อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต - ตอนที่ 89
มันก็ผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่ฉันได้รับพลังแห่งดวงดารา
ตอนที่ฉันกับพี่ชายซึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวของฉันที่เหลืออยู่ ใช้ชีวิตอยู่ภายในดวงดาวที่กำลังจะตายโดยไม่รู้เลยว่าพวกเราทั้งสองจะอยู่ได้ไปถึงเมื่อใด พวกเราก็ได้ยินเสียงกระซิบจากห้วงอวกาศ
เซเลสเทีย…ซีกัล
ยักษาแห่งเนบิวลาที่เป็นแสงสว่างภายในความมืดมิดทั่วจักรวาล มอบพลังให้กับเรา
『พลังแห่งดวงดาราคือพลังที่เชื่อมโยงระหว่างดวงดาว』
『จักรวาลกำลังตกอยู่ในวิกฤต』
『ความอาฆาตขนาดมหึมากำลังกลืนกินจักรวาล』
『นักรบทั้ง 5 รวมถึงพวกเจ้าต้องจับมือกันเพื่อเอาชนะความชั่วร้ายและนำความสงบสุขมาสู่จักรวาลแห่งนี้』
ว่ากันตามตรงฉันไม่ได้สนใจความสงบสุขอะไรนั่นเลยสักนิด
อยากจะสาปแช่งดวงดาวที่บัดซบนี่ที่ทำให้ฉันกับพี่ต้องมาเจอความโหดร้าย
อยากจะละทิ้งวิถีชีวิตที่ดำเนินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย รอเพียงแค่วันตาย อยากจะชมทิวทัศน์ที่แตกต่างออกไป
ดังนั้นฉันจึงยอมรับพลังนั้นโดยไม่ได้สนใจว่ามันคืออะไรและต้องต่อสู้กับอะไรกันแน่
….ทว่ากว่าฉันจะรู้ตัว ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว
「ฮายยย เยลโล่」
「……เธอต้องการอะไร」
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งอยู่คนเดียวในห้องทดลองของยานแม่ ไรเดอร์สีชมพูที่ชวนขนลุก หญิงสาวผู้นำปัญญหาทั้งหลายเข้ามาได้ปรากฏตัว
ร่างของเธอได้ปลดการแปลงร่างออกแล้ว ซึ่งสิ่งที่เห็นก็คือร่างของหญิงสาวชาวโลกที่ผมยาวมาถึงไหล่
「อย่าพูดใจไร้เยื่อใยใส่กันแบบนี้สิ รู้หรือเปล่าว่าฉันชอบเธอจริงๆ นะ? 」
「อยากจะอ้วก」
ฉันรู้สึกขยะแขยงฮิลด้า ก็เลยไม่จำเป็นต้องทำอะไรดีด้วย
เพราะยัยนี่ พิ้งค์เลยเกือบจะถูกทำลายทิ้ง
ไม่มีทางที่ฉันจะเชื่อใจยัยนี่ได้ โดยเฉพาะการที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าในหัวของยัยนี่มีแผนอะไร
ถึงเรดกับกรีนจะมองว่ายัยนี่เป็นคนที่มีประโยชน์ในฐานะขุมพลังใหม่ แต่ว่า….
「เครื่องช่วยชีวิตดูเหมือนจะทำงานได้ปกติดีสิน้า? 」
ฮิลด้ามองเข้าไปในหลอดแก้ว
ภายในนั้นมีร่างของพิ้งค์กำลังหลับใหลอยู่
「…ไม่รู้เลยว่าเธอจะตื่นขึ้นมาตอนไหน แถมจะกลับมาเป็นปกติหรือเปล่าก็รับประกันไม่ได้…」
「แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ตายๆ ไปซะล่ะ? 」
「……หา!」
「อุ้ย น่ากลั๊วน่ากลัว」
ฉันจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย ฮิลด้าก็ยกมือขึ้นมาทำท่าเหมือนจะขอโทษแล้วก็เดินไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม
「เธอมาทำอะไรกันแน่」
「ก็แค่มีบางอย่างอยากจะให้เธอเห็นน่ะ」
「……」
「ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้น ฉันแค่อยากอวดผลงานที่ทำมาให้ใครสักคนฟังน่ะ」
「……ผลงาน? 」
ฉันจำได้ว่าฮิลด้าของห้องทดลองส่วนตัวกับเรด เธอใช้มันทำอะไรในช่วงสั้นๆ แบบนี้กัน?
