เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 122 ลอบกลืนกิน
ในสมัยต้นบรรพกาล ผู้ฝึกวิชาปีศาจเริ่มเปิดศึกกับสรรพชีวิตทั่วมหาทวีป มียอดฝีมือมากมายที่ต้องจบชีวิตลงภายใต้เงื้อมมือของกู่บงการเทพ หรือไม่ก็กลายเป็นหุ่นเชิด
กระทั่งยังมีคนบอกว่า กู่บงการเทพที่แท้จริงสามารถควบคุมได้แม้แต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง กัดกร่อนได้แม้แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์
ฉินจิ่วเกอเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว มิน่าเล่าระดับฝึกปรือของสี่ประมุขทั้งๆ ที่อยู่เหนือกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดกันหมด
แต่พลังยุทธ์ที่ปลดปล่อยกลับเทียบไม่ได้แม้แต่กลั่นดวงธาตุขั้นห้าเลยด้วยซ้ำ
เฒ่าเสียเยว่เพียงแค่หายตัวไป กู่บงการเทพจึงไม่ได้ดับสูญ
แต่จะยังสร้างความทรมานแก่พวกมันอย่างแสนสาหัส ทั้งยังบั่นทอนพลังชีวิตและกำลังรบของพวกมันอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้พวกมันเลิกคิดที่จะออกไปจากบรรพตสละฟ้าได้เลย หาไม่แล้วย่อมถูกกู่บงการเทพกัดกร่อนวิญญาณจนตกตายอย่างแน่นอน
หนึ่งพันปีก่อน หลังจากที่เฒ่าเสียเยว่หายตัวไป บรรพตสละฟ้าก็กลายเป็นแพะอ้วนในสายตาของขุมอำนาจมากมาย
แปดประมุขจะตีตัวจากไปก็ทำไม่ได้ พละกำลังก็มาถูกจำกัดเอาไว้อีก จึงไม่แปลกที่พวกมันจะคับแค้นจนแทบอกแตกตาย
และผู้ที่สร้างบรรพตสละฟ้าขึ้นมา บางทีอาจเป็นเฒ่าเยว่ก็ได้
แต่ผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องบรรพตสละฟ้าและเผ่าพิสดารที่ไร้นายโดยแท้จริงกลับเป็นแปดประมุขขุนเขา ยืนหยัดปกป้องมานานนับพันปี ไม่ว่าจะต้องผจญอุปสรรคใดก็ยังยืนหยัดไม่ย่อท้อ!
“ที่แท้ข้าก็เข้าใจพวกท่านทั้งสี่ผิดไป เพียงแต่ยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจำต้องกล่าวให้เข้าใจตรงกันครบทุกฝ่าย” ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจเข้าจมูก ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แต่ในเมื่อสี่ประมุขขุนเขาเป็นผู้ซื่อตรงถือคุณธรรมกันขนาดนี้ ก็ควรที่จะรับผิดชอบหน่อยใช่หรือไม่
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมมือกัน มีศัตรูคนเดียวกัน บรรยากาศจึงกลายเป็นผ่อนคลายปรองดองปราศจากซึ่งความตึงเครียดเหมือนเช่นหลายวันที่ผ่านมา
ประมุขหยางถามพลางหัวเราะน้อยๆ “เป็นเรื่องใด? ”
“เมื่อครู่ที่มีคนมาล่อข้าให้ไปยังแอ่งเขาและยืมมือภูติไม้ฆ่าข้าหมกป่าที่แท้เป็นฝีมือเจ้าถูกหรือไม่? ” กระจกครึ่งแผ่นที่กำอยู่ในมือพลันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บ่งบอกว่าอารมณ์ของมันยามนี้กำลังคุกรุ่นได้ที่
ประมุขหยางร้อนรนขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งจะพูดว่าอย่าได้เอาเรื่องในอดีตมาจดจำ มิสู้มาร่วมมือกันดีกว่าหรอกหรือ?”
