เกมราชันสงครามออนไลน์ - ตอนที่ 90 เรื่องเล่ารอบกองไฟ
ตอนที่ 90 เรื่องเล่ารอบกองไฟ
กายเดินไปดึงกิ่งไม้และหญ้าแห้งมากองสุมรวมกันยังจุดที่เคยมีร่องรอยการก่อกองไฟมากก่อน เขาสุมพวกมันรวมกันหยิบกล่องไม้ขีดออกมาจุดหนึ่งก้านโยนเข้าไปในหญ้าแห้ง
เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วเพราะความแห้งแล้งของหญ้า กายหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาหักสองสามครั้งอย่างง่ายดายก่อนจะใส่เข้าไปในกองไฟ หลังจากเปลวไฟเริ่มติดแรงขึ้นส่องแสงสีแดง สว่างแข่งกับท้องฟ้าสีแสดที่ดวงตะวันกําลังลาลับขอบฟ้าในตอนนั้นเองมีอากลากเอาท่อนไม่ใหญ่เท่าขายาวกว่า 10 เมตรเข้ามา
“ใช้ได้หรือไม่”
“ได้ แต่คงต้องตัดมันสั้นลงหน่อย”
มีอาพยักหน้าเข้าใจ มือเลือนไปหยิบดาบเดซี่ออกมาก่อนจะตวัดดาบหลายครั้งทอนท่อนไม้แห้งตนนี้ออกเป็นชิ้นๆก่อนจะหยิบมากองไว้ในจุดเดียวกัน
“แค่นี้น่าจะพอให้ใช้ผ่านคืนนี้ไปได้”กายพยักหน้าอย่างพอใจเดินไปปลดสัมภาระจากหลังของเจ้าถูกลงและเปิดเอา หม้อออกมาจากสัมภาระเดินไปตักน้ำจากถังที่ลิลี่กําลังถือมา โยนชิ้นเนื้อและ เครื่องปรุงง่าย ๆ ลงไปและนํามันไปวาง ไว้ข้างกองไฟ
หลังจากลิลี่ตักน้ำขึ้นมาได้หลายถัง เธอเอาถุงน้ำของตนเองและของมีอาไปเติมจนเต็มเอาน้ำในถังที่เหลือไปเทให้กับม้าได้กิน พอถึงว่างลงคนอื่นก็ทําแบบเดียวกัน พวกเขาต้องเติมน้ำและเอาน้ำ ให้ม้าได้กินเนื่องจากม้าเดินทางมาทั้งวัน อีกทั้งสภาพยังแห้งแล้งมากพวกมันจึงกินน้ำเยอะพอสมควร
ในระหว่างที่รอซุปต้มเดือดกายก็เดินไปดึงถุงที่มีธัญพืชอยู่ด้านในกําออกมาสองกําให้กับเจ้าหมอกและเจ้าถูกได้กินธัญพืชพวกนี้คืออาหารม้าที่มักจะพกไว้ในพวกมันตอนเดินทางซึ่งมันมีสารอา หารมากพอให้พลังงานกับม้าได้เพียงพอแต่พอเจ้าถึงและเจ้าหมอกกินไปพวกมันก็ดูเหมือนจะยังไม่อิ่มแต่กายไม่ได้ให้มันเพิ่มอีกเพราะที่นี่แม้จะแห้งแล้งแต่ก็ยังมีหญ้าขึ้นบ้างถึงจะไม่สดใหม่ มันก็พอให้พวกมันเรมกินได้อย่างไม่มีปัญหา
เจ้าหมอกและเจ้าถูกง่วนอยู่กับการกินหญ้ากายก็ไม่มีอะไรทําเขาจึงเดินสํารวจรอบด้านแม้จะเคยอ่านเรื่องนี้มาบ้างถึงจุดพักเหล่านี้ แต่เขาก็ต้องระวังตัวและหาทางหนีไว้บ้าง
มีต้นไม้ใหญ่เป็นจุดศูนย์กลาง ด้านหลังเป็นป่าหญ้า แซมด้วยพุ่มไม้และต้นไม้แห้งตายจํานวนมากสลับกันไปสุดสายตาออกไปจากตรงนี้ก็เป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปทุ่งหญ้ากิราต่อเส้นทางไปทุ่งหญ้ากิรานั้นมีประมาณ 5 เส้นทางที่ถนนนั้นสามารถให้รถม้าวิ่งไปได้ มี 12 เส้นทางที่ไปถึงทุ่งหญ้ากราแม้ไม่ต้องใช้รถม้า
แต่ไม่มีเส้นทางปลอดภัยจริงเพราะในบางครั้งพวกโจรก็จะลอบโจมตีขบวนพ่อค้าและนักเดินทางในเส้นทางที่ปลอดภัยได้เช่นกัน ดังนั้นกายจึงไม่วางใจอะไรง่าย ๆ
