ฮาเร็มวุ่นวายของนายทราเวียร์ - ตอนที่ 1 รุ่นพี่ปากร้ายกับรุ่นน้องน่ารัก
ตอนที่ 1 รุ่นพี่ปากร้ายกับรุ่นน้องน่ารัก
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานพูดคุยกันสบายอารมณ์ เหล่าผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสทำงานตามระเบียบไม่มีอะไรผิดพลาดให้รู้สึกหนักอกหนักใจ
มันคือภายนอกที่ทุกคนเห็นแต่ภายในแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“…”
“ช่วยมาจัดการตรงส่วนนี้หน่อยเวียร์”
“ครับ” นับเป็นครั้งที่ห้าแล้วสำหรับการเดินไปเดินมาของทราเวียร์ รุ่นพี่สวมแว่นส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเดินวนเวียนรอบห้องตามคำร้องขอของรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมงานทั้งหลาย
ต้องบอกว่าไม่เว้นว่างให้พักผ่อนด้วยซ้ำเห็นเป็นใช้
“…เวียร์ หลังจากเสร็จแล้วมาหาพี่ด้วยนะ”
“มาหาผมด้วย ผมอยากให้พี่ช่วยทำงานส่วนนี้ให้หน่อย”
“ฉันด้วย”
“…” เป็นแบบนี้ประจำงานการส่วนไหนที่ไม่อยากทำ ไม่อยากเปลืองเรี่ยวแรงเปลืองสมองก็แค่โยนให้คนอื่นเป็นพอ โยนให้กับทราเวียร์ผู้เปรียบเสมือนถังขยะยอดเยี่ยมไม่ว่าจะโยนงานแบบไหนเข้าไปให้
ล้วนทำประสบผลสำเร็จออกมาได้ตลอดทั้งยังทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
…‘ทำไมไม่รู้จักทำด้วยตัวเอง ทำไมต้องโยนให้กับคนอื่นด้วย’
“น่ารังเกียจ”
“เป็นอะไรรึเปล่าเอริ?” รุ่นพี่ข้างโต๊ะทำงานปั้นหน้ายิ้มตรงเข้ามาหา สายตามองงานการบนโต๊ะกองโตหล่อนด้วยแววตาแปลกประหลาด เอริส่ายหน้าต่อให้อยากหักหน้าด่ากราดแต่บรรยากาศสถานที่ทำงานล้วนเป็นสิ่งสำคัญ
สุดท้ายปลายทางหล่อนเพียงยิ้มตอบกลับปรกติธรรมดาไปแทน
“เปล่าค่ะ”
“งานลำบากน่าดู ให้เวียร์เขาช่วยไหม?”
“ไม่ดีกว่าหนูทำเองได้”
“เหรอ” เห็นเอริไม่ยินยอมมันก็ส่ายหน้าเล็กน้อย “งั้นก็ตามใจละกัน”
“…” ยังไม่ทันได้ปรับอารมณ์ตั้งตัวอารมณ์เดือดดาลก็ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากรุ่นพี่คนดังกล่าวหน้าด้านเกินต้านทานหอบเอางานการตัวเองไปโยนให้กับทราเวียร์หน้าตาเฉย
ทั้งยังเป็นงานการเกือบทั้งหมด
“จัดการให้ทีดิ”
“…ครับ”
“นี่!” เอริลุกขึ้นเตรียมพุ่งเข้าไปพูดคุยให้รู้เรื่อง กลับโดนหักห้ามเอาไว้เสียก่อนน้ำเสียงอ่อนโยนมากไปด้วยเมตตาเป็นของรองหัวหน้าแผนก รุ่นพี่ที่หล่อนเคารพรักคอยช่วยเหลือตลอดมา
ตอนนี้กลับออกหน้าห้ามไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว
“เอริ” พลอยส่ายหน้า
“…” เอริกัดปากกำหมัดตัวเองแน่นพร้อมหันไปมองดูสถานการณ์ต่อ
“ใช่ ใช่ แล้วก็เมื่อวานเอกสารที่ให้นายทำไป มันมีหลายต่อหลายส่วนค่อนข้างยุ่งยากหากไม่ตรวจสอบให้ดีมันอาจผิดพลาดได้เพราะฉะนั้นเลยต้องตรวจสอบกันอีกรอบ ช่วยพี่หน่อยได้ไหม เอกสารมันต้องส่งวันนี้” นอกจากเอางานวันนี้โยนให้ทำเกือบหมดหลงเหลือเพียงแค่นิดหน่อย ยังมีหน้าไปถามหางานส่วนของเมื่อวานอีก
ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนร่วมงาน
“…” เสมือนหัวหน้าสั่งงานลูกน้องมากกว่า
แถมน้ำเสียงยังไม่ใช่น้ำเสียงร้องขอให้ทำ ไม่ใช่น้ำเสียงของคนขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่เป็นน้ำเสียงบีบบังคับให้ทำงาน บีบบังคับด้วยอำนาจและวัยวุฒิที่มากกว่า
“ช่วยหน่อยนะ พอดีวันนี้พี่รู้สึกไม่สบายหัวสมองมันคิดอะไรไม่ค่อยออก”
“…” ทราเวียร์มองเอกสารในมือก่อนตอบกลับไป “ไม่มีปัญหาครับในส่วนของเมื่อวาน ผมจะเร่งทำให้”
“ขอบคุณ อย่าลืมงานวันนี้ด้วยละ”
“ครับ จะส่งงานทั้งหมดให้ตอนเที่ยง” เห็นรุ่นน้องสวมแว่นยอมรับปากทำงานให้ง่ายดาย มันพยักหน้าชอบใจยิ้มหัวเราะตลอดเส้นทางเปิดเผยใบหน้าแจ่มใสที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ยากจะคิดว่าป่วย
เมื่อกลับถึงโต๊ะเพื่อนร่วมงานอีกหนึ่งถอนหายใจเหนื่อยหน่ายการกระทำน่ารังเกียจ
“เอาอีกแล้วแกนี่มันสารเลวสิ้นดี”
“ปากดีไปเถอะ มีให้ใช้ก็ต้องใช้สิวะ อย่าโง่”
“…อย่าให้มันเกินเลยละกัน”
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงฉันรู้ขีดจำกัดดี” ต่อให้ไม่ได้ยินเสียง ไม่อาจรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายสนทนาอะไรแต่พอเห็นรอยยิ้มแสยะพร้อมแววตาเย้ยหยันคล้ายมองมดปลวก มองข้าทาส
ยิ่งทำให้เอริรู้สึกย่ำแย่เข้าไปใหญ่
“…” หล่อนกำหมัดแน่นหันไปกล่าวกับรุ่นพี่สาว “ห้ามทำไมคะ?”
“เรามีงานใหญ่ต้องรับผิดชอบ เกิดทะเลาะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจนส่งผลกระทบไปถึงงานการ ไม่ว่าจะมากจะน้อยมันก็คือความเสียหาย และเมื่อเกิดความเสียหายก็ต้องมีคนรับผิดชอบผลที่ตามมา” พลอยตอบไม่คิดหักห้ามสถานการณ์ “เข้าใจว่าเธอรู้สึกไม่ชอบใจที่เห็นทราเวียร์โดนโยนงานให้ โดนกลั้นแกล้งแต่เชื่อเถอะนี่น่ะ เป็นทางเลือกที่เขาเลือกเอง เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการแก้ปัญหา”
จะบอกว่าขอเพียงงานใหญ่ประสบความสำเร็จไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น ต่อให้มีคนโดนกลั้นแกล้ง โดนเอาเปรียบ โดนใช้งานเหมือนข้าทาสคอยทำตามคำสั่งก็จะปล่อยผ่านไม่คิดช่วยเหลือทำเมินทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แบบนั้นมันเหมาะสมเหรอ
“…” ไม่ว่าเอริจะเข้าใจเหตุผลทั้งหมดหรือไม่มันก็แปรเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี “อย่างน้อยก็เวลานี้ละนะ”
“ไม่เห็นเข้าใจ” เอริหลับตาไม่อยากมองภาพชายหนุ่มสวมแว่นนั่งทำงานคนอื่นไม่ใช่งานของตัวเอง “ต่อให้มันเป็นเหตุผลก็เถอะ หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่สิ ไม่อยากเข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละ เรื่องแบบนี้มันไร้สาระเกินไปแล้ว”