“ใครว่า ร่วมมือก็ส่วนร่วมมือ หนี้ก็ส่วนหนี้ เมื่อครู่เจ้าพาข้าไปที่แอ่งเขา ทำปู่น้อยคนนี้แทบเอาชีวิตไม่รอด แล้วเจ้ายังคิดว่าเรื่องมันจะจบลงแค่นี้?”
น้ำเสียงของฉินจิ่วเกอพลันดังขึ้นอีกแปดระดับ ตระเตรียมแตกหักได้ทุกเมื่อ
สามประมุขที่เหลือเห็นภาพนี้ก็รู้สึกยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นขึ้นมา สีหน้าราวกับจะบอกว่าพวกข้าเห็นจุดจบของเจ้าแล้ว
ตัดสินเอาจากเรื่องยิบย่อยนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ผู้นี้หาใช่สุภาพชนผู้ใจกว้างที่ไหนไม่
เกิดใครโชคร้ายไปตอแยมันเข้า จุดจบยังยิ่งน่าสังเวชกว่าไปตอแยผู้ฝึกวิชาปีศาจเสียอีก ไม่ต่างกับการเอาไม้ไปแหย่รังแตน
ความชั่วยังมีความดีปะปนอยู่สามส่วน ความดีกลับมีความชั่วปะปนอยู่เจ็ดส่วน สวมทับไว้ด้วยความหน้าเงินไร้ยางอายที่เทียบกับพวกเด็กนรกแล้วยังเลวร้ายกว่า
ประมุขหยางนับว่าเป็นคนหน้าบาง จึงเอ่ยถามอย่างละอายอยู่บ้าง “แล้วเจ้าจะเอายังไง? ”
ฉินจิ่วเกอรีบใช้นิ้วชี้มาที่หางตาข้างซ้ายของตัวเอง น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเหมือนถูกย่ำยี “เจ้าก็ดูเอาสิ ดู! ”
นัยน์ตาแปดคู่ถ่างกว้างจนแทบถลน ถ่างกว้างจนปากก็เผลออ้ากว้างตามไปด้วย แต่ไม่ว่าจะตั้งใจดูขนาดไหน สี่ประมุขก็คล้ายไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
“เสียโฉม ข้าเสียโฉมหมดแล้ว! ” ฉินจิ่วเกอร่ำร้องปริ่มจะขาดใจ สู้เอามีดมาแทงมันยังทำใจง่ายกว่า ใบหน้าที่เคยขาวผ่องเป็นยองใยบัดนี้กลับปรากฏเมล็ดงาสามสี่เม็ดขึ้นมาแทน เป็นเจ้าเจ้าจะรับได้หรือไม่
“เพ้ย” ประมุขหลิวโบกมือไปมา “ยามออกท่องยุทธภพ ใครบ้างไม่โดนดาบ แผลแค่นั้นเจ้าเรียกเสียโฉม? ”
ประมุขหยางเองก็ผงกศีรษะอย่างเห็นพ้อง กัดฟันกล่าว “คนหนุ่มคนสาวอย่างเจ้าต้องหัดเปิดใจให้กว้างเข้าไว้ ไม่เชื่อก็เจ้าวัวแก่นี่ รอยแผลเป็นบนหน้ามันยาวเหยียดเสียขนาดนั้น ผ่านมาพันปี ยังไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยไม่ใช่หรือไง? ”
“ถูกๆๆ ” ประมุขจูและประมุขโหวต่างตอบรับเป็นเสียงเดียว ทั้งยังใช้สายตาประสงค์ร้ายมองไปทางใบหน้าของประมุขหลิวอีกด้วย
จู่ๆ ประมุขหลิวก็เริ่มขาสั่นขึ้นมา ใจคล้ายตกลงสู่โพรงน้ำแข็ง
“มันจะเทียบข้าได้อย่างไร แก่ปูนนี้ยังไม่เจอคนรู้ใจเลยด้วยซ้ำ” ทอดตามองประมุขหลิวด้วยแววตาหยามเหยียด ความต่างชั้นระหว่างพวกมันนั้นไพศาลจนเกินไป
ในใจของฉินจิ่วเกอเดือดดาลยิ่ง ปู่น้อยข้าหน้าสวยฟันขาว คนงดงามดั่งหยกสลักปานนี้
ไล่ตั้งแต่สตรีรอบจัดลงมาจนถึงดรุณีวัยแรกแย้มอย่าหวังว่าจะรอดมือข้า เป็นยอดหัวหมู่ทะลวงฟันที่สะท้านทั่วทิศ