「โดยพื้นฐานก็เสร็จสิ้นไปแล้ว ที่เหลือก็แค่ต้องหาสถานที่ใช้…..ตั้งแต่ได้มาเป็นสมาชิกของเซไคเซ็นไต ก็ได้ห้องทดลองใหม่ที่สุดสะดวกสบายมา จึงต้องแสดงผลลัพธ์ที่เหมาะสม」
「เอาเป็นว่าคืออยากจะให้ฉันไปดูใช่ไหม? 」
「อื้อ มีอะไรมากมายอยากจะให้เธอได้เห็นน่ะ!」
….ถึงจะปฏิเสธ ยัยนี่ก็คงตามตื้ออีก
ฉันถอนหายใจแล้วปล่อยมือจากคอนโซลในมือก่อนจะตั้งระบบให้ทำงานแบบอัตโนมัติ
จากนั้นก็เดินตามฮิลด้าที่เดินนำไปด้วยความร่าเริง โดยมีพิงค์หลับไหลอยู่ข้างหลัง
「เอ้า ถึงแล้วจ้า!」
ด้วยการใช้วาร์ปที่เชื่อมต่อระหว่างยาน พวกฉันจึงมาถึงหน้าประตูห้องทดลองของฮิลด้าอย่างง่ายดาย
ฮิลด้าเปิดประตูและปิดมันอย่างรวดเร็วเมื่อฉันเข้าไปข้างใน แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของฉันก็คือ———
「นี่มัน อะไรกัน……」
———แคปซูลจำนวนมกาได้เรียงกันเป็นจำนวนมาก
มีคนอยู่ข้างในเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอใช้ระบบช่วยชีวิตในการ…ไม่สิ ไม่ใช่
「พวกเขาตายหมดแล้วสินะ……? 」
ใบหน้าที่ฉันเห็นภายในนั้นช่างคุ้นเคย
「เพราะคนพวกนี้……」
「ใช่แล้วลำดับที่ 30 ถึง 21 ที่พวกเธอฆ่าทิ้งไปไง」
「ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้……? 」
การสังหารลำดับที่ 30 ถึง 21 เป็นการตัดสินใจของเรดเพียงผู้เดียว
ส่วนสาเหตุก็เพราะเขาทนรอไม่ไหวแล้ว เลยอยากจะลัดคิว
「อ้อ ฉันเก็บมาน่ะ พอดีคิดว่าอาจจะเอามาใช้ประโยชน์ในภายหลังได้」
「ใช้ประโยชน์……? 」
ยัยนี่พูดบ้าอะไรกัน
เก็บศพพวกนี้มาเพราะคิดจะหาทางใช้งานเนี่ยนะ?
「อันที่จริงยังเหลือของในสต็อกอีกนะ…..จะบอกว่านี่แค่น้ำจิ้มก็ได้」
「เธอคิดจะทำอะไรของเธอกันแน่……? 」
ไม่มีทางที่การรวบรวมเอาศพของลำดับดวงดาราจะเป็นความคิดที่ดีแน่นอน
ทว่าฮิลด้าก็ยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะหยิบเอาเซไคเชนเจอร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์แปลงร่างของมอทัลพิ้งค์ออกมาจากกระเป๋า
「เธอคงรู้อยู่แล้วว่าอุปกรณ์แปลงร่างนี้ไม่ใช่แค่สิ่งที่มีไว้ดึงพลังแห่งดวงดาราออกมาใช้ได้ แต่มันยังเป็นอุปกรณ์ในการกรองพลังนั้นด้วย」
「เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว……อย่าบอกนะว่า!」
「จ้า ตามนั้นเลย!」
『FEAR STEAM GUN』
ฮิลด้านำปืนขึ้นมาไว้ในมือของเธอ ก่อนจะเล็งไปยังแคปซูลที่ใกล้ที่สุดแล้วเหนี่ยวไก
「แล้วก็นะๆ! พอเอางานวิจัยของเกาส์ที่ทำกับสัตว์ประหลาดบนโลกมาผสมด้วยแล้วกันก็จะได้แบบนี้!!」
ศพที่อยู่ภายในแคปซูลถูกควันสีม่วงปกคลุมเอาไว้ จนฉันไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย ไม่นานนักเสียงที่ชวนขนลุกก็ดังขึ้นมาจากภายในแคปซูล
