เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 14 จ้องข้าทำไม
“อืม ที่แท้เป็นเช่นนี้ หญ้าวิญญาณแสงที่จริงไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไร ติดตรงที่ว่าเก็บรักษายากอยู่บ้างเท่านั้น สามารถกว้านซื้อปริมาณขนาดนี้ได้ในละแวกร้อยลี้โดยรอบ คนที่ซื้อไปเห็นทีจะเป็นนักปรุงยากระมัง”
ตอนนี้แม้แต่ความคิดที่จะกินดื่มให้หนำใจก็ไม่มีเหลืออีก จบเห่กันแล้ว ไม่รอดแน่แล้ว เดิมทียังคิดว่าแค่ซื้อหาหญ้าวิญญาณแสงกอหนึ่งจะไปยากอะไร ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นมากลางคันเสียได้
“อาวุโสภายในพรรคให้เวลาข้านำหญ้าวิญญาณแสงกลับไปภายในเจ็ดวัน หากเดินทางไปหาซื้อเอาจากเมืองถัดไป อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสิบวัน นั่นย่อมใช้ไม่ได้ หากปักหลักรออยู่ที่นี่ต่อ ก็ต้องรออีกครึ่งเดือนจึงจะมีสินค้าชุดต่อไปเข้ามา”
ฉินจิ่วเกอใช้ตะเกียบเคาะขอบแก้วเบาๆ ดูเหมือนว่าไม่ว่าตนจะใช้วิธีไหนก็ไม่อาจทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้เลย
“อันที่จริงยังมีอยู่อีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังจะช่วยให้พี่ฉินทำตามหน้าที่ที่มอบหมายให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดอีกด้วย” ซ่งเล่อสะบัดพัดในมือเบาๆ วิธีที่มันกำลังพูดถึงอยู่นี้ ที่จริงมีจุดประสงค์เพื่อจะผูกมิตรกับฉินจิ่วเกอแฝงอยู่ด้วย
“เป็นวิธีใด?”
“ไปหาเอาที่ป่าปีศาจสวรรค์ เทียบกับในเมืองแล้ว คุณภาพไม่เพียงแต่จะสูงกว่า หากยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น” ซ่งเล่อจงใจเว้นจังหวะให้ฉินจิ่วเกอตะครุบเหยื่อ “หากไปที่ป่าปีศาจสวรรค์ด้วยตัวเองแล้วละก็ จะสามารถประหยัดศิลาวิญญาณได้ไม่น้อย แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต้องควักเงินจ่ายเลยด้วยซ้ำ”
“งั้นก็ตกลง” ทันทีที่ได้ยินว่าทุนต่ำกำไรงาม กำไรที่เหลือไม่เท่ากับว่าเข้ากระเป๋าตัวเองหรอกหรือ? ฉินจิ่วเกอคิดมาถึงตรงนี้ก็ตอบตกลงทันทีอย่างที่ไม่ต้องคิดอะไรให้เปลืองสมองอีก
“ศิษย์พี่ใหญ่ ป่าปีศาจสวรรค์ทุกฝีก้าวล้วนเปี่ยมไปด้วยภยันตราย หากบุ่มบ่ามเข้าไปเพียงลำพัง เกรงว่าจะไม่ได้ออกมาง่ายๆ” เจ้าอ้วนน่าตายเอนเข้ามากระซิบเตือนฉินจิ่วเกอ ยากที่จะเห็นศิษย์พี่ใหญ่ยินดีกลับตัวเป็นคนใหม่ แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้อีกฝ่ายก็ต้องมีชีวิตรอดเสียก่อน
“บังเอิญว่าข้าเองก็อยากไปหาประสบการณ์ที่ป่าปีศาจสวรรค์อยู่พอดี พี่ฉิน พวกท่านไปพร้อมกับข้าเลยก็ได้ ปกติแล้วหญ้าวิญญาณแสงจะงอกเงยจากมูลสัตว์อสูร ตกกลางคืนก็จะเปล่งแสงสีครามอ่อนๆ ออกมาเพื่อดูดซับไอวิญญาณฟ้าดินจากธรรมชาติ ข้ารู้แหล่งที่พวกมันงอกเงยอยู่พอดี ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อยอีกต่างหาก”
ซ่งเล่อวางแผนเอาไว้แล้ว การไปจับกลุ่มกับคนๆ นั้น ที่จริงถือว่าบุ่มบ่ามเกินไปสักหน่อย ทั้งยังกังวลว่าจะถูกซ้อนแผน