ดีที่สุดย่อมต้องเป็นสาวคณิกาโดยไม่ต้องควักกระเป๋า
นอกจากซ่งเล่อและศิษย์น้องรอง เห็นทีจะมีแต่ตนเองที่มีทุนรอนพอจะทำให้สาวเล็กสาวใหญ่ต้องลุ่มหลงจนโงหัวกันไม่ขึ้นไปเสียทุกราย
เรื่องประดานี้ ฉินจิ่วเกอได้แต่เพ้อฝันอยู่ในใจ ยังไม่ได้ทำออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
หากผู้อาวุโสใหญ่ล่วงรู้ว่าในพรรคหลิงเซียวถึงกับมีตัวต่ำช้าเจ้าสำราญเช่นนี้อาละวาด คงต้องใช้ส้นรองเท้าตบอาวุโสสองจนตายเป็นการขอบคุณสวรรค์
มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ควรเรียกว่าแบกรับภารกิจหนักหน่วงต้านทางไกล
แต่ตอนนี้ถึงกับเสียโฉมกลางทาง แล้วจะให้ฉินจิ่วเกอทนไหวได้อีกหรือ?
ถูกคนใช้สายตาประสงค์ร้ายมองมาอย่างไม่ว่างเว้น ประมุขหลิวก็อดตั่วสั่นเยือกไม่ได้ หากจู่ๆ มีต้นไม้โน้มกิ่งลงมาให้ มันย่อมต้องจับพวกสารเลวตรงหน้าไปแขวนคอกันเสียให้หมด
“ที่จริงนั่นไม่อาจนับว่าเสียโฉม รอยแผลเป็นนี้ ดูไปเหมือนหยาดน้ำตาทิพย์ เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ รอยแผลเป็นนี้ยิ่งช่วยขับเน้นความงามของเจ้าให้สูงส่งขึ้นไป สูงส่งจนแม้แต่เทวดาบนสวรรค์ยังต้องพิโรธ แต่ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะอันจำเพาะของเจ้าให้โดดเด่นขึ้นมา”
โชคดีที่กลั่นดวงธาตุไม่จำเป็นต้องดื่มต้องกิน ในกระเพาะของประมุขหยางจึงไม่มีอะไรให้ขย้อนออกมา จะมีก็แค่รู้สึกคลื่นเหียนเป็นพักๆ แต่ก็พยายามฝืนสะกดไว้
“จริงหรือ? ” ฉินจิ่วเกอไม่กล้าเชื่อ ยกมือทาบใบหน้าซีกซ้ายของตัวเอง ที่จริงคำหยาดน้ำตาทิพย์นี้ฟังดูก็ไม่เลวเหมือนกัน
“จริงแท้แน่นอน” สี่ประมุขเอ่ยปากเป็นเสียงเดียว ราวกับจะเฉลิมฉลองว่าทวีปฉงหลิงได้ถือกำเนิดบุรุษรูปงามเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว
ฉินจิ่วเกอเองก็ใจกว้าง “เอาเถอะ งั้นก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ารักษาให้ข้าแล้ว”
“เยี่ยม! ” ประมุขหยางชูนิ้วแม่โป้ง
“แต่ค่าเสียหายทางจิตใจยังคงต้องจ่าย” ฉินจิ่วเกอพลันเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเคร่งขรึม “ยามที่ภูติไม้ตนนั้นแยกเขี้ยวกางเล็บทำเอาข้าตกใจแทบตายแล้ว”
สี่ประมุขห่อปาก หากขู่เจ้าตายได้จริงๆ ก็ถือเป็นบุญวาสนาของทั้งทวีปฉงหลิงแล้ว น่าเสียดายชะมัด! ดูเหมือนเหล่าเทียนเหย (สวรรค์) จะไม่อยากให้ทวีปฉงหลิงได้ดี นอกจากจะรอดตายมาได้ ยังมีวาสนาควบผนึกหลิงไถจนบรรลุขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลอีก
“ข้าไม่มีเงิน” ประมุขหยางเอ่ยเสียงอ่อน ยกมือตบไปตามตัว
มันไม่ได้โกหก
