เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 111 คนคำนึงภูติหวนไห้
โครงกระดูกเห็นฉินจิ่วเกอฝึกฝนในเส้นทางที่ถูกต้อง ในใจต้องลอบแตกตื่น ยิ่งต้องการกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง
เคล็ดกำลังภายในระดับเจตจำนงฟ้า ล้วนเป็นขอบเขตที่ส่งมอบต่อผู้สำเร็จดวงธาตุทองคำ ในสิบยอดยุทธ์ดวงธาตุทองคำ มีแปดคนที่ไม่สามารถฝึกปรือได้
เนื่องเพราะการฝึกปรือนั้น ต้องอาศัยทั้งพรสวรรค์ วาสนา รวมทั้งปัญญาหยั่งรู้ ปัจจัยอันเป็นนามธรรม เลือนรางพร่ามัว หากทว่ากลับคงอยู่อย่างจริงแท้
คิดไม่ถึงว่า ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งได้รับการส่งมอบคัมภีร์หมื่นมารทมิฬ กลับสามารถก้าวหน้าได้ถึงระดับนี้ ความมุ่งมั่นของมันนับว่าไม่ธรรมดา
นอกจากนี้ ยามที่โครงกระดูกส่งมอบเคล็ดวิชาแก่ฉินจิ่วเกอ มันยังสามารถสัมผัสออกว่าในร่างของชายหนุ่ม บรรจุไว้ด้วยเคล็ดทักษะยุทธ์ระดับเจตจำนงฟ้าอีกหนึ่งชุด
ครบสมบูรณ์ทั้งวาสนาและความมุ่งมั่น นี่ทำให้โครงกระดูกอดหวั่นไหวใจมิได้
ฝึกไปเถอะ จงทุ่มเทฝึกปรือเข้าไป เมื่อใดที่สุกงอม เจ้าก็จะกลายมาเป็นของเซ่นไหว้ให้แก่ข้า
……….
มาอย่างเงียบเชียบ ไปอย่างเงียบงัน
ผู้ลึกลับกวาดสายตามองรอบหนึ่ง หญ้าทุกต้นไม้ทุกท่อนบนทวีปฉงหลิง ล้วนประทับอยู่ในความทรงจำของมันอย่างลึกล้ำ
ผู้ลึกลับสืบเสาะค้นหา มันลัดข้ามมหาสมุทรไร้ขอบเขต เข้ามาถึงตัวแผ่นดินใหญ่ บรรลุถึงเขตแดนเผ่ามนุษย์ สุดท้ายเหยียบย่างลงบนป่าปีศาจสวรรค์ที่ไม่คู่ควรให้ชายตามอง
……………………………….
โครงกระดูกเองก็เริ่มเข้าสู่ภวังค์การกักด่านฝึกตนอันลึกล้ำ คิดทลายพันธนาการตะปูสะกดวิญญาณบนร่างออก นอกจากฉินจิ่วเกอสามารถฝึกปรือคัมภีร์หมื่นมารทมิฬขั้นต้นได้สำเร็จ มิเช่นนั้น มันยังคงต้องอาศัยกฎเกณฑ์ของตัวมันเองในการทลายออกไป
ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่า ยามนี้ ผู้ลึกลับมาถึงบึงมารมรณา เพียงพริบตาก็บรรลุยังก้นบึ้งหมื่นเมตรเบื้องล่าง
มันมองดูฉินจิ่วเกอ มองดูโครงกระดูกแต่ไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว จากนั้นพึมพำต่อตนเอง ทว่าล้วนไม่มีใครสามารถได้ยินมัน
“สมควรตาย มันรับเอาเคล็ดวิชามาแล้วถึงครึ่งเล่ม ตอนนี้คิดหยุดยั้งล้วนไม่ทันการแล้ว แต่แบบนี้ได้ก็ดี มันฝึกวิชานี้กลับสามารถใช้เป็นที่ซ่อนอำพรางความลับบนตัวเอาไว้ได้ นับเป็นชะตาวาสนากำหนด แม้แต่ข้าเองยังคาดคิดไม่ถึง”
“ฮ่าฮ่า นี่คือเคล็ดวิชากำลังภายในเซียนเทียน คลอดออกมาจากครรภ์แห่งมหาวิถีเต๋า ที่จริงหากมอบให้เจ้าฝึกปรือแต่แรก ไม่แน่ว่า “มัน” อาจสัมผัสรับรู้ ลอบลงมือสังหารเจ้าอีก ที่จริงเคล็ดวิชาเซียนเทียนสามารถหลอมรวมผสานจักรวาล หากใช้เคล็ดวิชามารมั่วซั่วนี่เป็นเกราะกำบังไว้ กลับลดทอนปัญหาลงได้บ้าง”
