ฮาเร็มวุ่นวายของนายทราเวียร์ - ตอนที่ 10: ตอนที่ 7 ณัชชา
ตอนที่ 7 ณัชชา
วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวหล่อนตัดสินใจหยุดนิ่ง
“…” ผ่านไปหลายต่อหลายวินาทีหญิงสาวอกหักก็ยังคงหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน หล่อนกระพริบตาน่ารักเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนสูดลมหายใจหันหลังกลับมาร้องตะโกนขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือหล่อนในยามยากลำบาก
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งผ่านคำพูดและการกระทำมากมาย
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ!”
“…” หลังจากหล่อนก้มหัวขอบคุณเสร็จก็รีบออกตัววิ่งหน้าตั้งหายลับไปจากสายตา ปล่อยให้เหล่าพลเมืองดีทั้งหลายจ้องมองพลางถอนหายใจเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมายแอบแฝง
หนึ่งในนั้นก็คือเป็นห่วงเป็นใยเกินต้านทาน
“หวังว่าเธอจะผ่านมันไปได้นะ”
“…นั้นสินะ”
“ถ้าเป็นเธอละก็ต้องผ่านมันไปได้แน่นอน ฉันมั่นใจ” ชายหนุ่มสวมแว่นกล่าวเบาบาง สายตาเขายังคงจดจ้องมองหล่อนไม่มีคิดปล่อยผ่านก่อนเหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง
ไม่สิต้องบอกว่ามองบุคคลหนึ่งต่างหาก
“ขอเพียงไม่มีใครคนอื่นเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยละนะ” ประกายดวงตาเย็นเฉียบถูกปลดปล่อยไม่กี่วินาทีก่อนจางหายเมื่อคนรอบกายร้องทักขึ้นมาด้วยความสงสัย
“…เมื่อกี้พูดอะไร?”
“…แค่เรื่องไร้สาระน่ะ อย่าไปคิดมาก” ทราเวียร์ยิ้มเล็กน้อยคำพูดของเขาแฝงไปด้วยพลังอำนาจมากมาย แฝงไปด้วยเรื่องราวเหนือธรรมชาติ เหนือความคาดหมายนับไม่ถ้วน เจ้าตัวเพียงยิ้มพอประมาณยิ้มลี้ลับชวนกระตุ้นให้รู้สึกสงสัย
ก่อนจะทั้งร่างกายและตัวตนจะหายไปท่ามกลางผู้คนนับหมื่นพัน
“…” เว้นเพียงไม่กี่คนที่รู้สึกถึงเรื่องนี้
“หะ เห็นเมื่อกี้รึเปล่า?!” เสี้ยวเดียวที่สายตาทราเวียร์เหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง บังเอิญกลุ่มสองหนุ่มผู้มากไปด้วยความลับเห็นเข้าพอดี ทั้งยังเห็นแววตาเย็นชามากไปด้วยแรงอาฆาตต้องการเก็บเกี่ยวชีวิต
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทั้งสองตื่นตระหนกตกใจเป็นที่สุด
“เห็นสิวะ อย่ามาตะโกนข้างหูฉันนะโว้ย!”