หากสามารถดึงพวกฉินจิ่วเกอเข้ามาร่วมด้วย ตนก็สามารถครองตำแหน่งหัวหน้าทีม คิดอย่างไรก็ไม่เสียหาย
ป่าปีศาจสวรรค์ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองซวนอู่ จรดกับสันเขาเจ็ดแปดแถวลากยาวติดต่อกัน ทั้งยังมีความลึกถึงหลายพันลี้
สัตว์อสูรในป่ามักอยู่กันเป็นกลุ่ม ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่ผู้เสี่ยงโชคเป็นที่สุด
ที่ซ่อนอยู่ในความอันตรายก็คือโชคลาภวาสนาที่น่าแตกตื่นสะท้านใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของแต่ละคน
ภายในป่าบรรพกาลผืนนั้น กระทั่งมีสัตว์อสูรที่เทียบชั้นกับยอดฝีมือขอบเขตวิสุทธิ์อยู่มากมายเกลื่อนกล่น
ด้วยเหตุนี้ นักเสี่ยงโชคที่เดินทางมาที่นี่ต่างก็ต้องระวังตัวแจ ไม่มีใครกล้าถลำลึกเข้าไปไกลจนเกินไป ยิ่งเป็นการแต่งแต้มสีสันความลี้ลับให้กับป่าปีศาจสวรรค์เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าซื้อหาเอาเอง” จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจบรรลุขอบเขตปราณสุริยัน ฉินจิ่วเกอเลยตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้ขัดเกลาตนเอง ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสที่จะช่วยให้ตนทะลวงคอขวดนี้ไปด้วย
เห็นได้ว่าการไปป่าปีศาจสวรรค์ในครั้งนี้ เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
อีกทั้งซ่งเล่อเองก็ควรมีดีพอตัวอยู่บ้าง ร่วมเดินทางไปกับมันเท่ากับมีเกราะคุ้มภัยเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง
พอได้ยินว่าฉินจิ่วเกอสมัครใจที่จะไปป่าปีศาจสวรรค์ เจ้าอ้วนน่าตายพลันเกิดความเคลือบแคลงขึ้นมาทันทีว่าอีกฝ่ายใช่เป็นเพราะหนี้สินท่วมหัวเลยเกิดเพี้ยนจนถึงขั้นที่ว่าอยากจะยุติชีวิตตัวเองขึ้นมาหรือไม่
ป่าปีศาจสวรรค์ สถานที่ที่เหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ซากศพกองสุมดั่งภูเขา ชื่อเสียงน่าประหวั่นพรั่นพรึงเลื่องลือไกล
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ต้องไปกับข้า” จู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็เอ่ยขึ้น ส่งผลให้หัวใจของเจ้าอ้วนน่าตายที่กระดอนออกจากเด้งกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม
ไม่ใช่ห้ามไม่ให้ไป แต่ระดับฝีมือของเจ้าอ้วนไม่อาจเทียบกับตนเองได้ ถ้าไปก็มีแต่จะตายเปล่า
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ศิษย์น้องเล็กเองก็ไม่อาจไปด้วยได้ ดังนั้นจึงต้องฝากฝังนางไว้กับเจ้าอ้วน
ศิษย์น้องเล็กมองฉินจิ่วเกอทะลุปรุโปร่ง นัยน์ตากระจ่างใสกะพริบปริบปรอย “ศิษย์พี่ใหญ่ หากท่านจะไปเสี่ยงโชค ข้าเองก็อยากไปกับท่านด้วย”
“เพ้ย ใครว่าข้าจะไปเสี่ยงโชค” ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะอย่างทีเล่นทีจริง “หญ้าวิญญาณแสงพวกนั้นเก็บเกี่ยวได้ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก พวกมันงอกเงยอยู่บนมูลสัตว์ แล้วในป่ามีหรือจะไม่มีกองมูลอยู่ทุกฝีก้าว คิดตามหาสักกอหนึ่งมันจะไปยากอะไร ย่อมไม่มีเรื่องอันตรายอยู่แล้ว”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฉินจิ่วเกอไม่ไปไม่ได้แล้ว