เคล็ดวิชาขอบเขตเจตจำนงฟ้า ในทวีปฉงหลิงนี้ ล้วนเป็นแรงขับต่อยอดฝีมือกฎสรรพสิ่งขั้นสูงสุด มีแต่ตกทอดมาจากยุคบรรพกาลเท่านั้น ถูกจัดประเภทเป็นชั้นข้อมูลลับสุดยอดของสามเผ่ามนุษย์มารอสูร ทว่ายามที่ผู้ลึกลับเอ่ยคำถึงเคล็ดเจตจำนงฟ้า กลับเรียกหามันเหมือนเป็นเศษขยะที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องน่ารังเกียจยังไงยังงั้น
“หืม? ผู้ฝึกวิชาปีศาจ? เคล็ดวิชาเซียนเทียน ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด แม้แต่ข้ายังไม่มีคุณสมบัติล่วงรู้หยั่งทราบได้ หากผสานเข้ากับวิถีการกลืนกินแห่งวิชาปีศาจ ใช้การสู้รบหล่อเลี้ยงการสู้รบ อาจสามารถชดเชยข้อด้อยของการเลื่อนระดับการฝึกปรืออันเชื่องช้าของวิชาเซียนเทียนได้บ้าง”
ขณะกล่าววาจา ผู้ลึกลับล้วงเอาประกายแสงสว่างมลังเมลืองออกมา ส่งมอบเคล็ดกำลังภายในเซียนเทียนที่มันว่าเข้าสู่ห้วงสมองของฉินจิ่วเกอ
ห้วงมิติคล้ายปรากฏระลอกริ้วพลิ้วไหวอันเจือจางยิ่ง แผ่วเบายิ่งจนแทบไม่อาจสังเกตออกได้ขึ้นมาชั่วครู่ คล้ายกับว่า “มัน” กำลังสอดส่องมองดูอยู่
“ตอนนี้สองเคล็ดวิชาผสมผสาน หนุนเสริมกดข่มกันและกัน ประเสริฐเลิศล้ำ!อาศัยเจ้าที่แผ่ท่วมฟ้าหากไม่รู้จักคุณค่าของมนุษย์ว่าสูงส่งเพียงไหน ในทำนองเดียวกันจึงไม่อาจจับได้ถึงการดำรงคงอยู่ของเขา ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ฉินจิ่วเกอที่กำลังคร่ำเคร่งฝึกวิชาหมื่นมารทมิฬกลับไม่รู้สึกถึงอะไรผิดแปลกไปเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ขณะที่ตนเองกำลังฝึกปรือ จู่ๆ พลันค้นพบมรรคาเต๋าอันลึกลับขึ้นมาเส้นทางหนึ่งโดยไม่คาดหมาย
น้ำมาคลองก่อตั้ง ปราศจากการปะทะหักล้าง สอดประสานคล้อยตามอย่างเป็นธรรมชาติกระไรปานนั้น
เมื่อข้ามผ่านขั้นตอนสำคัญของเคล็ดหมื่นมารทมิฬมาแล้ว ฉินจิ่วเกอก็เข้าสู่มรรคาเต๋าลึกลับที่ผุดโผล่ขึ้นมาใหม่ นั่นเป็นเคล็ดวิชาอันยิ่งใหญ่ดั่งจักรวาล!
มวลดารา ทางช้างเผือก ภายในจักรวาลล้วนเป็นดั่งธุลี ตะวันและจันทรา เวลาสี่ฤดู ช่างเล็กจ้อยจนไม่อาจมองเห็น
เมื่อเห็นฉินจิ่วเกอสามารถผสานหลอมรวมสองเคล็ดวิชาเข้าหากันได้อย่างราบรื่น ผู้ลึกลับปัดมือไร้เรื่องราวก่อนปรายตามองไปยังโครงกระดูกที่เข้าภวังค์ลึกล้ำกักตน “บุญคุณก่อเกิดจากเจตนาร้าย เจตนาร้ายก่อเกิดบุญคุณ เด็กน้อยเจ้าคงได้แต่ต้องระมัดระวังให้มากไว้ หากตกตายไปอีก ข้าเองก็ไม่อาจช่วยเหลืออันใดได้”
จากนั้น บึงมารมรณากลับคืนสู่สภาพรกร้างโดดเดี่ยว หลงเหลือเพียงหนึ่งมนุษย์หนึ่งโครงกระดูก ผู้ลึกลับปรากฏกายอีกครั้งเหนือยอดนภา ท่องไปในจักรวาลอันเวิ้งว้าง
ครืนครืน!