“ทำไมฉันรู้สึกว่ามันต้องเกิดเรื่องใหญ่โตยังไงก็ไม่รู้”
“บังเอิญจัง ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกัน” เพื่อนชายชาญฉลาดคิ้วกระตุกรู้สึกไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้ อะไรเป็นสาเหตุหลักใหญ่ใจความสำคัญที่ชายหนุ่มมากไปด้วยปริศนาอย่างทราเวียร์เดือดดาลถึงขนาดต้องการฆ่าชัดเจนขนาดนั้น
และที่สำคัญที่สุดเลยคืออีกฝ่ายมันเป็นใครกันแน่
“รีบไปหาข้อมูลสารเลวนั้นเร็วเข้า”
“ได้” เพื่อนชายชาญฉลาดพยักหน้าก่อนเริ่มติดต่อหาเส้นสาย
“…น่าขนลุกเป็นบ้าเลย” ชายกล้ามโตหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่างกาย แค่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาที เพียงเหลือบตามองไปตามอารมณ์ ทั้งยังเหลือบมองคนอื่นไม่ใช่มองทั้งสอง
แต่มันก็สร้างผลกระทบให้กับตนไม่น้อย
…‘อย่าบอกนะว่ามีคนหาเรื่องตายเหมือนกับพวกเราอยู่ด้วย’
“…”
ฝีเท้าก้าวมั่นคงรีบตรงไปยังจุดมุ่งหมายปลายทาง ระหว่างเส้นทางมีผู้คนมากมายจับจ้องมองตลอดเวลาแม้ว่าหล่อนจะสวยจนตกเป็นเป้าสายตาบ่อยครั้งแต่เหมือนว่าวันนี้จะเยอะกว่าปรกติหลายเท่าตัว
หัวคิ้วเริ่มกระตุกรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“…” อีกทั้งถ้อยคำนินทายังไม่ใช่รูปแบบที่เคยพบเจอ สายตาหวานหลงใหลหลงรักในรูปร่างหน้าตาแปรเปลี่ยนไปหมดสิ้นตอนนี้มันได้กลายเป็นสมเพช เวทนา สงสาร สงสัยต้นสายปลายเหตุ
โดยเฉพาะเมื่อหล่อนผ่านกลุ่มผู้ใหญ่รุ่นป้าจอมพูดคุยทั้งหลายคำนินทายิ่งหนักหน่วงเป็นพิเศษ
“น่าสงสาร”
“หรือว่าร้องไห้มา”
“น่าจะใช่”
“แต่ถือดอกไม้มาด้วยนะ”
“คงจะผิดหวังความรักมาแน่นอน ฉันมั่นใจ”
“เหมือนจะเป็นแบบนั้น นึกถึงประสบการณ์ที่พวกเราเคยเจอมาเลยนะ”
“ใช่” เหล่าคุณป้าคุณนายทั้งหลายไม่มีปราณีเมตตาให้เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์หล่อนเต็มเสียงพูดคุยกันไม่มีกักเก็บอารมณ์ หล่อนที่ได้ยินเผยรอยยิ้มแห้งแข็งเกร็งไม่ค่อยพอใจที่ใครคนอื่นนินทาไม่มีเกรงใจคนกำลังอกหัก
จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นใบหน้าตัวเองที่กำลังสะท้อนอยู่บนกระจกหน้าร้านขายเสื้อผ้า
…‘นะ นี่คือหน้าของฉันจริงดิ’
“…” นิ่งแข็งค้างไปชั่วขณะก่อนดวงตาจะเริ่มเบิกกว้างไปตามลำดับ
“ตายแล้ว!”
“นะ นี่ใบหน้าของฉันเหรอ?!” หญิงสาวอกหักตื่นตระหนกตกใจเมื่อพบเห็นใบหน้าตัวเองเปื้อนไปด้วยเครื่องสำอางมากมาย แม้ว่าจะเช็ดออกไปบางส่วนแต่ก็ยังมีร่องรอยอีกเยอะแยะหลงเหลืออยู่
หล่อนรีบวิ่งหน้าตั้งหาห้องน้ำทันที
“ป้าค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางไหนเหรอคะ?”