「ฉันจะให้เธอได้เห็นของดี」
ฮิลด้าควบคุมเทอร์มินัลในมือแล้วเปิดแคปซูลออก
จากนั้นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากศพในแคปซูล
สัตว์ประหลาดที่รูปร่างคล้ายมนุษย์ ตรงแขนมีใบดาบที่แหลมคมพร้อมกับกรงเล็บที่ยืดยาว
ไม่มีอารมณ์ใดๆ สะท้อนออกมาจากดวงตาที่เหลืองของมัน ชวนให้รู้สึกขนลุกกว่าเดิม
「……อึก」
ฉันพูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปจากเดิมจนไม่เห็นร่องรอย
「ถ้าจะตั้งชื่อ ก็เอาเป็นสัตว์ประหลาดดวงดาราเป็นยังไง น่าจะเหมาะเนอะ? 」
「อะ……อุ……」
「แหม่ๆ งั้นก็มาดูหน่อยซิ เจ้านายของแกคือใครเอ่ย? 」
สิ่งที่ถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาดดวงดาราค่อยๆ ยกมือที่เหมือนอาวุธร้ายขึ้นแล้วชี้นิ้วไปทางฮิลด้าและฉันที่อยู่ข้างหลังเธอ
「เจ้า นาย……」
「โย้ช! เด็กดีๆ การทดลองประสบความสำเร็จจ้า! ดีใจจริงๆ ที่ผลลัพธ์มันออกมาดี」
ฮิลด้ายิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสาก่อนจะลูบหัวสีดำของสัตว์ประหลาดดวงดารา
ยัยนี่ทำให้สิ่งนี้เชื่อฟังได้เหรอ?
เพราะพลังของมันที่ฉันสัมผัสได้นั้นแกร่งสุดๆ จนไม่น่าเชื่อว่าเธอจะคุมไหว….
「เป็นไงล่ะ น่าทึ่งสุดๆ เลยล่ะสิ? 」
「เธอจะทำอะไรกับมันกัน? 」
「สัตว์ประหลาดดวงดารา…ที่เป็นข้ารับใช้ของเราเซไคเซ็นไต เรียกง่ายๆ ก็คือพวกลูกน้องไง」
การจะหาลูกน้องมันต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ?
「แล้วเธอคิดจะใช้พวกมันทำอะไรกัน……!!」
「แน่นอนสิว่าต้องเอาไปสู้!」
ฮิลด้ายิ้มอย่างมีความสุข
ในขณะที่ฉันรู้สึกขนลุกสุดๆ กับใบหน้าของเธอ มันเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมากเสียจนไม่คิดว่าจะออกมาจากใบหน้าของมนุษย์โลก จากนั้นเธอก็พูดต่อ
「ในที่สุด เรื่องปัญญาอ่อนอย่างการให้เขาเติบโตด้วยปลาตัวเล็กๆ ก็จบลงแล้วนี่นา ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีก!」
ฮิลด้าพูดจบก็หันไปหาสัตว์ประหลาดดวงดารา
「ก่อนอื่นก็ต้องมาดูกันสักหน่อยว่าเด็กคนนี้มีความสามารถมากแค่ไหน คงต้องดูด้วยว่าพลังที่จะดึงออกมาใช้ได้เท่าไหร่ การทดลองขั้นถัดไปเริ่มแล้วจ้า!」
……。
ฉันทำอะไรไม่ได้เลย
การกระทำของฮิลด้าก็ไม่ต่างอะไรกับเรดที่สนใจแต่เรื่องของตัวเองโดยไม่มองคนรอบข้าง
จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราต่อไปกันนะ
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจเลยก็คืออนาคตข้างหน้ามันไม่ได้สวยหรูแน่นอน