กงล้อสายฟ้ามายาแปลงลักษณ์สีทองฟาดถล่มเข้าใส่นับหมื่นล้านสาย ทุกเส้นสายล้วนใหญ่โตเจิดจ้าดั่งตะวันจันทรา เมื่อทอดสายตามองดู ทั่วทั้งจักรวาลล้วนอยู่ภายใต้รอยกงล้อ ห้วงมิติล่มถล่ม ไม่อาจต้านทานอานุภาพกงล้อแห่งสายฟ้าไว้ได้
“แน่จริงก็เผยร่างออกมาสิ!” ผู้ลึกลับสะบัดฝ่ามือ คิดเรียกสายอสนีบาตม่วงออกมาฟาดทำลายกงล้อให้เป็นผุยผง ทว่า ใจกลางฝ่ามือเนิ่นนานกลับไม่เกิดความเคลื่อนไหว มันพลันคิดขึ้นได้ว่าตนเองส่งมอบคัมภีร์เซียนเทียนแก่ฉินจิ่วเกอไปแล้ว สายฟ้าสีม่วงแน่นอนว่าย่อมไม่อยู่ในความควบคุมของมันอีกต่อไป
ธวัชผืนใหญ่พอเพียงครอบคลุมลงทั่วทั้งห้วงจักรวาลปรากฏขึ้นในมือของผู้ลึกลับ “ฝีมือของข้ามีมากหลาย น้อยไปหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร”
ธงทิวผืนใหญ่ร่ายระบำ คล้ายกำลังขับเคลื่อนแผ่นผืนจักรวาลอันกว้างไกล ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ ขับดันครรลองธรรมชาติ สังสารนับพันนับหมื่นถูกม้วนกวาดเข้าสู่ผืนธง วาดออกเป็นลักษณ์ว่างเปล่า จักรวาลอวกาศพลันบังเกิดลมมรสุมปั่นป่วน ขับล้างการมาถึงของอาญาสวรรค์ ปัดเป่าอานุภาพบารมีออกไปจนกระเจิดกระเจิง
ภายในส่วนลึกของจักรวาล แว่วเสียงกระแอมไออันแผ่วเบา เพียงเสียงกระแอมสองครั้ง หากกลับราวกับทั้งจักรวาลกำลังแตกทำลาย “ไท่ซ่างเทียนจุน (สุดเทวาเหนือสวรรค์) หลิงอู่ เมื่อปราศจากซึ่งสายฟ้าสีม่วง มีคุณสมบัติอันใดต่อกรกับข้า!”
“น่าขัน งั้นก็มาทดลองดู!” เมื่อปราศจากค่ายกลหมื่นราชันมารเทียมฟ้า ผู้ลึกลับยืนหยัดทระนงในห้วงจักรวาล สะสมระลอกคลื่นสีดำยืดยาวไร้สิ้นสุด
ผู้ลึกลับสะบัดชายแขนเสื้อคราหนึ่ง หมื่นล้านก้อนมณีเรืองวับวาวพลันปรากฏ หากจ้องมองดูอย่างละเอียด จะพบว่าก้อนระยิบวิบวับเหล่านั้นคือดวงดาวแต่ละดวง ทั้งหมดถูกสลักไว้บนชายแขนเสื้อ เทิดทูนอำนาจบารมีแห่งเทียนจุน
เปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
มังกรสายฟ้าสีทองเรืองอร่ามไม่ทราบว่าพลันผุดโผล่ออกมาจากที่ใด แต่ละตัวล้วนประกอบขึ้นมาจากสายฟ้าสีทองมากมายนับไม่ถ้วน เรียงร้อยออกมาเป็นมังกร พลิกผันมรรคาแห่งผู้ศักดิ์สิทธิ์และสรรพกฎเกณฑ์ของทั้งมวล
“เจ้าคิดว่าจักรวาลนี้ เมื่อเจ้าคิดรังสรรค์ก็รังสรรค์ขึ้นมาได้หรือ?” ผู้ลึกลับตวาดด้วยโทสะ เสียงตวาดดั่งมังกรคำราม ส่งไอพลังม่วงในหงเหมิงยุคเซียนเทียนสายหนึ่งทะลักเข้าสู่ทวีปฉงหลิง
“ตำหนักมังกรอวี้หยูจบสิ้นแล้ว เจ้ายังดื้อด้านไม่เปลี่ยน งั้นก็ตายซะเถอะ!” มังกรวิชชุสีทองพ่นวาจาออกมา ด้วยเจตจำนงสูงสุดแห่งจักรวาล แสงเรืองรองเจิดจ้าสว่างวาบ ยังเข้มข้นบาดตายิ่งกว่าดวงตะวันชั่วนิรันดร์
“ไอม่วงแห่งหงเหมิงเซียนเทียน?” เห็นไอม่วงเหินบินลงสู่ทวีปฉงหลิง ร่วงหล่นลงสู่มหาทวีป สายวิชชุเปลี่ยนทิศทาง สัมผัสถึงสรรพชีวิตในปรโลก
“เจ้าตัดใจได้จริงๆ ? ตอนนี้ยันต์คุ้มชีพทั้งสองของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว ตายซะเถอะ!”