“อยู่ด้านโน้นจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ” เพื่อล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า หญิงสาวผู้อกหักรีบวิ่งตาตั้งเข้าหาห้องน้ำพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือไม่คิดทิ้งห่างกาย เมื่อวิ่งไปตามเส้นทางที่คุณป้าใจดีบอกกล่าวหล่อนก็พบเจอประตูห้องน้ำ
ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที
“…” และสิ่งที่รอคอยต้อนรับหญิงสาวอกหักไม่ใช่ใบหน้าปรกติธรรมดาที่พบเห็นทุกวัน แต่เป็นใบหน้าสิ้นหวังคล้ายคนป่วยเป็นโรคร้ายต้องนอนรอวันตาย จนตัวของเธอเองยังอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดยังไงหากไม่โดนช่วยเหลือเอาไว้เสียก่อน
เพียงแค่นึกคิดจินตนาการดังกล่าวขนทั่วทั้งร่างกายก็ลุกขึ้นกะทันหัน
“เลิกคิดไร้สาระ”
“ต้องจัดการตัวเองก่อน” ยิ่งมองยิ่งนึกสมเพชตัวเองที่ปล่อยปละละเลยจนทำให้ใบหน้างดงามที่ตนตั้งหน้าตั้งตาแต่งตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่ขึ้นขอบฟ้าต้องเปื้อนไปด้วยน้ำตา
หญิงสาวร้องอุทานขึ้นมาเบาบางก่อนใช้นิ้วมือปาดไปมาบนใบหน้า
“ตายละ นี่ฉันเดินไปไหนมาไหนด้วยใบหน้าแบบนี้เหรอ?”
“น่าอายแท้”
“ให้ช่วยอะไรไหมคะ?” เหล่ากลุ่มสาวน้อยเข้ามาสอบถามหลังจากเห็นพี่สาวอกหักใบหน้าเปื้อนไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพง แน่นอนว่าในฐานะพี่สาวแสนสวยย่อมไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนเข้ามาช่วยเหลือ
โดยเฉพาะยิ่งเป็นสาวน้อยแบบนี้ด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอเลยตอบปฏิเสธกลับไป
“ถ้าพี่สาวมีอะไรอยากให้หนูช่วยเหลือก็บอกได้นะคะ”
“จ๊ะ” ทุกคนช่วยเหลือมามากพอแล้วตอนนี้ถึงเวลาที่หล่อนต้องช่วยตัวเอง ยืนหยัดด้วยตัวเอง หากไม่ต้องการเป็นภาระให้คนอื่นต้องดูแล ก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ไปอีกหลายเท่าตัว กลุ่มสาวน้อยมัธยมปลายมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนยอมเดินจากไปปล่อยทิ้งให้หล่อนอยู่คนเดียว
…‘อย่างที่คิด ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นฉันในสภาพนี้จริง ๆ แหละ’
“…” หญิงสาวอกหักถอนหายใจโล่งอกยินดีที่ไม่มีใครเข้ามาสอบถามหรือว่ากระตุ้นเตือนความทรงจำไม่ดีอีก
หลังจากจมปรักอยู่กับความเงียบเหงา ยืนทำความสะอาดเครื่องสำอางพร้อมแต่งหน้าใหม่มือทำงานไม่ขาดสาย ส่วนหัวสมองต่างครุ่นคิดเรื่องราวความสัมพันธ์แตกสลายของตนและเรื่องราวในอนาคตต่อจากนี้ด้วย
ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันทำอะไร
“…ฉัน”
“…” มือทั้งสองข้างหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่ใช่เพียงแค่มือทั้งสองข้างเท่านั้นแต่ยังรวมถึงไปห้วงความคิดมากมายล้วนว่างเปล่าหมดสิ้น กลายเป็นเพียงร่างเนื้อไร้ซึ่งความคิดจิตวิญญาณ
กระทั่งดวงตายังเริ่มกลายเป็นปลาตาย
…“ฉันเคยรักเธอนะ”
…“แต่ตอนนี้ไม่ได้รักเธอแล้ว”
…“เก็บดอกไม้ของเธอไปเถอะ”
ถ้อยคำของชายหนุ่มรูปหล่อคนที่หล่อนหลงใหลหลงรักยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมอง
“…” อาจเป็นเพราะว่าไม่มีใครยืนอยู่ข้างกาย ไม่มีใครคอยทักท้วงดึงสติ เมื่ออยู่ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งอย่างที่กดเอาไว้ก็เริ่มทยอยผุดขึ้นมาเหมือนกับเอาตอกไม้ไปอุดตาน้ำไม่ต้องการให้หลากหลายสิ่งอย่างออกมา น่าเสียดายที่มันเป็นการกระทำแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
เป็นเพียงแก้ไขปัญหาอย่างง่ายดายเท่านั้น
ปัง!