***
ดูเหมือนฉันจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสำนักงานใหญ่ที่โดนโจมตีง่ายกว่าที่คิด
แม้ว่าจะต้องผ่านขั้นตอนอะไรนิดหน่อยแต่ก็โล่งใจที่สามารถไปยังห้องขังได้
ไม่ใช่ว่าว่างถึงขนาดหาอะไรทำหรอก
แต่มันเป็นสถานที่ที่ความทรงจำหลายๆ อย่างวนเวียนอยู่ก็เลยอยากจะมาเห็นก่อนไม่มีโอกาส
「……」
「……」
「……」
「……」
เมื่อพวกเราทั้งหมดมาเจอกัน ก็ตัดสินใจตรงไปยังสำนักงานใหญ่…แถมลักษณะการเดินก็เหมือนกับทุกครั้ง อากาเนะ อาโออิ คิราระ เดินล้อมฉันเอาไว้
「รอเดี๋ยวนะ……!」
ฉันที่เดินอยู่ตรงกลางของเหล่าสาวๆ ที่สวมชุดปลอมตัวแบบแปลกๆ กันออกมาจนทำให้สายตาของคนรอบๆ สนใจหนักกว่าเดิม
「ไอ้แบบนี้มันจะดีเหรอฟะ!? 」
「อย่าพูดสิคัตสึมิคุง พวกฉันต้องระวังไม่ให้คนอื่นรู้ตัวนะ」
「นายบ่มีทางฮู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง」
「เดินตามมาแบบปกติ」
ปลอมตัวแบบไหนกันฟ ไอ้แบบนี้มันยิ่งเด่นกว่าเดิมเสียจนมองจากดาวอังคารยังรู้เลยมั้ง!
「ฉันก็ปลอมตัวแล้วนี่ไง!」
「ไม่ได้หรอก เพราะโอกาสที่ใครบางคนจะรู้ถึงตัวตนของนายผ่านเสียงกับท่าทางไม่ใช่ศูนย์เสียหน่อย」
「เอาจริงดิ…ว่าแต่ทำไมพวกหล่อนถึงไม่เนียนเดินตามแทนฟะแบบนั้น」
มันมีด้วยเหรอไอ้พวกโรคจิตที่รู้ได้ด้วยเสียงกับท่าทาง?
น่ากลัวชิบ
「เอาเป็นว่าที่พวกเธอทำมันผิดปกติเกินไป ช่วยเดินกันแบบที่คนเค้าทำเถอะ」
ฉันถอนหายใจแล้วเดินต่อ
พวกเรานั่งรถไฟจากบ้านของอากาเนะตรงไปยังสำนักงานใหญ่จัสติสครูเซเดอร์
ปัจจุบันพื้นที่รอบๆ ถูกปิดเอาไว้โดยอนุญาตให้เฉพาะผู้เกี่ยวข้องเข้าไปได้
「จากนี้คงต้องเข้าไปทางลับแทนสินะ? 」
「อื้อ อันที่จริงก็เคยใช้อยู่สองสามครั้ง ไม่มีปัญหา」
ฉันเข้าไปที่ซอยร้างใกล้ๆ กับสำนักงานใหญ่
มันเป็นซอยมืดเพราะแสงอาทิตย์ส่องมาไม่ถึง
「นี่มัน」
ทางตันที่ไม่น่าจะมีอะไรอยู่
จากนั้นอาโออิก็ยกอุปกรณ์แปลงร่างในมือขึ้นมากดอะไรบางอย่าง จากนั้นกำแพงก็ส่องแสงสีแดงออกมาเหมือนสแกนอะไรสักอย่างก่อนจะเปิดเป็นทางเดินทอดยาวลงไปข้างล่าง
「โห……」
「ดูเหมือนประธานจะยังเปิดใช้เครื่องสำรองพลังงานสินะ」
「เอาล่ะ ไปกันเถอะ」
พอได้เห็นทางที่เหมือนประตูลับแล้วมันก็ชวนให้ใจเต้นแปลกๆ
แม้สำนักงานใหญ่จะโดนโจมตีไปอย่างหนัก แต่เหมือนใต้ดินจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยสักนิด แกร่งชะมัด
พอลงบันไดไปได้สักพัก ภาพที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏตรงหน้า
「เข้ามาถึงนี่เลยสินะ……」
「ใช้ได้แค่กรณีฉุกเฉิน」
เนื่องจากสำนักงานใหญ่ของจริงอยู่ใต้ดินก็เลยไม่ได้รับผลกระทบอะไรนัก