“…นั้นสินะ”
—
ระหว่างทราเวียร์กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่คิดสนใจว่าเป็นเวลาพักผ่อน หรือว่าเวลาทำงานเสมือนกับว่าตนเองกลายเป็นเครื่องจักรทำงานเต็มเวลาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แก้วน้ำส้มถูกวางลงบนโต๊ะบางเบา
“…”
“หนูซื้อน้ำมาให้”
“เธอไม่ควรเข้ามาคุยกับฉัน” ชายหนุ่มสวมแว่นกล่าวเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์
“แค่ตอนนี้ค่ะ คนอื่นเขาออกไปกินข้าวกันหมดแล้ว คงไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าหนูอยากจะเข้ามายุ่งด้วย” เอริยิ้มแห้งเมื่อเจอทราเวียร์บอกปฏิเสธอัดหน้าไม่อยากให้เข้าใกล้
ทราเวียร์เพียงเหลือบมองเล็กน้อยพอประมาณก่อนก้มหน้ากลับไปทำงานต่อ
“…”
“ทำไม—”
“คำพูดพี่พลอย ฉันเห็นด้วยเกือบทั้งหมดความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานคือตัวกำหนดคุณภาพงานใหญ่ หากทำให้บรรยากาศในห้องสุขสบายพนักงานก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำงานโดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องราวเปล่าประโยชน์” ทราเวียร์ยังกล่าวต่อไม่เปิดช่องให้เอริเข้าแทรกแซง
“แต่หากปล่อยให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยเรื่องราวด้านลบ จนเกิดเหตุทะเลาะแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย 3 ฝ่าย หรือว่า 4 การทำงานจากยากอยู่แล้วจะยิ่งยากเข้าไปอีก ไม่ว่าจะด้านการประสานงาน แรงจูงใจ หรือทัศนคติ ทุกสิ่งอย่างจะถูกดึงเข้ามารวมกับเรื่องส่วนตัวจนแยกแยะอะไรไม่ออก นำไปสู่การตัดสินโดยยึดอารมณ์เป็นหลัก” ปากกาขีดเขียนไม่มีหยุดหย่อนทำงานไปตามอารมณ์เสมือนว่ากำลังพูดคุยเรื่องราวปรกติธรรมดาทั้งที่มันไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย
“เพราะฉะนั้นเลี่ยงได้ สมควรเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้นเป็นการดีที่สุด อย่างน้อยก็เวลานี้ละนะ”
“พูดเหมือนกับพี่พลอย”
“ก็ฉันเป็นคนไปพูดกับเธอเองนิ ว่าไม่อยากให้เข้ามายุ่ง”
“…” เอริปั้นหน้ายากใจหล่อนต้องการเข้ามาช่วยเหลือ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่อยากให้ทราเวียร์กลายเป็นถังขยะโดนโยนงานให้ทำไม่รู้จักจบจักสิ้นน่าเสียดายที่อีกฝ่ายแข็งกร้าวยืนยันหนักแน่นว่าไม่ต้องการช่วยเหลือ
ระหว่างกำลังครุ่นคิดหาวิธีการ
“ไปเถอะ พวกนั้นกลับมาแล้ว”
“…ค่ะ” หล่อนหันหลังเดินกลับโต๊ะด้วยท่าทีหม่นหมองปลดปล่อยกลิ่นไอดำมืดเศร้าโศกให้เห็น ก่อนหยุดนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินทราเวียร์กล่าว “ขอบคุณสำหรับความพยายามแต่เธอไม่จำเป็นต้องไปคิดมากหรอก แล้วก็น้ำส้มแก้วนี้ด้วย ขอบคุณมากเอริ”
รอยยิ้มงดงามเปิดเผยให้เห็น
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเต็มใจ!”