อีกอย่างในเมื่อเขารู้ก็มีผู้เล่นคนอื่นรู้ที่นี่เช่นกัน นั้นรวมถึงพวกกิลด์กะโหลกแดงด้วย
กายวนสองสามรอบไม่มีกลุ่มหรือขบวนเดินทางอื่นมาแถวนี้อีก เขาจึงเดินกลับไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่กายมาถึงก็เห็นว่ามีเพียงลูก้าเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟกําลังจัดการอาหารของตัวเอง
“คนอื่น ๆ ไปไหนกัน”กายถามอย่างสงสัยตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้วแสงรอบ ๆ ก็น้อยลง
“พวกเธอบอกไปทําธุระของพวกผู้หญิง” ลูก้าตอบ
ธุระของผู้หญิง กายได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะพวกเธอน่าจะไปที่บ่อน้ำเช็ดเหงื่อไคลจากการเดินทางมาทั้งวัน
เดินไปที่ท่อนไม้ซึ่งตรงกลางถูกมีอาใช้ดาบคว้านมันจนเป็นโพรงกลวงและมีน้ำใส่อยู่เขาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าสองสามครั้งก่อนจะเดินกลับมาข้างกองไฟปลดเอาค้อนสั่นสะเทือนบนหลังออกวางลงกับพื้นจากนั้นกายก็ใช้ค้อนสั่นสะเทือนเป็นเหมือนเก้าอี้นั่งไปบนมัน
เขาจัดการหยิบขนมปังออกมาจุ่มไปที่ซุปเนื้อที่เดือดได้ที่แล้วซดกินพวกมันอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสักพักพวกสาว ๆ ทั้งสามคนก็กลับมาแม้ดูเหมือนว่าพวกเธอจะใส่เกราะตัวเดิมแต่ชุดด้านในก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นตัวใหม่เรียบร้อยแล้วพวกเธอก็ลงมือกินอาหารของตนเองเช่นกัน
ตกดึกทั้งผืนป่าเริ่มเงียบสงบลงมีเพียงเสียงของลมที่พัดกระทบต้นหญ้าแห้งส่งเสียงหวีดหวิวบ้างก็มีเสียงของกิ่งไม้แห้งหักหล่นลงพื้นดังมาไม่ไกลเป็นบางครั้งบางครั้ง
แต่ต้นไม้ที่กายพักผ่อนนั้นถือว่าปลอดภัยเพราะก่อนหน้านั้นเขาได้สํารวจดูบนต้นไม้มันไม่มีกิ่งไม้แห้งที่หักลงมาได้จากลมเพียงเท่านั้น
ทุกคนนั่งล้อมอยู่รอบกองไฟในตอนนั้นลิลี่ก็ชวนทุกคนคุยกัน “เฮ้ พวกเรามา แบ่งปันข้อมูลกันดีกว่าเอาเป็นเกี่ยวกับทุ่งหญ้ากิราเป็นยังไง”
“เอาสิ” อาลีน่าไม่ได้คัดค้าน
“ทุ่งหญ้ากิราอย่างนั้นเหรอ…” มีอาครุ่นคิด
กายยังคงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เขาพอจะมีข้อมูลของทุ่งหญ้ากิรามาบ้างไม่มากก็น้อย
“ถ้าอย่างนั้นเริ่มที่ข้าแล้วกัน” ลูก้าที่ปกติเงียบขรึมกล่าวออกมา ก่อนจะเริ่มพูดต่อ“พวกเจ้าคงรู้จักทุ่งหญ้ากิราแล้วใช่ไหมแต่รู้หรือเปล่าว่ามันคือดินแดนที่ตรงข้ามกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ริกาที่อยู่ ทางตะวันตกเฉียงใต้ที่ทุ่งหญ้ากราแห่งนี้แห้งแล้งมากจนบางพื้นที่เป็นทะเลทรายทอดยาวไกลสุดสายตา
“เรื่องนี้พวกเรารู้อยู่แล้วเอาข้อมูลที่คิดว่าพวกเราไม่รู้สิ” ลิลี่พูดขัดลูก้า