“ข้าพลีชีพสังเวยร่าง รอคอยเจ้าแตกดับ!”
“เจ้าไม่คู่ควร!”
พลังทั้งสองสายไม่เล่นสนุกกับจักรวาลอีก ยิ่งไม่ช่วงชิงกันภายในห้วงมิติ หากแต่อาศัยเจตจำนงสูงสุด ประชันขันแข่งกันที่ไอม่วงเซียนเทียนหงเหมิงที่กำลังร่วงลงสู่ทวีปฉงหลิงแทน
นั่นเป็นการปะทะอันดุเดือดสุดบรรยาย รัศมีพลังที่รั่วไหลออกล้วนสามารถดับลมหายใจเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
พลังทั้งสองขับเคี่ยวไม่แบ่งแยกสูงต่ำ สุดท้ายเส้นสายไอม่วงขนาดเท่าเส้นผมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ผู้ลึกลับและ “มัน” ต่างถือไว้คนละครึ่ง
“ไป!” ผู้ลึกลับสะบัดฝ่ามือคราหนึ่ง ส่งไอม่วงครึ่งเส้นในมือของตนทะลวงเข้าสู่ป่าปีศาจสวรรค์ สรรพชีวิตทั้งหลายในป่าปีศาจล้วนได้รับคุณูปการมหาศาล ปราณสุริยันกลายเป็นพิสุทธิ์ไพศาล พิสุทธิ์ไพศาลกลายเป็นกลั่นดวงธาตุ สมบัติวิเศษนานัปการต่างแก่งแย่งกันออกดอกผล โอสถสมุนไพรเกลื่อนกล่นดาษดา
เงามายาสีทองลอยค้างกลางเก้าสวรรค์ ตวัดส่งไอม่วงหงเหมิงเซียนเทียนในที่ไม่ไกลจากป่าปีศาจสวรรค์เช่นกัน
ไอม่วงเซียนเทียนหงเหมิงผ่านทะลุป่าปีศาจสวรรค์ ข้ามผ่านเมืองซวนอู่ ร่วงลงสู่ภายในพรรคหลิงเซียว จากนั้นก็มองไม่เห็นอีก
ส่วนผู้ลึกลับ ใช้กลยุทธ์ไร้เสียงเหนือกว่ามีเสียง ฉวยโอกาสแห่งความอึกทึกครึกโครม หายเข้าสู่ห้วงจักรวาลไร้ร่องรอย
มายาสีทองหายไป ไร้เบาะแสให้สืบเสาะติดตาม หลงเหลือเพียงรอยกรีดแยกของจักรวาลเวิ้งว้างที่ไม่อาจลบเลือน แยกขยายไปทั่วสี่ทิศ ชั่วนิรันดร์ไม่อาจจางหาย
“ไท่ซ่างเทียนจุนหลิงอู่ ครั้งหน้า เจ้าไม่โชคดีเช่นนี้แน่!”