มิเช่นนั้นหากไม่สามารถเอาหญ้าวิญญาณแสงกลับไปได้ทันเวลา ถึงตอนนั้นชื่อเสียงของมันภายในพรรคก็มีแต่จะยิ่งย่ำแย่ลง ไม่แน่ว่าพอศิษย์น้องรองกลับมา ตนอาจถูกตะเพิดออกนอกพรรคไปเลยก็ได้
เพื่อชีวิตอันสงบสุขแล้ว ฉินจิ่วเกอจึงได้แต่ต้องบุกน้ำลุยไฟ หากไปแล้วต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น ก็มีแต่ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมเท่านั้น
“พี่ฉินพูดถูกแล้ว รวบรวมหญ้าวิญญาณแสงไม่ใช่เรื่องเสี่ยงชีวิตอะไรเลย พวกเจ้าไปรอศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ในเมืองให้สบายเถอะ ไม่กี่วันพวกเราก็จะกลับมาแล้ว” ซ่งเล่อเอ่ยปากมาจากด้านข้าง ในใจรู้สึกยอมรับฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของฉินจิ่วเกอเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
ปกป้องศิษย์น้องจากลมแดดลมฝนดุจร่มโพธิ์ร่มไทร คำว่าศิษย์พี่ใหญ่นี้หาใช่เพื่อเกียรติยศ แต่เป็นมิตรภาพต่างหาก
“ไม่ ข้าจะไปด้วย” ศิษย์น้องเล็กยืนกรานหัวชนฝา คนหยิบตะเกียบปักลงบนจาน ตระเตรียมอาละวาด
“ไม่ได้ นี่ไม่ใช่การไปเดินตลาด เจ้ารออยู่ในเมืองซวนอู่อย่างว่าง่าย ข้าจะกลับมาในสามวัน” ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่ยอมถอย นี่เป็นเรื่องของหลักการ
“ไหนบอกว่าไม่มีอันตรายไม่ใช่หรือ?” ศิษย์น้องเล็กถลึงตา ทิ่มทะลวงใส่คำโกหกของฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอไม่กล้าตอบคำถามนางตรงๆ แสร้งตบโต๊ะจนถ้วยจานที่ทำจากเงินกระเด้งกระดอนขึ้นมา “เจ้าอ้วน หลายวันที่ข้าไม่อยู่ เจ้าเฝ้าศิษย์น้องเล็กให้ดี หากเกิดเรื่องอันใด ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมาเป็นคนแรก”
วาจากล่าวออกไป ฉินจิ่วเกอน้ำเสียงหนักแน่น แฝงความเข้มงวดที่ยากจะมีขึ้นหลายส่วน ส่งผลให้ผู้คนไม่อาจไม่เชื่อฟัง
กลิ่นอายชนิดที่ใครก็ไม่อาจต้านทานนี้ไม่เหมือนกับความกลัวที่เกิดจากความพิโรธโกรธา น้ำเสียงของมันในขณะนี้มีกลิ่นอายชนิดที่ว่าอัดแน่นอยู่อย่างท่วมท้น
กลิ่นอายเช่นนี้ยังมีประสิทธิภาพเหนือกว่าการปั้นหน้ายักษ์ขมูขีเป็นไหนๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไว้ใจข้าได้เลย!” เจ้าอ้วนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะทั้งยังลุกขึ้นยืนตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
แต่ศิษย์น้องเล็กยามนี้กำลังก้มหน้าน้อยใจ ริมฝีปากที่ยื่นเหยียดออกมาสามารถเอาตะเกียงน้ำมันมาแขวนห้อยก็ยังได้
ในใจของฉินจิ่วเกอลอบหัวเราะ บนใบหน้ามิอาจซุกซ่อนสีหน้าไว้ เดินเข้าไปลูบเส้นผมดำขลับดุจขนกาบนศีรษะน้อยเบาๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจ ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจล้อเล่นได้ รอศิษย์พี่อยู่ที่นี่อย่างว่าง่าย เมื่อศิษย์พี่กลับมา จะซื้อขนมให้เจ้ากินสิบไม้ เป็นอย่างไร?”
