ฮาเร็มวุ่นวายของนายทราเวียร์ - ตอนที่ 2: บทนำ ใหญ่ขนาดนี้คงไม่เด็กแน่นอน
บทนำ ใหญ่ขนาดนี้คงไม่เด็กแน่นอน
มื้ออาหารยอดเยี่ยมพร้อมกับวิวทิวทัศน์ยอดเยี่ยม ส่วนประกอบมากมายเข้ามามีบทบาททำให้อาหารมื้อนี้อร่อยมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หญิงสาวงดงามยิ้มหัวเราะกล่าวชมไม่ขาดปากทุกครั้งที่หล่อนลิ้มรสชาติแปลกใหม่ รอยยิ้มสง่างามจะยิ่งขยับขยายมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว
“…” เว้นเพียงหนึ่งที่ยังคงนิ่งเงียบไม่คิดพูดจา
“อาหารไม่อร่อย?”
“เปล่าหรอก แค่” ทราเวียร์สะดุ้งเล็กน้อยพอโดนอีกฝ่ายร้องทัก หญิงสาวจ้องมองด้วยแววตาน่ารักแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยหลายส่วน อาหารในจานหล่อนทานเกือบหมดหลงเหลือเพียงนิดหน่อย เทียบกันแล้วอาหารในจานของชายหนุ่มลดน้อยมาก มากจนทานไปเพียงไม่กี่คำก่อนหยุดนิ่งลง
รอยยิ้มแห้งปรากฏขึ้นพร้อมกับจิ้มเนื้อหนึ่งชิ้นยัดเข้าไปในปาก
…‘เอายังไงดี จะลงมือหรือว่าไม่ลงมือ’
“…” เขากำลังอยู่ในห้วงตัดสินใจ กำลังชั่งใจตัวเองอย่างเข้มงวดขั้นสุด
เมื่อคิดตัดสินใจบางสิ่งอย่าง บางสิ่งอย่างที่มันสำคัญส่งผลต่ออนาคต ล้วนต้องใช้หัวสมองพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมา คิดถึงหลายสิ่งอย่างไม่ว่าจะทั้งเกี่ยวกับตัวเองหรือว่าใครคนอื่น ทั้งยังต้องแบกรับผลที่ตามมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์จะเป็นแบบไหน จะเป็นยอดเยี่ยมเหนือฟ้า หรือจะเป็นผลลัพธ์เลวร้ายยิ่งกว่าขุมนรก
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เขาเดินมาถึงเส้นทางแยก ทางแยกแห่งอนาคตที่จะนำไปสู่เส้นทางใดเส้นทางหนึ่งมันอาจกลายเป็นวันคืนแห่งความสุขสันต์น่าจดใจไปชั่วชีวิต หรืออาจกลายเป็นนรกขุมสุดท้ายที่ไม่ต้องการจดจำ
ต้องการลืมเลือนไปตลอดชีวิต
“…” ทางเลือกที่ต้องเดินมาถึงสักวันหนึ่ง ทางเลือกที่ไม่อาจปฏิเสธหรือหลบเลี่ยงได้
“มีอะไรรึเปล่า? เห็นเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว”
“ก็เปล่านิครับ”
“ฉันไม่เห็นเป็นแบบนั้นนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนช่างปลอบประโลมหัวใจเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะไม่กล่าวให้หล่อนได้รับรู้แต่บางสิ่งอย่างมันก็ยากจะปกปิดโดยเฉพาะกับคนที่สนิทรู้ใจจริง เพียงแค่เหลือบตามองนิดเดียวก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มมีบางสิ่งอย่างแอบแฝงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ส่วนเรื่องอะไรหล่อนก็ไม่รู้เหมือนเดิม