ครืนครืน! สิบมังกรวิชชุเปี่ยมพลานุภาพสลายหาย จักรวาลกลับคืนสู่ความเงียบสงัดงัน ไร้สรรพสำเนียงใด
ท่านเชื่อเรื่องชะตาหรือไม่? ฉินจิ่วเกอไม่เชื่อ แต่ก็เชื่อ
การทำนายชะตา? ชะตามนุษย์ยิ่งทำนายยิ่งบางเบา หากทำนายถูกขึ้นมา ในใจยิ่งไม่ยินดี ตลอดชั่วชีวิตยิ่งไม่ต่างจากการเดินทางที่ถูกขีดวาดวางแผนมาอย่างดี ใครเล่าจะชอบ
แต่ถ้าหากทำนายไม่ถูก ยิ่งมีแต่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยผลได้ผลเสีย ต่อต้านขบถต่อวิถีทางแห่งธรรมชาติ
ดังนั้นฉินจิ่วเกอไม่เคยดูดวง ทั้งไม่กล้าเชื่อดวง มันดำรงชีวิตด้วยตนเอง มิใช่จากปากของผู้อื่น มันมีวิจารณญาณและการตัดสินดีเลวของมันเอง มิใช่พวกที่พอเปิดตัวก็ร้องร่ำว่าออกมาช่วยใต้หล้าช่วยชาวประชาบลาบลาบลาเทือกนั้น
นี่คือคุณลักษณะที่ขัดแย้ง มีชั่วร้ายมีเจิดจ้า นี่จึงเป็นมนุษย์ที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง
“คงมิใช่ว่า ข้ามันตัวร้ายโดยกำเนิดหรอกนะ?” ฉินจิ่วเกอครุ่นคิดคำนึง พรสวรรค์ทางการฝึกตนของมันเองก็งั้นๆ ไฉนพอมาเลือกฝึกปรือวิชาปีศาจ ดันกลับกลายเป็นก้าวหน้าราบรื่นไร้อุปสรรคปานนี้ ไร้คอขวดไร้ข้อติดขัดใดๆ
เคล็ดหมื่นมารทมิฬโคจรหมุนวนในร่างสามพันรอบใหญ่ ถือเป็นขั้นแรกค้นพบวิถี เป็นการเหยียบย่างเข้าสู่วิถีที่ถูกต้องจริงๆ ฉินจิ่วเกอไม่ยินดี มันคิดร่ำไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ข้าเป็นคนดีจะตาย สมควรต่อต้านมัน ไม่ใช่เข้าร่วมสิ
แล้วไหงยามฝึกวิชาปีศาจ ช่างไม่ต่างจากปลากระดี่ได้น้ำ ช่างคาดคิดไม่ถึงจริงๆ
ในใจของฉินจิ่วเกอยังคงเหยียดหยามวิถีแห่งปีศาจ ดังนั้นมันไม่สนใจเคล็ดหมื่นมารทมิฬอันใด หากแต่เริ่มก้าวเข้าสู่มหามรรคาที่บังเกิดขึ้นภายในกายาของมันแทน
ในโลกแห่งนั้น คือโลกฝันมายาอันสมบูรณ์หากว่างเปล่า ล้วนฉาบทาด้วยสีม่วงเรืองรอง คล้ายถักทอรังสรรค์ขึ้นมาจากเมฆาม่วงซ้อนทับเป็นชั้นๆ
ภายในนั้น กอปรไปด้วยทำลายล้างและก่อกำเนิด มีเหลี่ยมกลมมีเล็กใหญ่ รวมไว้ซึ่งขีดสุดของทุกสิ่งสรรพ ประนีประนอมสอดคล้องกับธรรมชาติแห่งเซียนเทียน
เมื่อแหวกผ่าม่านเมฆม่วงออกมา ปรากฏตัวอักษรขนาดมหึมา สถิตอยู่ในห้วงสติสมาธิของโลกแห่งนั้น ใหญ่โตจนสุดจินตนาการได้
กล่าวได้ว่า สองตาของฉินจิ่วเกอยังเพียงสามารถมองเห็นแค่เส้นขีดเดียวของตัวอักษรนั้น ประดุจดั่งแลมองยอดภูเขาน้ำแข็งกระนั้น
โลกแห่งจิตสมาธิ ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ข้อจำกัดใดๆ
ฉินจิ่วเกอกระโดดขึ้นไปบนตัวอักษรใหญ่โตหลายตัวนั้น เหยียบย่ำลงบนตัวอักขระหยกเรืองแสงโปร่งใส เดินไปตามลำดับเส้นของพู่กัน เริ่มต้นสัมผัสถึงเนื้อความเหล่านั้น