แปดประมุขสละฟ้า เพื่อความอยู่รอดและศักดิ์ศรีของเผ่าพิสดาร เพื่อเปิดมิติที่เผ่าพิสดารสามารถดำรงอยู่รอด
พวกมันจึงต้องทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงใจให้กับหน้าที่ของพวกมัน แม้กระทั่งชีวิต
“ไม่มีเงิน? ” พูดออกไปใครจะเชื่อ ชนชั้นกลั่นดวงธาตุถึงกับเงินขาดมือ
ประมุขหยางส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มี”
ฉินจิ่วเกอถอยให้ก่อนหนึ่งก้าว “งั้นก็เขียนใบแจ้งหนี้มา หากยังบอกปัดข้าอีกละก็ ข้าจะแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับเฒ่าเสียเยว่เดี๋ยวนี้ ศิลาวิญญาณระดับต่ำสิบล้านก้อน หากกล้าขาดตกไปแม้แต่ครึ่งซีก ข้าจะกัดเจ้าสามเขี้ยว! ”
พูดถึงเรื่องเงิน สามประมุขหลิวจูโหวจำต้องล่าถอยเป็นพัลวัน ปล่อยให้ประมุขหยางยืนรับหน้าอยู่เพียงลำพัง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งสำคัญลำดับแรกก็คือการกำจัดเฒ่าเสียเยว่ ส่วนเรื่องศิลาวิญญาณ เจ้าเซ็นสัญญาไปก่อนแล้วกัน
ถูกบีบเข้าตาจน ประมุขหยางได้แต่ก้มหน้าเขียนใบแจ้งหนี้ไปพลางน้ำตาตกในไปพลาง ถึงอย่างไรหนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เอาชีวิตให้รอดก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
หลังทะลวงพิสุทธิ์ไพศาลได้สำเร็จ ฉินจิ่วเกอก็พำนักอยู่ในบรรพตสละฟ้าอย่างสงบสุขมาเป็นเวลาสิบวัน
ในช่วงนี้ เฒ่าเสียเยว่ไม่ได้ออกมามอบหมายหน้าที่หรือสั่งการใดๆ ทั้งฉินจิ่วเกอและสี่ประมุขต่างก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่แท้ไปอยู่ไหนกันแน่
หลังจากที่มาถึงบรรพตสละฟ้า เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน เฒ่าเสียเยว่ที่เก็บตัวเงียบมาโดยตลอดท้ายที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว “ศิษย์น้อย มาพบข้า! ”
ตอนนี้เอง สี่ประมุขถึงค่อยตระหนักว่าที่แท้เฒ่าเสียเยว่ก็ไปอยู่ที่บ่อเก็บน้ำที่เคยขุดไว้อย่างลับๆ สมัยก่อตั้งบรรพตสละฟ้า เชื่อมโยงทะลวงถึงชีพจรพื้นภูมิใต้ดิน ฉินจิ่วเกอยามนี้กำลังยืนอยู่บนปากหลุม สีหน้าสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ ไม่ได้รีบร้อนเข้าไป
ปากทางเข้าเป็นทางดิ่ง มีตะไคร่ชื้นแฉะจับตัวหนาแผ่ลึกลงไปไกลนับพันเมตร
เฒ่าเสียเยว่ปิดด่านอยู่ด้านใน ไม่ทราบเหตุการณ์เป็นเช่นไรแน่
“เจ้าตั้งใจจะลงไป? ” ประมุขหยางเอ่ยถาม
ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจลึก สะกดความประหม่ากังวลในใจ “ขืนไม่ลง มันก็คงขึ้นมาหาข้า”