ทว่าอุปกรณ์สำคัญหลายๆ อย่างเหมือนจะโดนยนย้ายออกไปแล้ว
ฉันไม่สนใจและมุ่งตรงไปยังห้องขังทันที
「……เห้อ รู้สึกเหมือนผ่านมานาแล้วจริงๆ วุ้ย」
ภายในห้องยังคงเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่ดูไม่เหมือนห้องขังเลยสักนิด
ไม่ว่าจะของขวัญจากพวกเรมะ ของที่อากาเนะกับคนอื่นๆ เอามาตั้งไว้
อันที่จริงฉันก็เคยมาตอนเสียความทรงจำไปอยู่หรอก แต่ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน
「……ปกติพวกเราก็มากันที่นี่แหละ」
「หือ? 」
ฉันหันไปหาอากาเนะที่ชี้นิ้วไปยังโต๊ะตรงกลางห้อง
「หมายถึงพวกเธอมานั่งคุยกันตรงโต๊ะนี้เหรอ แถมยังมี 5 ตัวอีก」
「อื้อ ก็มีอัลฟ่าจังอยู่ด้วยนี่นะ เธอชอบมาวนเวียนอยู่ในห้องนี้บ่อยๆ น่ะ」
ถ้าเป็นยัยนั่นที่ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระก็คงมีบางครั้งที่มาแหละมั้ง
อาจจะเป็นเพราะฉันความจำเสื่อมด้วยเลยเกิดเหงาหรือเปล่าหว่า
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งเป็นประจำ จากนั้นพวกอากาเนะก็นั่งลงตามราวกับรู้ที่ของตัวเอง
「ว่าแต่โซระเป็นยังไงบ้างคิราระ? 」
「โซระ? อ้อคอสโม่จังนะเหรอ? 」
….อ้อ จะว่าไปชื่อจริงยัยนั่นคือคอสโม่นี่หว่า
ฉันคงต้องตั้งสติใหม่เสียหน่อยว่าโซระเป็นชื่อปลอม
「เด็กคนนั้นก็เข้ากับครอบครัวของพวกเราได้ในทันทีเลย….มั้ง」
「อ้า……ก็งั้นแหละมั้ง」
ครอบครัวของเธอก็เป็นครอบครัวที่ดี
ถึงฉันจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ครอบครัวปกติจริงๆ ควรเป็นเช่นไรก็เถอะ แต่อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ฉันคิด
「นานากะกับโคตะเหมือนจะบ่ชอบเท่าไหร่ที่คัตสึมิคุงหายไปตอนแรก แต่หลังจากพวกเขาเล่นกับคอสโม่จัง ก็เรียกว่าได้สานสัมพันธ์กันได้ดีจนเป็นเพื่อนเล่นเกมที่ดี」
***
「ฮ่าๆ! ฉันขึ้นน้ำแล้ว เจ้าพวกเด็กเวร!! ฉันจะทำให้พวกนายเสียใจที่มาดูถูก—โอ้ย กระดองงงงงงง?!」
「โดนเข้าเต็มๆ! ทีนี้ก็นำแล้ว!」
「โย้ช」
「โฮก」
「เดี๋ยวก่อนสิ ไม่ยุติธรรมเลย เลโอ! ทำไมถึงได้เก่งขนาดนี้เนี้ย…ไม่สิ ก่อนหน้านั้น แกเป็นคนยิงใส่ฉันสินะ!? 」
***
「อ้า……พวกนั้นสนุกกันน่าดู……」
「นะ นั่นสินะ ต้องสนุกมากแน่ๆ 」
แม้ว่าจะเคยเจอกับอะไรพวกนี้
แต่ฉันก็ดีใจที่ยัยนั่นปรับตัวได้
「แล้วบ้านของอากาเนะล่ะ? 」
「เป็นบ้านที่ดีนะ พี่สาวสองคนของเธอก็เป็นคนดี」
「คัตสึมิคุง ยัยพวกนั้นไม่ใช่คนดีหรอก ยัยพวกนั้นก็แค่พวกของขาดที่ทำอะไรตามใจชอบต่างหาก」
「นั่นพี่สาวหล่อนนะเห้ย!? 」
ทำไมถึงพูดเย้ยพี่สาวตัวเองด้วยรอยยิ้มขนาดนั้นได้ฟะ?!
ว่าแต่บรรยากาศแปลกๆ นี่มันอะไรกัน?