“ท่านมันงี่เง่า” ศิษย์น้องเล็กลอบพึมพำด่าทอ แกว่งเท้าไปมา ไม่ส่งเสียงอันใดอีก
“ความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกท่านช่างทำให้ผู้คนอิจฉาเลื่อมใสนัก” ซ่งเล่อกล่าว บรรดาศิษย์ในสำนักประตูหายนะต่างประชันอิทธิพลอำนาจ ยามลงมือยังร้ายกาจกว่าภายนอก คำว่าน้ำใจน้อยครั้งจะหยิบยื่น ยิ่งเมื่อเป็นเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรในการฝึกปรือ น้ำใจศิษย์พี่น้องอันใดยิ่งบินหายไปเป็นอันดับแรก
การได้พบพวกฉินจิ่วเกอในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้กับมัน และยังแฝงความอิจฉาเอาไว้อีกด้วย
ใบหน้าอวบอ้วนของเจ้าอ้วนเปลี่ยนเป็นเหยเก ไม่ทราบเคี้ยวถูกก้างปลาหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น
หากชื่อเสียงภายในพรรคของศิษย์พี่ใหญ่เรียกว่าดีแล้วละก็ ป่านนี้ศิษย์พี่ใหญ่ทุกคนในใต้หล้าก็คงได้คะแนนเต็มสิบกันหมดแล้ว
เกิดรู้เข้า ศิษย์พี่ใหญ่ทุกท่านคงหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ชีวิตที่ผ่านมาของพวกมันคงสูญเปล่าสิ้นดี
ร่ำสุราสามจอก ลิ้มรสอาหารครบทุกรสชาติ
เจ้าอ้วนพอเดินมาถึงชั้นล่างก็เริ่มจัดการห่อทุกอย่างเท่าที่จะห่อได้
ถึงอย่างไรก็มีคนมือเติบออกค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้ว คิดลงมือทั้งทีก็อย่าได้เกรงใจไม่เข้าเรื่อง ภายในครัวของโรงเตี๊ยมจึงเกิดความวุ่นวายเหมือนสนามรบ ปริมาณงานท่วมหัวกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า
จากนั้นศิษย์น้องเล็กก็ถูกเจ้าอ้วนลากจูงไปอีกทาง แต่นางก็ยังเหลียวมามองฉินจิ่วเกอด้วยความเป็นห่วง ความกังวลในแววตาส่งตรงมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เครื่องจ่ายหนังสือที่ไม่ต้องหยอดเงิน ของฟรีย่อมไม่มีในโลก
“พี่ซ่ง ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะ” พอเห็นเจ้าอ้วนจากไปแล้ว ฉินจิ่วเกอที่ทำท่าสำมะเลเทเมาอยู่หมาดๆ พลันหายเมาเป็นปลิดทิ้ง
“พี่ฉินไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด กระทำเรื่องราวรู้จักรอบคอบระมัดระวังยิ่ง” ซ่งเล่อเอ่ยชม
ฉินจิ่วเกอหัวเราะ มันไม่ใช่พวกไร้สมอง กระทำเรื่องราวย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลาม “ข้าเชื่อว่าความเกลียดชังโดยไม่มีสาเหตุนั้นมีอยู่ แต่ความรักที่ไม่มีสาเหตุย่อมไม่มี พี่ซ่งเสนอตัวออกมาขนาดนี้ หากบอกว่าไม่มีอะไรแอบแฝง ข้าเชื่อไม่ลง”