“ตะโกนเสียงดังรบกวนคนอื่นเขา”
“…ฮิฮิฮิ”
“ยิ้มน่าเกียจกลับไปทำงานต่อได้แล้ว” ทราเวียร์ถอนหายใจบ่นด่ารุ่นน้องสาวที่ดีใจจนออกนอกหน้า ผิดกับตอนอยู่กับคนอื่น เมื่อเขาอยู่กับเอริสีหน้าท่าทางล้วนแตกต่างราวกับเป็นคนละคน
อยู่กับเพื่อนร่วมงานเขาคือคนนิ่งเงียบทำงานไม่มีปากเสียง อยู่กับหล่อนเขาคือคนขี้บ่น มากไปด้วยถ้อยคำเหนื่อยหน่ายด่าไม่มีพัก ซึ่งอย่างไหนเป็นตัวตนแท้จริงคงไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้เสียเวลา
…‘พอได้คุยกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้คุยมานาน มันดันเกิดรู้สึกไม่อยากกลับไปนั่งโต๊ะนี่สิ อยากคุยต่อจัง’
“…”
“มองอะไร?”
“คือแค่ช่วงตอนกลางวัน แค่กลางวันอย่างเดียว เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหมคะ?” เห็นแววตามากไปด้วยความคาดหวังของหญิงสาว ทำเอาชายหนุ่มสวมแว่นต้องหรี่ตาก่อนส่ายหน้า
ปฏิเสธแข้งกร้าวไม่คิดพูดคุยต่อ
“ไม่ เลิกคิดไปได้เลย”
“ทำไมอะ หนูว่าระยะห่างไร้สาระที่รุ่นพี่พูดถึงเราเลิกทำเถอะ กลับไปเป็นเหมือนเดิมดีกว่าเยอะเลย”
“เสียเวลาเปล่า ต่อให้เธออยากพูดมากกรอกรูฉันโน้มน้าวให้ฉันทำตาม” ทราเวียร์เอ่ยขึ้นมาช้า ๆ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธการกระทำของหล่อน “มันก็เปล่าประโยชน์ ฉันไม่มีทางเปลี่ยนการตัดสินใจตัวเองแน่นอนต่อให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะต้องทำตอนอยู่บริษัทแห่งนี้ละนะ”
เนื่องจากเหตุผลหลากหลายประการความสัมพันธ์ระหว่างทราเวียร์กับเอริจำต้องปกปิดไม่ให้ใครคนอื่นรับรูั ผลก็คือเขากับหล่อนจำต้องเว้นระยะห่างไม่คิดเข้าใกล้ ไม่พูดคุยให้ผู้อื่นพบเห็น แน่นอนว่าทราเวียร์ยังคงรักษาสัญญาเอาไว้ได้ไม่มีปัญหาผิดกับอีกหนึ่งนางที่เริ่มหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
เอริยิ้มหวานเข้าไปออดอ้อนชายหนุ่มหวังอยากให้ลดเงื่อนไขลง
“แต่หนูยังอยากอยู่ต่อ~”
“อย่ามาวุ่นวายบอกให้ไป”
“นิดหน่อยเอง~” ต่อให้รับรู้ผลลัพธ์สุดท้ายแต่หล่อนก็ยังอยากลองอยู่ดี
และผลที่ได้รับกลับมาก็ไม่แตกต่างไปจากจินตนาการเท่าไหร่
“…” สายตาคมกร้าวจ้องมองกลับแข็งขืนไม่ยินยอมให้โอนอ่อนทำเอาหล่อนขนลุกไปทั่วทั้งตัว วันนี้ไม่ได้ใช่ว่าวันอื่นจะล้มเหลวไม่เป็นท่า กลยุทธิ์ยอดเยี่ยมที่สุดถูกหยิบยกเอามาใช้งาน
นั้นคือถอยห่างยอมละโอกาสทั้งหลาย
…‘ครั้งนี้ไม่ได้ก็ต้องครั้งต่อไปค่ะ ไม่ยอมแพ้แน่นอน’
“ค่ะ ไปแล้วค่ะ!” เอริยิ้มหัวเราะตอบรับเต็มเสียง
“ให้ตายสิ” ทราเวียร์ถอนหายใจ