หรือฉันไม่ควรจะพูดเรื่องครอบครัวของคนอื่นดีกว่า
เปลี่ยนเรื่องดีกว่ามั้ง
「ฉันมีน้องสาว」
「หือ ก็แปลว่าพวกเธอทุกคนมีพี่น้องหมดเลยสินะเนี่ย」
「หมายความว่าฉันเองก็มีคุณสมบัติของพี่่สาวอยู่ในตัวด้วย!!」
「……? ว่าแต่เธออายุน้อยกว่าฉันจริงเหรอเนี่ย? 」
「คิ้ววว」
จะทำเสียงแปลกๆ เพื่ออะไรกันฟะ?
หันถึงกับรู้สึกคันยิบๆ เมื่ออาโออิทำตัวแปลกๆ
「จะ จะโดนปฏิบัติราวกับเป็นน้องสาวแล้ว….」
「ช่วยอย่าทำตัวแปลกๆ ได้บ่? 」
「น่ารำคาญจริงๆ หรือจะจัดการกับยัยนี่เลยดีนะ? 」
คิราระกับอาโออิได้มาสะกิดขอความเห็นฉันด้วยซะงั้น
การพูดคุยที่ไร้สาระนี้ช่างชวนให้นึกถึงวันเก่าๆ
「……ที่นี่เกิดอะไรขึ้นเยอะจริงๆ 」
ฉันพ่ายแพ้ให้กับพวกเธอและถูกจับมาขังเดี่ยวในห้องนี้
ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มันกลับสนุกกว่าที่ฉันคิดเอาไว้
แม้จะต้องยอมรับความจริงที่ว่ายัยพวกนี้มันเพี้ยนกันทุกคนก็เถอะ
「คัตสึมิคุง ว่าแต่ทำไมถึงอยากมีที่นี่เหรอ? 」
「หือ? ก็ไม่ใช่เหตุผลพิเศษอะไรหรอก จะว่ายังไงดีล่ะ มันเป็นเรื่องที่ยากจะพูดออกมาได้ในสถานที่ปกตินะ…ฉันก็เลยอยากจะมาที่นี่เพื่อพูดอะไรบางอย่างให้มันชัดเจน」
ฉันได้ตอบคำถามที่อากาเนะเคยถามอีกครั้งให้ชัดเจนขึ้น
ถึงจะไม่ใช่เหตุผลพิเศษอะไรนัก แต่บางอย่างบอกกับฉันว่าฉันควรพูดมันตอนนี้ ณ ที่แห่งนี้
「อุ ขอแต่งงาน? 」
「จะบ้าเรอะ? 」
「……」
พอฉันตอบกลับแบบนั้นอาโออิก็หมดสภาพล้มตัวลงบนโต๊ะ
อะไรของยัยนี่ฟะ
ทางอากาเนะกับคิราระเองก็เหมือนจะทำท่าผิดหวังแปลกๆ
「….ตั้งแต่ความทรงจำกลับมา ฉันก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับพวกเธอจริงๆ จังๆ เสียที」
「ก็มีเรื่องวุ่นๆ เยอะเลยนี่เนอะ」
ทั้งที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ถูกเปิดเผย จนต้องย้ายของหนี
ฉันที่ไม่มีที่ไปเลยต้องไปหาจุดซุกหัวนอนใหม่
กว่าจะหาโอกาสคุยกับพวกเธอพร้อมกันทั้ง 3 คนได้ก็ผ่านมาพักใหญ่ๆ
「พวกเธอจำวันที่ฉันเสียความทรงจำไปได้ไหม? 」
ทั้งสามพยักหน้าให้กับฉัน
ในระหว่างที่ฉันกำลังคุยกับพวกเธอ ในวันนั้นพวกผู้กอบกู้ก็เข้ามาโจมตีเสียก่อน
สุดท้ายฉันก็เสียความทรงจำแล้วสร้างปัญหาให้กับพวกเธอ
แต่ว่ายังไงคำพูดในวันนั้นก็เป็นสิ่งที่ฉันควรจะพูดให้มันชัดเจน
แม้จะทำให้ฉันต้องมาบิดตัวอายเอาทีหลังก็เถอะ
「ในตอนนั้นที่ฉันบอกว่าฉันสามารถรวมทีมกับพวกเธอได้แล้วนั่นฉันพูดจริงนะ….ถึงจะเคยต่อสู้ด้วยกันมาหลายครั้งแล้วก็เถอะ มาพูดเอาป่านนี้อาจะสายเกินไป แต่ความตั้งใจของฉันไม่เคยเปลี่ยน」
「คัตสึมิคุง……」
「เฮ้อ พูดไปจนได้สินะ….ให้ตายสิ เขินชะมัด」
ฉันก็รู้ตัวหรอกว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะกับตัวฉันเลยสักนิด
แต่ถึงจะน่าอายขนาดไหนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดต่อ
「จากนี้ก็หวังว่าอะไรๆ มันจะดีกว่าเดิม ดังนั้นได้โปรดเป็นพวกกับฉันด้วยเถอะ」
ฉันพูดคำเหล่านี้ออกมาด้วยความเขินอายพร้อมกับจ้องมองไปยังอากาเนะและคนอื่นๆ
จากนั้นพวกเธอก็แสดงอาการตกใจออกมา
「ไม่จริง……」
「คัตสึมิคุง…」
「เดเระแตก……? 」
「อ่านบรรกาศหน่อยสิฟะ!? 」
ไม่รู้เลยหรือไงกว่าฉันจะพูดออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย?!