“…เป็นคนทำงานหาเช้ากินค่ำมันก็ต้องแบบนี้แหละครับ” ทราเวียร์ยิ้มแห้งกล่าวเบาบางปกปิดไม่คิดเปิดเผยก่อนถอนหายใจเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ “มีเรื่องให้คิดตลอดเวลาเต็มหัวสมองไปหมด”
“…นั้นสินะ ใครบ้างละที่ไม่เคยมีเรื่องคิดเต็มหัวสมองไปหมด”
“แล้วเรื่องอะไรที่นายคิดตอนนี้?” หล่อนถามกลับอีกครั้งดวงตาคู่งามจดจ้องมองกระพริบตาน่ารัก
บีบบังคับให้ชายหนุ่มต้องยินยอมโอนอ่อนไปในที่สุด เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ชายใจกร้านแข็งกร้าวยังต้องยินยอมเปิดปากยอมเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดไม่มีกักเก็บแน่นอนว่าไม่เว้นกระทั่งทราเวียร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขากลืนน้ำลายหลายต่อหลายครั้งก่อนตัดสินใจแง่มประตูให้เล็กน้อย
“…” ทราเวียร์สูดลมหายใจเข้าลึก “จะว่ายังไงดีละครับ มันพูดไม่ถูกเหมือนกัน จะบอกว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ จะบอกว่ามีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามี เอาเป็นว่ามันค่อนข้างคลุมเครือละกันครับ”
“อะไรละนั่น” หญิงสาวขมวดคิ้วงุนงง
“อย่างที่คิดลืมมันไปเถอะครับ” ฝ่ามือตบเข้าที่หน้าผากตัวเองจนปรากฎรอยแดง
“มันค่อนข้างน่าอายยังไงก็ไม่รู้ ให้ตายสิ ลืมมันไปเถอะอย่าไปคิดถึงมันเลย” ทราเวียร์กัดปากตัวเองริ้วแดงเริ่มปรากฎบนพวงแก้มทั้งยังเห็นได้ด้วยตาเปล่า หล่อนเอียงคอไม่เข้าใจที่เห็นทราเวียร์เปลี่ยนอารมณ์ไปมาเดี๋ยวหนักใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเขินอาย หลากหลายอารมณ์สับสนวุ่นวายไปหมด
…‘พูดไม่ได้ อย่างที่คิดไม่ว่ายังไงก็พูดไม่ได้’
“…” เขานิ่งเงียบพลางถอนหายใจเหนื่อยอ่อน
เอาเข้าจริง เอากันตามตรงเลยจะให้เขาพูดออกไปได้ยังไงว่า ตอนนี้ชายหนุ่มคนหนึ่ง คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเธอห้วงความคิดมันสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าจะเลือกสารภาพรักวันนี้เลยหรือว่าต้องการยืดเวลาออกไปอีกหน่อย
สองแนวคิดกำลังตีกันอย่างบ้าคลั่งในหัวสมอง ตีกันจนเจ้าของร่างกายเริ่มรู้สึกแปลกประหลาดจนเผลอแสดงปฏิกิริยาไม่เหมาะสมออกไปต่อหน้าหล่อน ดีตรงที่หญิงสาวไม่คิดคาดคั้นอะไรมากนัก
ไม่งั้นอาการคงหนักกว่านี้อีก
“…” สายตาคู่งามจดจ้องมองนิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนเผยรอยยิ้ม
“เป็นเรื่องสำคัญรึเปล่า?” ซึ่งเป็นรอยยิ้มหายนะสำหรับทราเวียร์ในจังหวะนี้ ไม่รู้เป็นเพราะไอ้ท่าทีเหมือนคนกำลังแอบขโมยของโดยไม่คิดเปิดเผยให้ใครคนอื่นรู้มันจะไปกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของหล่อนเข้าให้อย่างจัง
ใบหน้างดงามยื่นเข้ามาใกล้หวังรีดเอาความลับของทราเวียร์ออกมาให้โลกหล้าได้รับรู้