“ตกลง ข้าเองก็ไม่คิดจะปิดบังท่านอยู่แล้ว”
ตามที่ซ่งเล่อเล่า เมื่อครึ่งปีก่อน มันเดินทางเข้าป่าปีศาจสวรรค์เพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ แต่กลับพลัดหลงเข้าไปในโพรงถ้ำพิสดารแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ
เมื่อเข้าไปแล้ว ถึงรู้ว่าเป็นที่กบดานของอสรพิษปาฉือ ลึกเข้าไปในโพรง ลูกอสรพิษปาฉือจำนวนหลายร้อยกำลังเฝ้าสมุนไพรวิเศษระดับสี่อยู่
หากนำสมุนไพรวิเศษนี้ไปมอบให้นักปรุงยาสักคน ย่อมสามารถปรุงยาวิเศษออกมาได้ในปริมาณมาก มูลค่าสูงส่งสุดคณานับ ต่อให้ซ่งเล่อที่เป็นศิษย์ฝ่ายในของประตูหายนะเองเห็นแล้วก็ยังมิอาจไม่ใจสั่นไหวได้
การแข่งขันภายในประตูหายนะดุเดือดยิ่ง ผู้เข้มแข็งเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ สำหรับซ่งเล่อแล้ว สมุนไพรวิเศษชิ้นนี้ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องเอามาให้ได้
ผ่านไปแล้วครึ่งปี คาดว่าสมุนไพรระดับสี่นั้นคงสุกงอมได้ที่แล้ว รอให้มันไปเก็บเกี่ยวเท่านั้น
จะติดก็แค่สมุนไพรระดับสี่ชิ้นนี้รายล้อมไปด้วยอสรพิษร้ายหลายร้อยตัว แม้ลูกอสรพิษเหล่านี้ระดับจะไม่สูง หากแม้แต่วีรบุรุษยังต้องครั่นคร้ามฝูงหมาป่า ซ่งเล่อจึงไม่กล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงด้วยง่ายๆ
ยาวิเศษในรังอสูร แน่นอนว่าย่อมเป็นวัตถุช่วยในการฝึกฝีมือของอสรพิษปาฉือ
หากคิดช่วงชิงโอสถวิเศษ ย่อมเป็นการตอแยอสรพิษปาฉือนับร้อยๆ ตัว แม้แต่ยอดยุทธ์ชั้นปราณสุริยันยังต้องใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง
“เมื่อถึงยามนั้นอาศัยพี่ฉินช่วยข้ารั้งอสรพิษเหล่านั้นไว้ส่วนหนึ่ง ให้ข้ามีเวลาเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณ ข้าก็ยินดีช่วยท่านปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ สำหรับผู้ช่วย ก่อนหน้านี้ข้าหาไว้ได้หนึ่งคน เมื่อรวมกับพี่ฉิน ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะทำสำเร็จมากขึ้น”
ซ่งเล่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมารอบหนึ่ง อันที่จริงหากไม่เกิดปัญหาแทรกซ้อน การทำภารกิจนี้นับว่าไม่ยากเย็นถึงปานนั้น ใจกลางรังอสูร ซ่งเล่อกำจัดอสรพิษปาฉือที่ยังไม่โตเต็มที่ไปบ้าง หากคิดกำจัดเหล่าอสรพิษตัวกระจ้อยหลายร้อยตัวถือเป็นเรื่องง่ายดาย
“การค้านี้ ข้าฉินจิ่วเกอขอเอาด้วย” เสี่ยงชีวิตแลกเงิน ไหนๆ ตนก็ข้ามมาโลกนี้แล้ว ยังมีอะไรจะต้องกลัวอีก