「มันก็ประมาณนี้แหละ!!」
「อ่ะ อื้อ แน่นอนสิ จากนี้ไปพวกเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้ว!」
「งะ งั้นพวกเราก็ออกไปฉลองกันดีบ่? 」
「รูทยังไม่ถูกปิดโดยสมบูรณ์สินะ? 」
「ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ ซะเองฟะ!!」
แต่แบบนี้ก็พูดได้แล้วหรือเปล่านะว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วจริงๆ!?
「ถ้างั้นก็หมายความว่าพวกเราเป็นเพื่อนกลุ่มแรกของนายสินะ? 」
「ไม่หรอก พวกเธอไม่ใช่เพื่อนกลุ่มแรกของฉัน」
「เอ๋!? แล้วใครกันเป็นคนแรกของนาย!? 」
「ผู้หญิงที่นั่งข้างฉันตอนเรียนอยู่น่ะ」
「!!? 」
ทำไมถึงทำหน้าตกใจเหมือนคนอย่างฉันมันจะไม่มีใครคบกันฟะ!!
ฉันมีเพื่อนกับเขาเหมือนกันนะเฟ้ย น่าจะหนึ่งหรือสองคนนี่แหละหากให้นับ
ในขณะที่บรรยากาศกำลังดำเนินไปในทิศทางแปลกๆ เครื่องแปลงร่างในมือของพวกเราก็ส่งเสียงขึ้น
นี่มัน…..
『แจ้งเตือน! เอเลี่ยนบุก! เอเลี่ยนไม่ทราบชื่อปรากฏขึ้นตามสถานที่ต่างๆ แล้วออกอาละวาดแล้ว!!』
「ว่าไงนะ!」
『พวกมันมีด้วยกัน 5 ตัว! ฉันจะส่งพิกัดไปให้พวกเธอเอง รีบมุ่งหน้าไปเดี๋ยวนี้เลย!!』
พวกเอเลี่ยนมันบุกไม่สนวันหยุดจริงๆ
ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดบนโลกเลย
ถึงจะเป็นแบบนั้นก็อดรำคาญใจไม่ได้จริงๆ
「พวกเราไปกันเถอะ」
「อื้อ!」
「จัดมาเด้」
「โกโก」
ฉันลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกห้องขังไป
ในจังหวะสุดท้ายที่วิ่งออกไปฉันได้หันหลังกลับไปมองมันอีกครั้ง
「……ในที่สุดฉันก็สามารถก้าวออกมาได้แล้วจริงๆ สินะ」
ในอดีตที่ต้องค่อยต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดเพียงลำพัง
ทั้งที่เคยคิดว่าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ แต่การได้รวมพลังกับคนอื่นนี่มันก็ไม่เลวแฮะ
ในเมื่อโลกยังตกอยู่ในอันตรายการต่อสู้ของฉันก็ยังไม่จบ
———ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องโลกใบนี้ไว้
–จบ—
เนื้อเรื่องของฮารุจะอยู่ในภาคแยกนะครับ รอจบบทนี้ก่อนละกันค่อยลง
มาเม้ามอยหลังอ่านกันได้ที่เพจนะครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code