“บอกได้รึเปล่า?” สำหรับหล่อนแล้วยิ่งลึกลับยิ่งน่าค้นหา
“…”
“มาแนวนี้คงบอกไม่ได้อีกตามเคย”
“ไม่ใช่ว่าบอกไม่ได้ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะบอกไปดีรึเปล่าต่างหาก ความหมายมันแตกต่างกันนะ ระหว่างสองคำนี้น่ะ”
“ยอดเยี่ยม!” หล่อนยิ้มฉีกกว้าง
“งั้นก็บอกได้สินะ ก็ฉันเป็นเพื่อนของนาย เพื่อนที่สนิทที่สุดนิน่า” เปลี่ยนท่าทีรวดเร็วมาก มากจนทราเวียร์ยังตื่นตระหนกตกใจ หน้าสวยยิ้มหัวเราะยื่นหน้าเข้ามาใกล้หวังรีดเอาความลับทั้งหมดไปจากปากชายหนุ่ม
ทราเวียร์สูดลมหายใจเข้าลึก
“ไม่ได้ยินที่ผมพูดเมื่อกี้รึยังไง? ยังไม่แน่ใจว่าจะบอกได้รึเปล่าน่ะ” ไม่ได้ผลเนื่องจากหญิงสาวไม่คิดรับฟังคำพูดของตนยังคงเดินหน้าต่อ ตั้งหน้าตั้งตาหวังรีดเอาความลับในจิตใจทั้งหมดของชายหนุ่มออกมาอย่างเดียวเลย
เล่นทำเอาเจ้าตัวเหงื่อแตกเหนื่อยหน่ายสุดหัวใจ
“บอกมานะ บอกมาเลย ห้ามเก็บเอาไว้คนเดียว”
“…” ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นหอมจากเรือนร่างยิ่งละลายความยับยั้งช่างใจทั้งหมดทิ้ง เกิดปล่อยเอาไว้ เกิดปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปสถานการณ์จากเดิมที่ควบคุมยากเย็นอยู่แล้ว จะยิ่งควบคุมยากหนักหน่วงเข้าไปใหญ่
เพราะฉะนั้นจำต้องตัดบทโหดเหี้ยมไม่เปิดโอกาสให้แทรกแซงจากใครคนอื่น
“กลับไปเลยครับ ทำแบบนี้มันเสียมารยาทกับคนอื่นนะ”
“…อย่าดันสิ” หล่อนสู้แรงไม่ต้องการให้นิ้วเรียวกดหน้าผากดันกลับไปนั่งที่เดิม ลองได้อยากรู้อยากเห็นแบบนี้ด้วย คงยากจะสงบสติอารมณ์และเมื่อหล่อนเพิ่มกำลังรุกมากขึ้นเขาก็คงต้องปากเบา
ยอมสารภาพหมดเปลือก
“…” จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
“เมื่อกี้นี้เกือบจะพูดอยู่แล้ว แต่พอเจอคุณทำแบบนี้ด้วยมันหมดอารมณ์ยังไงก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ละกัน ตอนนี้มากินข้าวกันดีกว่านะ” ทราเวียร์รีบเก็บงำไม่คิดบอกกล่าว มันน่าอายเกินไปแม้ว่าจะเสียงานเสียการไปสักหน่อยแต่ถ้าแลกมากับความมั่นใจแลกมากับจุดหมายปลายทางความสำเร็จปลายอุโมงค์
มันก็คือว่าคุ้นค่าเขายินดีแลกเปลี่ยน
“ไม่!”
“หะ?” คล้ายว่ามีคนไม่คิดเลิกรา
“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉันใช่ไหม?”
“ชะ ใช่ ไม่!” ทราเวียร์สะดุ้งรีบเปลี่ยนคำพูดตัวเองหลังจากเผลอพูดความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว กว่าจะปรับเปลี่ยนแก้ไขแต่มันก็สายเกินไปแล้ว หญิงสาวหูตั้งรีบกล่าวแทรกขยับขยายประเด็นต่อทันทีไม่ปล่อยให้เสียเปล่า
รอยยิ้มชัยชนะฉีกกว้างมาพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน
“เห็นไหมละ!”