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็แล้วกัน โจรในทุ่งหญ้ากราบางส่วนได้รับการสนับสนุนจากนครแสงเทวา” ทันทีที่ลูก้าพูดออกมาทุกคนก็เงียบในทันที
“เฮ้…เจ้าพูดเรื่องจริงใช่ไหม” ลิลี่ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
กายไม่มีข้อมูลของนครแสงเทวามากนักเขารู้แต่ว่ามันคือนครที่ปกครองด้วยกฎของศาสนาเป็นหลัก
“เรื่องจริงแน่นอน” อาลีน่าเสริม
“แต่นครแสงเทวานับถือเทพแห่งแสงสว่างไม่ใช่เหรอ ทําไมพวกเขาถึงต้องสนับสนุนคนชั่ว”
“ผิดแล้วพวกเขานับถือแทบแห่งดวงอาทิตย์อุทันและในสายตาพวกเขาคนที่ไม่นับถืออุทันคือพวกนอกรีต”อาลีน่า บอกให้ลิลี่ฟัง
“สิ่งสิพวกเจ้าบอกว่าโจรนั้นมีนครแสงเทวาสนับสนุนอยู่ แต่คงไม่ใช่โจรทั้งหมดใช่ไหม”กายถามอาลีน่า
“ไม่ อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ว่านครแสงเทวาจะสนับสนุนโจรทั้งหมดในทุ่งหญ้ากิราเพราะพวกเขารู้ขีดจํากัดเรื่องนี้ดีถ้าเกิดสนับสนุนโจรทั้งหมดอย่างเปิดเผยอย่างนั้นเราคงยกทัพทําศึกกันเลยไม่ ง่ายกว่าเหรอ”อาลีน่าอธิบาย
“แล้วแบบนี้ถ้าเราล่าพวกที่สนับสนุนโดยนครแสงเทวาจะเกิดอะไรขึ้น”ลิลี่ถามด้วยความอยากรู้เธออยากจะลองสู้กับพวกนั้นดู
มีอาส่ายหัวกับความคิดของสหายตนเอง “เจ้าเป็นนักรบแท้จริงหรือยัง”
“ยัง แล้วมันเกี่ยวอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองคิดดูโจรที่ได้รับการสนับสนุนจากนครแสงเทวาจะแข็งแกร่งแค่ไหนอีกอย่างเรื่องโจรพวกนั้นถ้าเลี่ยงได้พวกเราควรเลี่ยงเพราะทางนครดาราฟ้ามีวิธีของพวกเขาอยู่แล้วถ้าเราเข้าไปสอดมืออาจจะทําให้พวกเขายุ่งยากและไปขัดแผนของสภาสูงเอาก็ได้”มีอาบอกกับลิลี่
ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกายก็เช่นกันเขาสนับสนุนความคิดของมีอาแม้เธอจะแข็งแกร่งแต่ก็ยังมีความ รอบคอบกว่าทุกคนในที่นี้อย่างแน่นอน
“เรากลับมาที่เรื่องของทุ่งหญ้ากรากันดีกว่า”กายยิ้มขณะที่กล่าวทุกคนก็หันมามองเขากายจึงกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินตํานานพื้นบ้านของทุ่งหญ้ากร าหรือไม่”
ทั้ง 4 คนส่ายหน้า เพราะแม้พวกเขาจะมาจากตระกูลเจ้าพนักงาน แต่ก็ไม่มีใครเคยเดินทางไปที่ทุ่งหญ้ากิรามาก่อนส่วนมีอานั้นเธอเคยแต่ไปที่ทุ่งหญ้าริกาในหมู่บ้านต้นตระกูลของเธอเท่านั้น
กายหันไปหยิบไม้มาเขียกองไฟจนประกายไฟแตกเปาะแปะเปลวไฟไหววูบไปกับสายลมสร้างบรรยากาศน่าขนลุกขึ้นมาในทันที กายหยุดไปสักพักเพื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผู้เล่นได้ยินเรื่องเล่าจากใน หมู่บ้านแถบทุ่งหญ้ากิราแล้วนํามาเล่ากันในอินเทอร์เน็ต