“มันเรียกเจ้าลงไปเช่นนี้ย่อมไม่มีเจตนาดี” ทั้งสี่ประมุขล้วนรับทราบ ที่เฒ่าเสียเยว่เรียกฉินจิ่วเกอทั้งที่ตัวเองกำลังปิดด่านรักษาบาดแผลอยู่เช่นนี้ ไม่ต่างจากหนูคิดใช้ไก่เซ่นไหว้เจ้า ย่อมไม่มีเจตนาดี
“ข้าจะลงไปดูก่อน มันเรียกข้าเช่นนี้ย่อมต้องมีจุดหมายบางอย่าง แปลว่าข้ายังปลอดภัยในระยะหนึ่ง”
อะไรที่ต้องมาสุดท้ายก็มา ฉินจิ่วเกอประเมินถึงสถานการณ์ในวันนี้ในความฝันมาไม่รู้กี่ครั้ง ในใจเกิดเพลิงที่ยากบ่งบรรยายขึ้นมา
“ถึงยามที่จำเป็น ให้เจ้าทำลายยันต์หยกอันนี้ซะ แล้วพวกเราทั้งสี่จะเข้าไปช่วยเจ้า บัญชีหนี้ระหว่างพวกเรากับมัน คาดว่าคงจะได้ชำระกันในวันนี้แล้ว”
“ตกลง” ฉินจิ่วเกอรับเอายันต์หยกมาเก็บไว้ จากนั้นเริ่มปีนไต่กำแพงโบราณ ยันเท้าเข้ากับแผ่นตะไคร่หนาชื้นเหล่านั้น เดือดร้อนเหล่าแมลงเล็กแมลงน้อยที่ขุดหลุมสร้างรังอยู่แถวนั้นให้หนีตายกันเสียให้วุ่น
ยิ่งไต่ลงไป อากาศก็ยิ่งเย็นเสียดกระดูก กระทั่งแทบแข็งค้างเป็นน้ำแข็ง ข้างล่างคือหลุมมืดสีดำสนิท เหมือนหลุมดำที่ดูดกลืนเส้นแสงทั้งปวง ยามเงยหน้าที่มีเหงื่อเกาะพรมเต็มหน้าผากขึ้นดู พบว่าเหนือศีรษะมองไม่เห็นแสงตะวันใดๆ อีก มีแต่เงามัวๆ กระดำกระด่างอยู่ประปรายเท่านั้น
ตะไคร่น้ำชื้นแฉะหายไปแล้ว ที่สัมผัสได้ตรงฝ่ามือมีเพียงศิลาแห้งแข็ง ไม่ต่างจากข้ามแม่น้ำมรณะ อุณหภูมิรอบด้านจึงเริ่มไต่ระดับขึ้น
ราวครึ่งชั่วยามให้หลัง บนปากหลุมโบราณ สี่ประมุขขุนเขาเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่น ท่าทางกระสับกระส่ายร้อนรน
ลองแผ่สัมผัสเทวะออกดู ยังขยายไปได้ไม่ถึงร้อยเมตรก็ถูกความโกลาหลอันดำมืดเป่าสลายไปเสียก่อน
เท้าเหยียบลงบนหินผาอันแข็งแกร่ง ก็มาถึงก้นบึ้งบ่อน้ำโบราณเป็นที่เรียบร้อย ในอากาศมีไอปฐพีอันเข้มข้นที่ไม่ผ่านการชะล้างมานานปี มีแต่ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุที่กล้าดูดซับเข้าไปโดยไม่กลั่นกรองเสียก่อน
สถานที่นี้ เป็นจุดตั้งต้นของเส้นชีพจรปฐพีใต้พื้นดิน ไหลเวียนด้วยไอมังกร ขุนเขาและสายน้ำ บ่มเพาะธาตุแห่งสี่ทะเล
หากได้ฝึกปรืออยู่ที่นี่ ขอเพียงสามารถย่อยไอปฐพีอันเหนียวข้นให้เจือจาง ย่อมรุดหน้าไปไกลโยชน์ เป็นเสมือนขุมทรัพย์แห่งการฝึกปรือ
แต่เฒ่าเสียเยว่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
อาการบาดเจ็บของมันย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก โดยเฉพาะหลังจากที่มันขับเคลื่อนพลังกฎเกณฑ์เพื่อข่มขู่สี่ประมุขในตอนนั้น สังขารของมันก็เริ่มแสดงอาการย่ำแย่หนักข้อขึ้นไปอีก
หากไม่ใช่เพราะอาศัยสังขารของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ผิวหนังของมันคงได้กลายเป็นซากเน่าไปนานแล้ว