“!!!” หญิงสาวอกหักกระโดดถอยหลังตกใจ เสียงเมื่อครู่คล้ายเสียงกระแทกอะไรสักอย่างซึ่งมันดังมาก ดังมากพอร้องเรียกสติที่กำลังปั่นป่วนกลับคืนมาอีกครั้ง
หล่อนตบหน้าตัวเอง
“ตั้งสติเข้าไว้ ผู้ชายมันหาใหม่ได้ตลอดแหละ เพราะฉะนั้น” ดวงตาไม่อาจปกปิดร่องรอยเศร้าหมองก่อนน้ำตาทั้งสองจะไหลอาบทั่วทั้งใบหน้าหล่อนรีบพยายามเช็ดออกทั้งยังบอกกล่าวให้กำลังใจตัวเองไม่ขาดสาย
“เพราะฉะนั้นเข้มแข็งเข้าไว้สิ”
“…” ขณะหญิงสาวอกหักกำลังกลัดกลุ้มเรื่องราวชีวิต เรื่องราวในอนาคตต่อจากนี้ กลับต้องมาหยุดชะงักนิ่งเมื่อพบเห็นเบอร์โทรศัพท์คุ้นหน้าคุ้นตาโทรเข้ามา
หัวคิ้วขมวดอารมณ์เศร้าโศกทั้งหมดแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นขุ่นเคืองเจือปนรำคาญมากเรื่อง
“ณัชชาค่ะ”
“รับสายช้าจัง”
“กำลังขับรถอยู่ค่ะ” หล่อนเลือกโกหกหน้าตาย
“ก็จอดรับสายสิ มันยากตรงไหน? หรือถ้ารีบมามากนักก็ขับไปด้วยคุยไปด้วยก็ได้” อีกฝ่ายปลายสายไม่รู้จักคำว่ามารยาทระหว่างเพื่อนร่วมงาน มารยาททางสังคม หันเปลี่ยนมาใช้คำพูดกระแทกแดกดันหยิบโยนอารมณ์มากมายเข้าใส่โดยไม่มีเหตุผลหรือว่าต้นสายปลายเหตุ
เรียกได้ว่าพาลไม่เลือกหน้าก็คงไม่ผิดพลาด
“เข้าเรื่องเถอะค่ะ ฉันยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกนานพอสมควร”
“ก็ได้” ปลายสายเค้นเสียงไม่พอใจ “เมื่อไหร่ จะมาทำงานสักที”
“คือกำลังไปค่ะ” ณัชชาขมวดคิ้วไม่พอใจ ทำไมต้องใช้น้ำเสียงกระแทกแดกดันใช่ตัวเธอด้วย จำไม่เห็นได้เลยว่าไปสร้างปัญหาให้ เหมือนอีกฝ่ายยังไม่พอใจกับคำพูดของหญิงสาวยังต้องการขูดรีดเอาให้มากกว่านี้
เรียกได้ว่าแสดงท่วงท่าเป็นศัตรูให้เห็นแบบไม่คิดปิดบังเลยแม้แต่น้อย
“รีบมาเลย หัวหน้าต้องการงานของเธอเร่งด่วน ถ้าเธอไม่ต้องการจะทำ ไม่อยากจะทำก็เอามาให้ฉันซะ”
“วางไว้เอาแบบนั้นแหละค่ะ ไม่จำเป็นอย่าได้เข้ามายุ่งเด็ดขาด” ณัชชาเข้าใจจุดประสงค์อีกฝ่ายชัดเจน อีกฝ่ายคงไม่พ้นต้องการแย่งงานการหน้าที่ของตนไปเป็นของตัวเอง
น่าเสียดายที่หล่อนไม่ยินยอมปล่อยให้ทำแน่นอน
“ว่าไงนะ!”
“ก็บอกว่าอย่ายุ่งพูดไม่รู้เรื่องรึยังไง?!”