“เรื่องมันมีอยู่ว่า…เมื่อนานหลายร้อยปีก่อนมีคณะสํารวจเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทําแผนที่และเชื่อมสัมพันธ์กับคนต่างเผ่าพวกเขาเดินทางกันนานนับวันนับเดือนจนกระทั่งวันหนึ่งพวก เขาเดินทางเข้าไปในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่แต่ที่นี่กลับมีแต่ความแห้งแล้งเมื่อเห็นเช่นนั้นหลายคนจึงเสนอว่าพวกเขาไม่ควรจะเดินเข้าไปแต่พอจะหันหลังกลับก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น…”
“เกิดอะไรขึ้น”คนที่ถามไม่ใช่สามสาวแต่กลับเป็นลูก้าเขาตั้งใจฟังสุด ๆ
“เส้นทางที่พวกเขาเข้ามาหายไป”กายยิ้มตอบในตอนนั้นเสียงของสายลมก็พัดผ่านทุกคนพอดีทําเอาทั้งสี่คนขนลุกเบา ๆ หันไปมองเส้นทางว่าเส้นทางของพวกเขาหายไปหรือไม่
กายหยิบพื้นโยนเข้าไปในกองไฟก่อนจะกล่าวต่อ“หลังจากเส้นทางได้หายไปทุกคนก็กระวนกระวายกันคณะสํารวจเริ่มออกตามหาเส้นทางต่อแต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่สามารถเดินออกจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเดินตัดผ่าทุ่งหญ้าเพราะเชื่อว่าเมื่อเดินเป็นเส้นตรงยังไงก็ต้องเจอกับสุดเขตทุ่งหญ้าคณะสํารวจเดินกันถึง 3 วัน 3 คืนเต็มในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอ”
“เจอทางออก” ในครั้งนี้ลิลี่เป็นผู้ถาม
“เปล่าพวกเขาเจอหมู่บ้าน” กายตอบกลับไป
“หมู่บ้านในทุ่งหญ้าแห้งแล้ง…” มีอาและอาลีน่าครุ่นคิดในทันที
กายยังคงเล่าต่อ ทั้งคณะเข้าไปในหมู่บ้านชาวบ้านที่นี่ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีทั่งจัดหาน้ำและที่พักให้แต่พอคณะเดินทางถามถึงเรื่องอาหารว่ามีอาหารให้พวกเขากินหรือไม่ ชาวบ้านพวกนั้นบอกว่าต้องรอให้มีดก่อนถึงจะกินอาหารได้พอได้ยินดังนั้นคณะสํารวจก็ไม่อยากจะเสียมารยาทเพราะพวกเขาคือผู้มาเยือนต้องทําตามประเพณีของสถาน
พอตกเย็นคณะสํารวจก็ถูกแบ่งออกไปสีกลุ่มเพื่อไปพักตามบ้านหลังต่าง ๆ ทั้ง 4 แห่งเนื่องจากบ้านเพียงหลังเดียวนั้นไม่อาจจะให้พวกเขาพักกันได้หมด
พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้ากลิ่นของอาหารก็โชยเข้ามาในจมูกของพวกเขาเหล่าคนในคณะสํารวจต่างพากันกลืนน้ำลายก่อนที่พวกชาวบ้านจะยกถาดอาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อย่างมาใช้กับพวกเขา นอกจากเนื้อย่างยังมีไวน์แดงเสิร์ฟมาด้วยด้วยความที่ไม่ได้กินอาหารดีๆมานานคณะสํารวจจึงกินดื่มกันอย่างอิ่มหนําสําราญและผล็อยหลับไป
พอเช้ามา พวกเขามารวมตัวกันก็พูดถึงมื้ออาหารกันอย่างไม่หยุดปากแต่เดินออกมารวมกันกับเกิดเรื่องขึ้นอีก ครั้ง…”
“เกิดอะไรขึ้น” ในครั้งนี้อาลีน่าเป็นคนถามส่วนลิลี่นั้นขยับเข้าไปใกล้มีอามากขึ้น
“มีคนหายตัวไป”