ทุกๆ ย่างก้าว ปรากฏข้อมูลปริมาณมหาศาลราวห้วงสมุทรไหลทะลักโถมถั่งเข้าสู่ห้วงสมอง แฝงเร้นเส้นสายไอพลังม่วงที่แทบไม่อาจมองเห็น ชักนำเข้าสู่ตันเถียน
ส่วนใหญ่แล้วเป็นรูปลักษณ์อักขระอันไม่อาจทำความเข้าใจได้ แม้แต่ตัวเนื้อความ ยังเหนือล้ำเกินกว่าขีดจำกัดของไท่หวง
ฉินจิ่วเกอก้าวเดินเข้าสู่วิถีที่ไม่เคยผ่านมาก่อน หลังก้าวเดินผ่านไปหลายตัวอักษร เคล็ดวิชากำลังภายในเล่มหนึ่งก็ผุดโผล่ขึ้นมาในห้วงสมองของมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชื่อของคัมภีร์นั้น นี่มันโชว์ของมากเกินหรือเปล่า
“ขอข้าดูหน่อย ที่แท้เป็นคนเสียสติที่ไหนตั้งชื่อนี้กัน จะยาวไปไหน” ฉินจิ่วเกอในใจตื่นเต้นระทึกราวหมื่นม้าควบทะยาน
ขนาดเคล็ดกำลังภายในชั้นเจตจำนงสวรรค์ เช่นเคล็ดกิเลนทะยานฟ้า หรือหมื่นมารทมิฬ ทั้งหมดก็มีเพียงห้าหกคำ ก็แค่เลือกตั้งชื่อมาชื่อหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เขียนบทความเสียหน่อย จะตั้งไปยาวถึงบ้านไหน
กลับมาที่เคล็ดวิชาในสมองของมันตอนนี้ ที่ปรากฏออกมาคือเคล็ดวิชาอันพิสดารล้ำ นามกรยังยืดยาวหลายสิบตัวอักษร คนตั้งชื่อเคล็ดวิชานี้ต้องไม่ใช่คนสติสมประกอบอย่างแน่แท้ ฉินจิ่วเกอคิดไปก็ตบมืออย่างมั่นใจ
“{เคล็ดวิชาสุวรรณกายาราชันแสงเทพมังกรผลึกม่วงปลอดโปร่งสบายไร้เคลื่อนไหว}” ชายหนุ่มอ่านชื่อเคล็ดวิชาประหลาด ส่วนเนื้อหาข้างในนั้น ดูผ่านๆ ก็รู้ว่าต้องยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์
ฉินจิ่วเกอกางนิ้วนับคำนวณ สุดท้ายต้องลมขึ้น สบถออกมา “ว้อททด่าเฮลลล ตั้งหลายสิบคำ ล้อเล่นอะไรกัน คิดว่าเขียนใส่ผ้ารัดเท้าหรือไง ทั้งยืดยาวทั้งสะใจ ขนาดชื่อว่ายาวเป็นหางว่าวแล้ว เนื้อหายิ่งเกินคนไปอีก!”
ใต้พื้นดินไม่อาจรับรู้วันเวลาได้ ฉินจิ่วเกอเมื่อไม่เข้าใจเคล็ดวิชาชื่อยาวเหยียดนั่น ได้แต่ต้องจำใจกลับไปฝึกปรือเคล็ดหมื่นมารทมิฬต่อ ยิ่งเคล็ดวิชาหมื่นมารทมิฬก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด เคล็ดวิชาภายในของยอดคัมภีร์ชื่อยาวเหยียดนั้นก็ยิ่งคลี่คลายออกมาเองโดยธรรมชาติ สุดท้ายถูกฉินจิ่วเกอขบคิดจนคลี่คลาย
วิถีแห่งการฝึกวิชาปีศาจนับว่าพิลึกพิสดารกว่าวิถีบำเพ็ญเซียนอยู่ไม่น้อย ทั้งซื่อตรงทั้งย้อนทวน สรุปแล้วยังบ้าคลั่งยิ่งกว่าคนบ้าคลั่ง ทว่าฉินจิ่วเกอเองก็ไม่รีบร้อนฟื้นคืนพลังฝีมือ ยังคงตรึงพลังฝีมือไว้ที่หลอมวิญญาณขั้นเก้า
เช่นเดียวกัน สำหรับกับคัมภีร์ลึกลับในสมองเล่มนั้น ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่ได้เอาไปถามกับโครงกระดูกเฒ่า
ทั้งสองต่างรักษาข้อตกลง ฝึกปรือฝีมืออย่างเงียบงัน ต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน