เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 105 ไร้เทียมทานอ้างว้างสุดแสน
แค่เพียงเวลาไม่กี่นาที ค่ายกลป้องกันก็มาถึงขีดจำกัด พลังที่ถาโถมเกินต้านทาน ถล่มเมืองเทียนเอินจนแทบล่มสลาย!
“หยุดมือ!” สี่ประมุขล้วนร้อนรนแล้ว หลิงไถของพวกมันพลันเรืองแสงประดุจดวงดาราทอประกายยามรุ่งอรุณ ที่แท้กลับเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์!
เมื่อใช้ควบคู่กับทักษะยุทธ์ระดับเก้า ล้วนไม่มีใครกล้าดูแคลน
ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นวัตถุวิเศษชั้นยอดในบรรดาศาสตราแห่งยุทธภพ ส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไปมีศาสตราวิญญาณที่แม้แต่กฎสรรพสิ่งก็ยังไม่อาจหามาครอบครอง ยอดฝีมือชั้นสูงมากมายยังไม่อาจหามาได้ นอกจากนี้ยังมีศาสตราเซียน นั่นยิ่งยากเสาะหา นับแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เต่าดำ!”
“อสรพิษคราม!”
“หงส์อัคคี!”
“พยัคฆ์เผ่น!”
สี่ประมุขกองกำลังอัญเชิญสี่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมอานุภาพ เหนือท้องฟ้าพลันปรากฏร่างของสี่สัตว์เทวะศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมา ขนาดตัวยาวนับพันเมตร ใหญ่โตมโหฬารกว่าลำธารขุนเขา
“มาสิมาสิ อย่าหนีนะ!”
ฉินจิ่วเกอยังคงยืนอยู่ในวงกลม ปากร้องตะโกนท้าทาย ไม่เพียงต่ำช้า ยังน่ารังเกียจยิ่งกว่าน่ารังเกียจอีกด้วย กลั่นดวงธาตุนับสิบๆ คนห้อมล้อมวงกลมกลุ้มรุมโจมตีติดต่อกันหลายนาที กระทั่งตันเถียนของพวกมันยังรู้สึกอ่อนระโหย ที่น่าตกใจคือยังไม่อาจทำลายวงกลมที่อาวุโสใหญ่ขีดวาดออกมาส่งๆ ได้
“เจ้าเด็กสารเลว หากมีความสามารถก็ออกมา!”
“ตลกแล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นกลั่นดวงธาตุ กลับมาข่มเหงรังแกปราณสุริยันกระจ้อยร่อยเช่นข้า หน้าไม่อาย!” ฉินจิ่วเกอถูไถใบหน้า พยายามขัดถูใบหน้าให้บางลงให้มากที่สุด
“งั้นพวกเราจะสะกดพลังฝีมือไว้ เจ้าจะออกมาหรือไม่?”
“พวกเจ้าแก่เฒ่าสมองเลอะเลือน มีความสามารถก็เข้ามาให้ได้สิ!” ฉินจิ่วเกอเผชิญหน้ากับยอดคนกลั่นดวงธาตุหลายสิบคน มันหันหลังกลับ ชูก้นไปทางคนทั้งหมดพร้อมตบก้นใส่เป็นการยั่วเย้า
“โฮกกกกกกกก!” สี่สัตว์เทวะสำแดงฤทธิ์ กระทั่งบรรดายอดคนทั้งหลายยังไม่อาจยืนหยัดมั่นคง
ฝูงนอุดจมูกวิ่งหนีราวได้พบเจอเต้าหู้เหม็น ไม่กล้าเข้าใกล้ใจกลางมรสุมอีก ศูนย์กลางลมมรสุมอันเดือดพล่าน แม้แต่กลั่นดวงธาตุขั้นหกยังไม่ปลอดภัย ใครจะอยากเอาชีวิตไปเสี่ยง!
“สวะ” อาวุโสใหญ่สบถออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทีชั่วร้าย
“ฆ่ามันให้ได้! ” สี่ยอดอสูรกระทืบห้วงมิติ ปล่อยเสียงพิโรธสะเทือนสะท้าน อาละวาดสังหารไปทั่วทุกทิศทาง เมืองเทียนเอินกว่าครึ่งล้วนจมอยู่ใต้เงามืด ไม่อาจพบเห็นแสงสีใดๆ อีก
“มังกรล่องเวหา! ”
ตูม! พร้อมกับเสียงกัมปนาท ค่ายกลป้องกันที่สี่กองกำลังร่วมใจกันสร้างขึ้นถึงกับแตกสะบั้นเป็นเสี่ยงๆ
ศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลกลายเป็นอากาศธาตุ ไอวิญญาณระอุร้อนพวยพุ่งไปทั่วทุกบ้านช่องอารามในเมืองเทียนเอิน ผืนดินแตกระแหงเป็นรอยแยกลึกยาวนับพันเมตร ตลอดทั้งเมืองล้วนถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนห้าส่วน เหมือนเครื่องลายครามที่เกิดรอยปริร้าวบนพื้นผิว
ฉินจิ่วเกอปิดตา สีหน้าดื่มด่ำ อาจารย์มันช่างทำอะไรโฉ่งฉ่างโดยแท้ สี่ชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าล้วนไม่อาจต้านรับอยู่ สะเก็ดเพลิงปลิวเฉวียนว่อน จนนัยน์ตาของผู้รับชมแทบมืดบอด
กรรร!
บนหัว มีเสียงกู่ร้องของมังกรดังมา จากนั้น อาวุโสใหญ่ก็เหยียบย่ำบนตัวมังกร เหินบินขึ้นท้องนภา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนทอดตามองสี่อสูรยักษ์ราวกับเป็นมดปลวก
“ตาเฒ่านี่ชักจะเก่งเกินไปหน่อยแล้ว! ” เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายกลับเหนือกว่าตนไปไกลลิบ ตอนนี้เมื่อล่วงเกินอีกฝ่ายเข้าแล้ว นั่นเท่ากับว่าอยู่ดีๆ ก็ดันแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองใช่หรือไม่
“ฆ่ามันให้ได้ ถ้าได้ผลอู๋เลี่ยงมา ยังสามารถบากหน้าไปขอความคุ้มครองจากสมาคมนักปรุงยาได้ ทั้งยังได้ทรัพยากรโอสถจำนวนมาก มีสมาคมนักปรุงยาค้ำหัว แม้แต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งยังไม่กล้าทำอะไรวู่วาม แล้วมันที่เป็นแค่กลั่นดวงธาตุจะไปทำอะไรได้! ” ประมุขพรรคเดชมารเอ่ยปาก ชี้ชวนให้ทั้งสามคนจู่โจมสุดตัว
อาวุโสใหญ่เป็นคนของเผ่ามนุษย์ สามารถจบชีวิตยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ไปสักคน สามขุมกำลังย่อมไม่มีคำว่าลังเล
ตึง!
อาวุโสใหญ่เหยียบเศียรมังกร เหาะตัวขึ้นหลายพันเมตร เหมือนเทพเซียนเหินบินบนท้องนภา ลอยล่องไปตามหมู่มวลพยับเมฆ หางมังกรม้วนใส่หาง เอาชัยพยัคฆ์ดุ กรงเล็บกางตะปบหงส์อัคคี
สี่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจที่ควบกลั่นอยู่ย่อมมหาศาล กระทั่งมิติยังต้องสั่นสะท้าน เป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนสภาพดินฟ้าได้
และก็เป็นพลังมิติสี่สายนี้เองที่กลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุดทั่วไปไม่กล้าสกัดกั้นขัดขวาง แต่อาวุโสใหญ่เพียงสะบัดมือสำแดงวิชายุทธ์ ก็ขัดขวางไว้ได้สองสาย ส่วนเต่าดำอสรพิษครามนั้น ระหว่างโจมตีพลังก็ถูกบั่นทอนลงไปหลายส่วน ก่อนจะถูกอาวุโสใหญ่ใช้มือบดขยี้จนแหลกสลายไป
กิง!
สี่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์กระเด็นออกจากมือของสี่หัวหอก ก่อนจะถูกอาวุโสใหญ่ลบล้างประทับโลหิตออกไป จากนั้นก็เก็บลงสู่แหวนมิติของตัวเอง สูญเสียศาสตราศักดิ์สิทธิ์ สี่คนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่เพียงบาดเจ็บสาหัส ยังพิโรธด้วย
“ขอเตือนไว้เป็นบทเรียนเล็กๆ โลกนี้กว้างไกลสุดไพศาล หาได้เป็นที่ที่กลั่นดวงธาตุขั้นเก้าจะทำตามใจชอบได้” อาวุโสใหญ่ร่อนตัวลงสู่เมืองเทียนเอินอีกครั้ง ถึงจะบอกว่าเป็นเมือง แต่ก็พังพินาศย่อยยับไปแล้วเกินครึ่ง ฝุ่นควันลอยโขมง
ส่วนอาวุโสกลั่นดวงธาตุสิบกว่าคนที่ผนึกกำลังควบคุมค่ายปราการ ตอนนี้ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า จนป่านนี้ก็ยังลุกขึ้นมาไม่ได้ สี่หัวหอกได้แต่นั่งแผ่อยู่กับพื้น ไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่ว กลัวว่าจะถูกอาวุโสใหญ่พรากเอาชีวิตไปอย่างไม่รู้ตัว
“ต่อยตีเสร็จแล้วหรือไม่? ” ในนาวาเรืองปัญญา แว่วเสียงดุจเทพเทวาดังออกมา
จอมทรราชเกลียดชังเผ่ามนุษย์จนหน้าบิดหน้าเบี้ยว พอได้ยินเสียงผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็รีบคุกเข่าคำนับ “เป็นพวกมันทำลายเมืองเทียนเอินโดยไม่สนกฎเกณฑ์ที่ทวีปฉงหลิงบัญญัติไว้ ขอให้อาวุโสออกหน้าลงมือ กำจัดปีศาจร้ายสองตัวนี้ด้วย! ”
“เจ้าสิเป็นปีศาจร้าย ตระกูลเจ้าทั้งตระกูลล้วนเป็นปีศาจร้าย ไม่สิ เจ้าไม่ถูกจัดอยู่ในพวกไหนเลย แต่เป็นพวกลักเพศมากกว่า! ” ฉินจิ่วเกอก่นด่าจนสีหน้าสีตาของอีกฝ่ายช่างน่าดูชมนักเชียว
“ฝีมือไม่เข้าขั้น ตายไปก็ถือว่าสมควร” ดูเหมือนผู้เฒ่าเรืองปัญญาจะขี้คร้านเกินกว่าจะจัดการเรื่องจิ๊บจ๊อยพวกนี้ กล่าวจบ นาวาเรืองปัญญาก็เหินลอยออกจากเมืองเทียนเอินไปในทันที แค่เพียงกะพริบตาก็มองไม่เห็นแม้แต่เงา
ตอนนี้ สภาพจิตใจของเฒ่าเรืองปัญญายังคงยุ่งเหยิงอลหม่าน มันจำต้องหาสถานที่เงียบๆ เพื่อสำรวมจิตใจ เจ้าบ้านผู้ไม่ยอมย้ายถิ่นฐานผู้ไร้เหตุผลที่สุดในประวัติศาสตร์รายนี้ในที่สุดก็ยอมขยับก้นออกไปจากเมืองเทียนเอิน ด้วยสภาพเมืองที่เสียหายยับเยินขนาดนี้ จะเรียกเป็นหมู่บ้านยังเลิศหรูเกินไปด้วยซ้ำ
จอมทรราชรู้สึกขายขี้หน้ายิ่ง เกิดเสียงเพียะคราหนึ่ง ปรากฏว่าถูกอาวุโสใหญ่ลากเข้ากองซากสถาน จากนั้นก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอีกเลย
“ท่านประมุข! ” เผ่าอสูรหลายสิบห้อมล้อมเข้ามา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโหยหวน
อาวุโสใหญ่สะบัดมือ “ผิวหนังเผ่าอสูรนี่ทนมือทนเท้าจริงๆ ในเมื่อใช้มือไม่ได้ งั้นก็ใช้ส้นเท้านี่แหละ! ”
ทันทีที่วาจานี้ดังออกมา สามหัวหอกที่เหลือรอดต่างหัวใจตกวูบลงเหวนรก มารดามันเถอะ นั่นเป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าเชียวนะ แต่เพียงหนึ่งฝ่ามือก็กระเด็นจนสิ้นท่า ที่แท้มันแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
ทันใดนั้น คนทั้งสามก็ต้องกังขาในตัวเอง เมื่อเช้านี้พวกตนใช่ยังไม่ตื่นดีหรือไม่ ราชันมารนรกเยี่ยงนี้ หากไม่มาตอแยพวกตนก็ถือเป็นบุญวาสนาสิบชาติแล้ว แต่พวกตนกลับกล้าไปล่วงเกินมันเสียได้ นี่ยังจะไม่ใช่รนหาที่ตายแบบถวายหัวอีกหรือ
“เจ้า คอยดูไปเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เผ่าอสูรเราจะไล่ล่าเจ้าไปจนสุดขอบฟ้า! ” จอมทรราชหน้าเลอะเลือนไปด้วยเลือด คลานออกจากซากปรักหักพังอย่างทุลักทุเล ฟันแทบหลุดร่วงหมดปาก ยามยิ้มเหี้ยมริมฝีปากยังไม่อาจหุบลงได้
อาวุโสใหญ่ประกายตามืดหม่นลง ร่างแฉลบผ่านสามหัวหอกไปดั่งใบมีด บรรลุถึงเหล่าอาวุโสเผ่าอสูร จากนั้นใช้ส้นรองเท้าฟาดใส่จนปลิวลิ่วไปคนละทาง ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ล้วนแล้วแต่เป็นขุมกำลังหลักสุดต่อต้าน
แต่บัดนี้กลับเหมือนลูกหนังรั่วผุลูกหนึ่งที่ถูกเขวี้ยงโยนเหมือนขยะ ล้มลุกคลุกคลานจนฝุ่นจับ สภาพน่าสังเวชสุดทานทน
“เจ้าจะทำอะไร” จอมทรราชจ้องมองอาวุโสใหญ่ด้วยความพรั่นพรึง อีกฝ่ายในมือถือรองเท้าส้นนุ่ม แต่บนนั้นกลับมีคราบเลือดติดอยู่ ชัดเจนว่าก็คืออาวุธสังหารเมื่อครู่!
“เดียรัจฉานตัวหนึ่งกลับกล้าพูดจาเลียนอย่างมนุษย์ เผยธาตุแท้ออกมาซะ! ” อาวุโสใหญ่ฟาดฝ่ามือใส่ขม่อมของจอมทรราชคราหนึ่ง บีบคั้นอีกฝ่ายเผยร่างที่แท้จริงออกมา
รูปโฉมที่แท้จริงของจอมทรราชกลับเป็นกิ้งก่าหน้าตาอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง! เนื้อตัวตะปุ่มตะป่ำ สีออกม่วงคล้ำ แถมยังเลื่อมๆ เป็นเมือกๆ ดวงตาชั่วช้าทั้งสองลูกสาดประกายอำมหิตออกมาไม่ขาดสาย
อาวุโสใหญ่ไม่เกรงใจ จับหางของกิ้งก่ายักษ์ขึ้นมาจากนั้นทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง เสร็จแล้วก็บีบมือเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาทุ่มหน้าทุ่มหลังจนครบทุกสารทิศ จอมทรราชในมืออาวุโสใหญ่แปรสภาพไปเป็นไม้เท้าที่ถูกอาวุโสใหญ่กวัดแกว่งไปมา
บ้างซ้าย บ้างขวา เดี๋ยวดึงเดี๋ยวลาก เดี๋ยวเขวี้ยงเดี๋ยวฉุด จอมทรราชผู้มีหน้ามีตาแห่งเมืองเทียนเอิน ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงหนอนแมลงหมดสารรูปตัวหนึ่งที่ถูกอาวุโสใหญ่ใช้เล่นสนุกตามใจ
สามหัวหอกที่เหลือหวาดกลัวแทบลมจับ บางรายถึงขั้นปัสสาวะราด ลิ้นห้อยลูกตาเหลือกขึ้นศีรษะ ไม่กล้ากระดิกตัว ไม่กล้าวิ่งหนี
“เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว ไอ้มนุษย์น่ารังเกียจ เจ้าไม่ได้ตายดีแน่! ”
ตูม ตูม!
หลุมขนาดพันเมตรพลันปรากฏขึ้นบนโลก บ้านเรือนกระเด้งกระดอน ล้มระเนระนาด
“อ้ากก ไอ้เฒ่าเส็งเคร็ง รีบปล่อยข้าได้แล้ว! ”
พรวด!
โลหิตสดๆ พุ่งกระฉูดออกจากปากของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ ยังคล้ายมีกลิ่นไหม้ปะปน
“อาวุโส อาวุโสข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วย! ”
แคร่ก!
อาวุโสเผ่าอสูรหลายท่านต่างก็หวาดกลัวจนปัสสาวะเล็ด ก่อนจะวิ่งเผ่นกันป่าราบ เหลือไว้เพียงกิ้งก่าอัปลักษณ์ในอุ้งมือของอาวุโสใหญ่ ร่างของมันหมุนคว้างกลางอากาศหนึ่งร้อยตลบ ทำมุมสี่สิบห้าองศา แตะทะยานไปถึงยอดเมฆ
ในเมืองเทียนเอิน ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เหงื่อแตกซกท่วมตัว ใจเย็นเฉียบ
ฉินจิ่วเกอเป็นฝ่ายเดินออกจากวงกลมเอง จากนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าสามหัวหอก “พวกบาปหนา ข้ามามอบตัวแล้ว ยังไม่รีบมาจับข้าแล้วส่งมอบให้กระบวนการยุติธรรมอีก! ส่วนค่าเสียหาย ข้าจะชดใช้ให้เอง”
“ไม่ ไม่จำเป็นต้องชดใช้ ยังไงเราก็ตั้งใจจะรื้อสร้างเมืองเทียนเอินใหม่อยู่แล้ว ยังต้องขอบใจจอมยุทธน้อยกับอาจารย์ท่านที่ช่วยรื้อถอนอาคารให้กับพวกเราด้วยซ้ำ” ประมุขพรรคเดชมารร่างเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เอ่ยวาจาละล่ำละลัก
“ใช่ๆๆ ” เจ้าสำนักรีบตามน้ำ ด้วยกลัวว่าส้นรองเท้านุ่มๆ ข้างนั้นจะมาประดับอยู่บนหน้าตน
เจ้าสมาพันธ์ยิ่งอาการหนัก “ตาแก่คนนี้เห็นนานแล้วว่าสิ่งปลูกสร้างในเมืองนั้นระคายลูกตายิ่ง ไม่มีทั้งรสนิยมไม่มีทั้งสไตล์ รื้อถอนมันให้หมดน่ะดีแล้ว! ”
ฉินจิ่วเกอแววตาทอประกายจริงใจยิ่ง ทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นมือให้จับกุม “ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่พวกเจ้าตั้งใจจะจับข้าหรอกรึ? ข้าก็มามอบตัวถึงที่แล้วนี่ไง ทำตัวให้สมกับเป็นหัวหน้าหน่อยสิ?”
“ไม่ๆๆ ” เจ้าสำนักรีบส่ายหน้าเร็วไว ข้าไม่ได้จะมาจับเจ้า ไอหยา? จำได้ว่าเมื่อครู่ข้ากำลังนั่งกินมื้อเที่ยง ไฉนถึงละเมอมาอยู่ตรงนี้ได้นะ ช่างน่าพิศวงโดยแท้!
ฉินจิ่วเกอยกเท้าขึ้นมาเช็ดถูคราบสกปรก พอดีเห็นหนังตาสามกองกำลังกระตุกยิก
“ทั้งสามท่านไม่คิดจะจับข้าแล้วแน่นะ”
“ไม่ ไม่จับแล้ว พวกเราต่างก็เป็นสหายร่วมทวีปฉงหลิง อยู่ใต้ร่มฟ้าเดียวกัน มีความฝันและความขวนขวายเดียวกัน ทุกคนสามัคคีรักใคร่ ต้องรักกันเข้าไว้ ไม่อาจสร้างความขัดแย้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฆ่าฟัน”
เจ้าสมาพันธ์ลั่นวาจาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง สาบานว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของโลก ในความเป็นจริง นั่นแปลว่าอาวุโสใหญ่ท่านอย่าได้ใช้รองเท้าไล่หวดผู้คนอีกเลย ทุกคนต่างเป็นผู้มีอารยะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้
“จะไม่ลองทบทวนใหม่หน่อยหรือ ถ้าเกิดพวกเจ้าสำนึกเสียใจเอาภายหลังเล่าจะทำยังไง? ”
สามหัวหอกส่ายหน้าอย่างขมขื่น เจ้าล้อเล่นแล้วกระมัง อาจารย์เจ้ายืนค้ำหัวอยู่ใกล้ๆ ซ้ำยังกวัดแกว่งรองเท้าผ้าในมืออย่างไม่เลือกเป้าขนาดนั้น เกิดมีใครไปขวางหูขวางตาอีกฝ่ายเข้า เกรงว่าวันนี้คงต้องกลับบ้านไม่ครบสามสิบสองส่วนแน่ๆ