“ไม่ได้ นายจะเงียบแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้านายอยากจะพูดกับฉัน นายต้องพูดเดี๋ยวนี้ เวลานี้เลย ห้ามเก็บเอาไว้คนเดียวเด็ดขาด” หล่อนดึงดันไม่เลิกราต้องการรับรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไรกันแน่ ให้อารมณ์คล้ายเด็กอยากได้ของเล่นเหลือเกินในตอนนี้
ทราเวียร์ยิ้มแห้งหัวเราะเหนื่อยหน่ายกับชีวิต
…‘เอาเข้าจนได้ให้ตายสิวะ’
“…”
“อย่างที่คิดผมไม่พูดดีกว่า เลิกตื้อเถอะมันเปล่าประโยชน์ไม่ช่วยอะไรหรอก” เป็นเพราะหล่อนคอยหยอกล้อไม่ปล่อยให้เขาต้องครุ่นคิดเรื่องฟุ้งซ่านคนเดียว รอยยิ้มขี้เล่นถึงได้กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง
หล่อนยื่นมือทั้งสองข้างเขย่าแขนเขาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“งะ พูดเถอะนะ”
“อยากรู้อยากเห็นเกินงามแล้วนะครับ”
“ก็มันอยากรู้นิ ยิ่งนายทำท่าทางไม่อยากพูด ฉันยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่”
“เป็นเด็กเหรอ?” ทราเวียร์ยิ้มเหนื่อยใจหล่อนต้องการรู้ให้ได้เลยใช่ไหม ว่าสิ่งใดวนเวียนอยู่ในหัวสมองของตน แน่นอนว่าต่อให้หล่อนเกลี้ยกล่อมยังไง เขาก็ไม่มีทางปริปากบอกเด็ดขาด
จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม
“นายว่าใครเด็ก!” พระเจ้าช่วยเขากำลังเห็นอะไรอยู่กันแน่ หญิงสาวงดงามแอ่นหน้าอกอวบอิ่มใหญ่โตดันเสื้อจนแทบปริออกมาสวัสดีชาวโลกให้รับทราบ ไม่มีท่วงท่าเขินอายทั้งยังมั่นใจเต็มสิบส่วน “เด็กที่ไหนโตขนาดนี้”
หล่อนเล่นใหญ่จนเขาเริ่มทำตัวไม่ถูกนิ้วเริ่มเกาแก้มเบี่ยงสายตาหลบไปทางอื่น
“…ครับ เอาเข้าจริงใหญ่ขนาดนี้มันก็คงไม่เด็กจริง ๆ แหละ”
“…” นิ่งค้างไปเลยไม่ว่าจะทั้งตัวเขาและตัวหล่อน กว่าจะรู้สึกตัวก็ผ่านไปเกือบนาที ใบหน้าขาวเนียนอาบย้อมไปด้วยประกายเขินอายหล่อนรีบกอดอกตัวเองแนบแน่นไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมองอีก
แน่นอนว่าทราเวียร์เบี่ยงหน้าหลบไปตั้งแต่ตอนแรกแล้วเลยไม่เห็น
“มะ ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่า—”
“ครับ ผมรู้ ผมรู้”
“หะ ห้ามมองนะ!”
“ไม่มองครับ ไม่มองแน่นอน”
“…” หญิงสาวปิดหน้าตัวเองกันไม่ให้ใครคนอื่นมองโดยเฉพาะคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ
“น่าอาย น่าอับอายเกินไปแล้ว” ต้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าหล่อนจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ขณะทราเวียร์กำลังหวนนึกถึงเมื่อครู่นึกถึงคุณภาพยอดเยี่ยม ฝ่ามือเรียวงามก็พุ่งทะยานเข้ามาตบแขนเขาเรียบร้อย
ต้นสายปลายเหตุย่อมต้องเป็นหญิงสาวผู้งดงามที่พึ่งฟื้นคืนกลับมา
“นี่แนะ!”
“เจ็บนะ”
“ก็ตีให้เจ็บ ฉันรู้ว่านายต้องคิดอะไรไม่ดีในหัวสมอง” หลังจากได้ระบายอารมณ์รอยยิ้มแจ่มใสก็กลับมาอีกครั้ง ฝ่ามือขาวเรียวตีครั้งสุดท้ายเข้าที่แผ่นหลังไม่ได้ตีให้เจ็บปวด กลับกันมันให้ความรู้สึกเหมือนคนเข้ามาลูบปลอบใจเสียมากกว่าหลังจากตีเสร็จหล่อนเค้นเสียงไม่พอใจถอยมือกลับไปกอดอกตามเดิม
“หึ คนฉวยโอกาสทำกำไร”
“มองนิดหน่อยเอง—”
“…”
“ครับ” ทราเวียร์ยิ้มแห้งหลบสายตาเย็นเฉียบ