ซ่งเล่อลุกยืนขึ้นอย่างหมดจดแช่มช้า ยื่นมือออกเอ่ยว่า “ยินดีต้อนรับพี่ฉินเข้าร่วม เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้น พวกเราจะออกจากเมืองกัน”
“เจ้าอ้วน ทุกวันต้องออกกำลังกายหนึ่งชั่วยาม ฝึกปรือร่างกายห้าสิบปี ช่วงที่ข้าไปยังป่าปีศาจ เจ้าต้องรักษาขวัญกำลังใจไว้”
“ศิษย์พี่วางใจ เมื่อเหล่าหนิวอยู่ที่นี้ ไม่มีปัญหา” เจ้าอ้วนน่าตายทุบอกตนเองจนไขมันกระเพื่อม แต่ยังคงไม่อาจเรียกความไว้วางใจจากผู้คน
จากนั้นฉินจิ่วเกอย่อร่างลง โอบหลังศีรษะของศิษย์น้องเล็ก “อยู่ในเมืองต้องเชื่อฟังวาจารอศิษย์พี่กลับมา ถึงเวลานั้นศิษย์พี่จะพาเจ้าไปหาของอร่อยๆ ทาน เล่านิทานให้เจ้าฟังเยอะๆ”
“เฮอะ” ศิษย์น้องเล็กแค่นเสียงเย็น สะบัดหน้าไปไม่ยอมรับฟัง
จนกระทั่งนางหันหน้ากลับมา ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อก็ออกนอกประตูเมืองไปแล้ว จากไปรวดเร็วราวเหินบิน
“ศิษย์พี่ ขอให้กลับมาอย่างปลอดภัย…”
แผ่นดินจรดขอบฟ้า สายลมเมฆาไหลพัดผ่านในอากาศ ปักษาหวนกลับรังบนแมกไม้
ดวงตะวันคงเหลืออยู่ปลายท้องนภาเพียงครึ่งดวง แผ่กลิ่นอายโดดเดี่ยวรกร้างอบอวล
ในชั่วขณะนั้น ผู้คนยิ่งเล็กจ้อย ไม่ต่างจากเมล็ดพืชท่ามกลางฟ้าดิน
สายลมเย็นพัดโบกทั่วท้องทุ่ง แหวกต้นไม้ใบหญ้าเป็นทางยาว ผืนดินแตกระแหง
ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง สองคนเดินศีรษะโต้ลมเย็น กระทั่งหันหลังไปไม่เห็นเมืองซวนอู่อีกจึงได้หยุดร่างลง
ขณะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของป่าปีศาจสวรรค์ ขนบนร่างของซ่งเล่อลุกชี้ชันยันกระดูกสันหลัง มันพบว่าสายตาของฉินจิ่วเกอตลอดรายทางจับจ้องตนเองเขม็งนิ่ง แววตาเย็นเยียบชั่วร้ายยิ่ง
“พี่ฉิน ท่านดูทิวทัศน์ในที่นี้ทั้งเข้มแข็งยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน” เมื่อต้องเผชิญสายตาจ้องเขม็งของฉินจิ่วเกอ ในใจซ่งเล่อต้องเย็นวาบ เร่งหาหัวข้อสนทนามาผ่อนคลายบรรยากาศ
ฉินจิ่วเกอไม่สนใจ ยังต้องจับจ้องใบหน้าหมดจดสดใสไร้รอยสิวของซ่งเล่ออยู่
“ท่านดูท้องฟ้าเป็นสีฟ้าครามถึงปานนี้ สายน้ำรินไหล ช่างทำให้ผู้คนต้องหลงใหลชื่นชม”
กล่าวพึมพำต่อตนเองอยู่คนเดียว หากฉินจิ่วเกอยังคงไร้ปฏิกิริยา จ้องมองจากยอดหอสังเกตการณ์มายังตนเองไม่คลาย
ซ่งเล่อบังเกิดความร้อนใจ ในห้วงสมองบังเกิดความเย็นเยียบหนาวเหน็บพวยพุ่ง “พี่ฉิน มีอันใดสามารถบอกกล่าวกันตามตรง เอาแต่จ้องมองข้าทำอะไร”