขหลิวอ้าปากขย้อน พ่นเอาเพลิงร้อนผลาญที่ส่งเสียงลากยาวไปถึงเก้าสวรรค์ออกมา แสงที่ส่องออกเจิดจ้าจนนัยน์ตาแทบบอด ในระยะพันลี้โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้าหรือบนดิน ถึงกับเริ่มเกิดการลุกไหม้ขึ้นมา
“อ๊า! ”
ขนคิ้วของจวงเกาโฉ่วถึงกับติดไฟลุกพรึ่บ ขณะที่มันกำลังวุ่นวายอยู่กับการดับไฟ พลันพบว่าอุณหภูมิเริ่มร้อนสูงจนผิวหนังเริ่มพุพอง จนเริ่มที่จะมีแผ่นหนังหลุดร่อนออกมาเป็นปื้นๆ
ประมุขหลิวพอสบโอกาสก็ฉวยแหวนมิติมาจากมือของอีกฝ่ายทันที จากนั้นยันร่างจวงเกาโฉ่วจนร่วงโครมลงจากฟ้า เหมือนนกปีกหักที่พุ่งโหม่งลงผิวโลก
อาวุโสจวงเฉียนที่กำลังเฝ้ารอให้พลังแห่งธรรมะชำระล้างอธรรมอยู่นั้นพอเห็นภาพนี้เข้าก็ต้องหวาดกลัวจนหัวโกร๋น เหงื่อกาฬแตกซิ่ก “ท่านผู้สูงส่ง มีอะไรเชิญรับสั่งมาได้เลย”
“ส่งมอบแหวนมิติออกมา แล้วพาไอ้ขยะนั่นไปจากที่นี่ซะ ไปบอกประมุขของพวกเจ้าด้วยว่า ที่ประมุขน้อยของเราเชิญมันมาก็ถือว่าไว้หน้ามันแล้ว”
“ขอรับๆ ”
แม้แต่ผู้ทรงพลังอย่างอาวุโสทรงสิทธิ์ที่เป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นหกยังต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว
จวงเฉียนไหนเลยจะกล้าพูดจาไม่ยั้งคิด ในที่สุดมันก็เข้าใจ ตัวมันในวันนั้นนับว่าโชคดีขนาดไหนแล้ว
เจ้าวัวที่ยื้อยุดกับมันในวันนั้น ดีไม่ดีอาจเป็นสัตว์ขี่ส่วนตัวของอาวุโสท่านนี้ก็ได้!
หลังได้กำไรมาเป็นแหวนมิติสองวง ประมุขหลิวก็เคลื่อนร่างกลับสู่เมืองล่วนโต้วด้วยรอยยิ้มกว้าง
ประชากรนับล้านกระจายตัวออกจากศูนย์กลาง ไม่มีใครกล้าเฉียดกายเข้าใกล้ตระกูลซูในระยะร้อยเมตรเด็ดขาด
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งฝอย
ประมุขหลิวพกพาชัยชนะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่จนได้รับการต้อนรับจากทุกคนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง โดยเฉพาะฉินจิ่วเกอที่เดินปรี่เข้ามาแล้วพูดในทำนองว่าในนามของความถูกต้องทั้งปวงในโลก แหวนมิติสองวงนี้ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เก็บไว้เองเถอะ
ถึงตอนนี้ ประมุขซูก็ยังไม่อยากเชื่อตาตัวเอง แม้แต่กลั่นดวงธาตุขั้นหกก็ยังไม่ใช่คู่มือของคนพวกนี้
อย่าลืมว่า ฉินจิ่วเกอคือศูนย์กลางของพวกมัน บางที เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นคนได้ผลอู๋เลี่ยงสดมาครองอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้
แต่พอประมุขซูเห็นใบหน้ากะลิ้มกะเลี่ยของฉินจิ่วเกอที่แทบจะกอดจูบลูบคลำเงินก้อนนั้น ต่อให้มโนภาพในใจจะดีกว่านี้เพียงไร สุดท้ายก็ยังอันตรธานหายไม่มีเหลือ
สภาพเยี่ยงนั้น หน้าไหว้หลังหลอก หน้าคนใจอสูร หากบอกว่ามันเป็นจอมโจรแห่งแผ่นดินก็ยังมีคนเชื่อ ส่วนเจ้าคนดวงดีที่ได้ผลอู๋เลี่ยงไปครอง มีคนว่าเป็นยอดอัจฉริยะจากตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์แดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์
จะเป็นเจ้าหมอนี่ไปได้อย่างไร
ตกเย็น ภายในตระกูลจวงเมืองเทียนเอิน ประมุขจวงกำลังนั่งรำลึกถึงตระกูลจวงสูงส่ง ยุทธภพไพศาลอีกครั้ง ถือโอกาสตอนที่แสงจันทร์กำลังอ่อนละมุนได้ที่ คว้าสุราเลิศรสห่มอาภรณ์ขาวสะอาดนั่งใคร่ครวญถึงปัญหาชีวิตสืบต่อไป
จันทร์สวยทิวทัศน์งาม กาลเวลาตลบอวล วันคืนผันผ่าน สุขนั้นไซร้ไร้พรมแดน
เพียงแต่ ไม่ทราบคิดไปเองหรือไม่ ท่ามกลางจันทร์ขาวบริสุทธิ์และสายลมหวนกลับคล้ายมีไอพลังมืดบางเบา กับกลิ่นอายความชั่วร้ายเหม็นโฉ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองเทียนเอินอย่างเงียบเชียบ
ดาราสวยทิวทัศน์งาม ราวกับว่า ภายในกลับซุกซ่อนความดำมืดสกปรกเอาไว้ บางสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน
ประมุขจวงร่ำสุราดื่มด่ำอยู่อย่างสันโดษ ได้ยินอาวุโสเข้ามารายงานว่าทางเขาพิรุณเซียนได้ส่งคนมาเยือน
ทุกผู้คนในเมืองเทียนเอินล้วนรับรู้ว่าตระกูลจวงและเขาพิรุณเซียนเกี่ยวดองกัน ไม่ได้เลือกที่จะพึ่งพาสมาพันธ์อู่ซิ่ง
สมาพันธ์อู่ซิ่ง คือขุมกำลังเจ้าถิ่นประจำเมืองเทียนเอิน เป็นปฏิปักษ์กับทั้งสามเผ่ามากพอตัว ช่วงนี้ยังลือกันว่าพวกมันพบตัวศิษย์สตรีสายตรงที่ขาดการติดต่อไปหลายปีแล้ว และกำลังหาคู่ตบแต่งให้กับนาง
บัดนี้ ทิศทางที่ลมในเมืองเทียนเอินเคลื่อนตัวไป ส่วนใหญ่ล้วนมุ่งไปที่หัวข้อสนทนานี้ทั้งสิ้น
ศิษย์สตรีท่านนั้น ลือกันว่านางคือว่าที่ผู้นำรุ่นต่อไปที่สมาพันธ์อู่ซิ่งลงมติกันแล้ว ในฐานะขุมอำนาจเจ้าถิ่นประจำเมืองเทียนเอิน สมาพันธ์อู่ซิ่งคือกองกำลังที่มีความเร้นลับมากที่สุด อิทธิพลแพร่ขยายไปทั่วทุกหลืบมุมภายในเมือง
หากสามารถเกี่ยวดองกับสมาพันธ์อู่ซิ่งได้ การให้ทายาทของพวกมันไปเป็นบุตรเขยของกองกำลังระดับนี้ยังจะไม่นำพาผลประโยชน์มากมายมาให้พวกมันอีกหรือ
คนที่เขาพิรุณเซียนส่งตัวมานั้น คืออาวุโสขั้นหนึ่งที่ปิดด่านเก็บตัวมาหลายสิบปี นามซุนไป๋ เช่นเดียวกับประมุขจวง คนผู้นี้ก็อยู่ในระดับกลั่นดวงธาตุขั้นแปดเหมือนกัน เป็นบุคคลลำดับสองของเขาพิรุณเซียน
หากไม่นับเจ้าสำนักเขาพิรุณเซียน มันก็ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด กลั่นดวงธาตุในแต่ละขั้นจำต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปให้ได้ โอกาสการเสียชีวิตสูงถึงเก้าในสิบส่วน
มียอดฝีมือกลั่นดวงธาตุมากมายที่ต้องตายเพราะทัณฑ์สวรรค์ จึงทำให้มียอดฝีมือจำนวนมากที่แม้จะถึงบั้นปลายของชีวิตก็ยังไม่กล้าที่จะลอง
ซุนไป๋ทำการหยั่งรู้ถึงขอบเขตเก้าดวงธาตุสูงสุดตลอดหลายสิบปีที่ปิดด่าน แต่ก็ไม่มีการคืบหน้าแม้สักกระผีกริ้น จึงไม่กล้าที่จะผลีผลามเรื่องทัณฑ์สวรรค์ ที่มันออกด่านครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องสมาพันธ์อู่ซิ่งประกาศหาเจ้าบ่าวอย่างเปิดเผยนั่นเอง
หากสามารถตบแต่งกับเจ้าสมาพันธ์รุ่นต่อไปของสมาพันธ์ได้ ก็เป็นไปได้ว่าเขาพิรุณเซียนกับสมาพันธ์อู่ซิ่งจะผนึกรวมกัน จากนั้นขจัดล้างค่ายพรรคเดชมารและพรรคทรราชให้สิ้นไปจากเมืองเทียนเอิน เมื่อนั้นทั่วทั้งเมืองก็จะตกอยู่ในมือของฝ่ายมนุษย์อย่างเบ็ดเสร็จ
ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองเทียนเอินนั้นสำคัญยิ่งยวด
แผ่นดินใหญ่ไม่ได้เป็นพื้นที่ราบ ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรคสุมซ่อน เส้นทางทุรกันดารถนนหนทางไม่เพียงพอ ภูมิประเทศของทวีปฉงหลิงจึงทั้งสลักซับซ้อนและไม่ราบรื่น มีแต่เมืองเทียนเอินที่เทียบกันแล้วยังถือได้ว่าเป็นที่ราบ และแทบทุกแห่งหนล้วนเป็นผืนดินอันอุดมสมบูรณ์
สามเผ่าพันธุ์แก่งแย่งถือกรรมสิทธิ์เมืองเทียนเอิน ก่อสงครามใหญ่โตมาตั้งแต่สมัยปลายบรรพกาล และเคยเปลี่ยนให้ที่นี่กลายเป็นสนามรบหลักมาแล้ว และเกือบกลายเป็นซากเมืองเพราะเหตุนั้น จนกระทั่งเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เมืองแห่งนี้จึงค่อยคืนความมีชีวิตชีวา คนของทั้งสามเผ่าและตระกูลเจ้าถิ่นจึงแบ่งแยกที่ดินของใครของมัน ในกรณีที่ว่าไม่มีกฎสรรพสิ่งสอดมือเข้ามา
เพราะตั้งอยู่ใจกลางทวีป ทางทิศเหนือจรดประตูเผ่าอสูรจนถึงใจกลาง ทิศตะวันตกจรดพรมแดนมารสามหมื่นลี้ สามารถรุกเร้าล่าถอยป้องกันได้อย่างใจ ทิศใต้คือผ่ามนุษย์บรรพตสายธารแปดร้อยลูกเป็นปราการธรรมชาติ รุกรานล่าถอยล้วนมีสิ่งกีดขวาง
โดยเฉพาะทิศตะวันออกของเมืองตรงดิ่งไปยังชายฝั่งทะเล ล้วนตั้งขวางไว้ด้วยสารพันบรรพตตระหง่านทั้งนอกใน สามารถครอบครองสามพันเกาะเหนือแผ่นดินใหญ่ สามารถล่าถอยในภาวะฉุกเฉิน หลบหนีไปต่างถิ่นก่อนตั้งหลักกลับมา
ฝั่งตะวันออกของเมืองเทียนเอิน มีเพียงแผ่นดินที่ราบนับหมื่นๆ ลี้เชื่อมต่อกับชายฝั่งมหาสมุทร สถานที่บรรจบระหว่างเผ่ามนุษย์อสูร ซึ่งก็คือที่ตั้งของบรรพตสละฟ้า
และด้วยเหตุนี้ ทั้งสามเผ่าจึงให้ความสำคัญกับเมืองเทียนเอินอย่างยิ่งยวด ใครที่สามารถยึดเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ เท่ากับสามารถก่อกวนคลื่นลมไปทั่วทั้งทวีปฉงหลิง ไม่ว่าในด้านยุทธศาสตร์การรบหรือด้านเศรษฐกิจก็ล้วนมีความสำคัญยิ่ง
ดังนั้น สมาพันธ์อู่ซิ่งจึงตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม และกลายเป็นแพะอ้วนพีในสายตาของทั้งสามเผ่าพันธ์ุ
ที่ซุนไป๋มาหาจวงปี้ก็เพราะมุ่งหมายที่จะผนึกรวมเป็นหนึ่งกับตระกูลจวง และร่วมมือกันฉุดดึงสมาพันธ์อู่ซิ่งให้มาอยู่ฝ่ายตน
เชื่อว่าอีกสองขุมอำนาจสูงสุดเองก็พร้อมเริ่มแผนการแล้วเช่นกัน สถานการณ์จึงทั้งไม่ชัดเจนและนิ่งค้างกันอยู่
เขาพิรุณเซียน ค่ายพรรคเดชมาร และพรรคทรราชต่างก็กำลังจ้องจับตาสมาพันธ์อู่ซิ่งอยู่
แต่สมาพันธ์อู่ซิ่งที่กำลังถูกพยัคฆ์เฝ้าจับตานั้น ภายในกลับสงบนิ่ง จนถึงขั้นไร้การเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง
ซุนไป๋และจวงปี้กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส โดยเฉพาะยามร่ำสุราก็ไม่ต้องควักกระเป๋า กับข้าวอาหารยังนำติดไม้ติดมือกลับไปได้อีก เรียกได้ว่าดีงามจนสวรรค์ยังต้องพลิกตลบ
แน่นอน นี่คือความคิดภายใต้จิตใจอันคับแคบของฉินจิ่วเกอ
ในความเป็นจริง ซุนไป๋กำลังนั่งถกเถียงกับจวงปี้ว่าจะรับมือกับว่าที่เจ้าสมาพันธ์รุ่นต่อไปอย่างไรดี
ด้านนอก จวงเกาโฉ่วที่ถูกจวงเฉียนแบกหามมาในสภาพที่มีแต่กลิ่นเนื้อย่างฉุยฉายก็กลับถึงตระกูลในที่สุด