ตอนนี้ มันจึงรอต่อไปไม่ได้แล้ว
หากยังไม่มีร่างมาเป็นภาชนะอีกละก็ แกนวิญญาณที่ถูกเจ็ดตะปูสะกดวิญญาณตอกตรึงมานานนับพันปีก็เข้าข่ายว่าจะแตกดับไปทั้งอย่างนั้น
เวลาหนึ่งพันปียาวนานพอที่จะเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไร ต่อให้เป็นชนชั้นกฎสรรพสิ่งเอง ก็ยังไม่อาจรับมือกับบาดแผลที่ผ่านกาลเวลาและมิตินี้ได้
เฒ่าเสียเยว่เตรียมใจที่จะเสี่ยง ต่อให้เจ้าเด็กนั่นจะไม่ได้ทะลวงสู่พิสุทธิ์ไพศาล มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก พลังที่มันสามารถใช้การได้ในตอนนี้มีเพียงหนึ่งในสิบส่วนของยามสมบูรณ์พร้อมเท่านั้น ทั้งยังไม่อาจใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ได้
แต่ถ้าต้องใช้จัดการกับมัน เท่านี้ก็ถือว่าเกินพอ
ฉินจิ่วเกอมาเพียงลำพัง นับแต่ที่ลงจากปากหลุม สีหน้าของมันก็คืนสู่สภาพปกติไปนานแล้ว เพียงแต่อาจดูซีดเซียวจากการถาโถมของไอปฐพีอยู่บ้าง
“มาแล้วหรือ รีบมาทางนี้เร็ว!” น้ำเสียงนั้นไม่ปกปิดความกระหายแทบฉีกหัวใจเลยสักนิดเดียว
ฉินจิ่วเกอผ่อนกระแสพลังภายในร่าง จากนั้นก้าวเล็กๆ ไปข้างหน้า เปาะ แปะ เปาะ แปะ จนมาถึงหน้าเฒ่าเสียเยว่ในที่สุด
คนทั้งสองห่างกันเพียงสามฉื่อเท่านั้น ความดำมืดใต้ผิวดินอันเข้มข้นกลับกั้นขวางพวกมันไว้ เสมือนหุบเหวที่แบ่งแยกฟ้าดิน
“เจ้าบรรลุขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว? ” เฒ่าเสียเยว่ประหลาดใจเป็นล้นพ้น เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ทะลวงจากปราณสุริยันขั้นสูงสุดสู่พิสุทธิ์ไพศาล นี่มันพรสวรรค์ระดับไหนกัน
พูดไปแล้วก็ถือว่าเป็นเพราะโชคช่วยส่วนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าภูติไม้ตนนั้นต้องการจะครอบครองกายเนื้อของฉินจิ่วเกอ เลยฝืนเปิดโลกแห่งจิตขึ้นมาละก็ หากชายหนุ่มต้องการจะติดทำเนียบยอดฝีมือ อย่างน้อยยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี
“ยังจะไม่ใช่เพราะเคล็ดหมื่นมารทมิฬของเจ้าหรอกหรือ อิทธิฤทธิ์ราวปาฏิหาริย์โดยแท้” ฉินจิ่วเกอกำหมัด ตั้งท่าเตรียมรับมือเฒ่าเสียเยว่เล่นตุกติก ขณะเดียวกันก็ลอบประเมินพละกำลังในขณะนี้ของอีกฝ่ายไปด้วย
เฒ่าเสียเยว่ไม่ได้ติดใจสงสัย ที่พูดมาก็ถูก ผู้ฝึกวิชาปีศาจย่อมรุดหน้าเร็วไวเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่มันไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นอายฆ่าฟันที่เกิดจากการสังหารคนจำนวนมหาศาลได้จากตัวเจ้าเด็กน้อยนี้เลย
แต่ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว ชิงร่าง มันต้องชิงร่างไอ้เด็กนี่มาให้ได้!