อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต - ตอนที่ 137 โลกคู่ขนาน 14
สามวันแล้วตั้งแต่ฉันมาเข้าร่วมกับกองกำลังนี้
ตอนนี้ทุกคนในฐานได้รับรู้ถึงตัวตนของฉันหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เกิดความวุ่นวายอะไรเหมือนที่ฉันคิดไว้นัก จากที่อากาเนะบอกเหมือนพวกเขาจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำที่ทำให้สถานที่แห่งนี้สะดวกสบายสุดๆ
「……เห้อ」
ตอนนี้ฉันอยู่บนดาดฟ้าของฐาน
รูโหว่ที่ฉันเคยระเบิดจนเป็นรูได้รับการซ่อมแซม ตอนนี้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างปกติ ฉันนั่งพิงราวกั้นก่อนจะจ้องมองไปยังภาพเบื้องล่าง
「เละสุดๆ」
ทิวทัศน์ของเมืองเปลี่ยนไปจนฉันไม่คุ้นตา
อาคารและตึกที่พังทลาย ถนนที่เละจนไม่สามารถเรียกว่าถนนได้อีกต่อไป
ฉันไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลยว่าโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจะออกมาแบบไหน
พอได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ ….มันอาจจะเป็นโลกที่หากตัวฉันพ่ายแพ้ให้กับพวกเอเลี่ยนก็ได้
「คัตสึมิคุง รู้ไหมว่า 30% ของเศษซากพวกนี้มันฝีมือนายน่ะ」
「……อึก」
「ระหว่างที่ต่อสู้กับโลกา นายก็จัดหนักจัดเต็มจนอาคารบ้านเรือนเละไม่เป็นท่าเลยน้า」
「หนวกหูน่า……」
ฉันถอนหายใจให้กับฮิลด้าที่โผล่มาหาฉันซึ่งกำลังนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน
ชอบมาเกาะติดไม่เลิกจริงๆ
「นี่เธอน่ะ」
「อะไรเหรอ?」
「พอกลับไปโลกเดิมแล้วเราต้องเป็นศัตรูกันจริงเหรอ」
「แน่นอนสิ เพราะนั่นคือความตั้งใจจริงของฉัน」
เอาจริงเหรอยัยนี่
เพราะฉันตอนนี้ฉันสัมผัสถึงความเกลียดชังแบบเดิมจากเธอไม่ได้อีกแล้ว
「ถึงแม้ตอนนี้เหมือนตัวฉันจะถูกนายครอบงำไม่ให้อยากจะต่อต้านนายก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเลยเพราะฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองไหลไปตามกระแสแน่นอน」
「……」
「เชื่อฉันเถอะน่า ฉันเป็นศัตรูกับนายจริงๆ นะ นั่นคือเรื่องที่ฉันตัดสินใจแล้ว」
หากพูดถึงขนาดนี้ก็ตามสบายละกัน
จากที่เดายัยนี่เองก็คงจะมีปัญหาในแบบของตัวเองแหละ
「อีกอย่าง นายไม่ควรมาเปิดใจให้ฉันง่ายแบบนี้น้า♪」
「ไม่เคยเปิดตั้งแต่แรกแล้วเถอะ」
「อะ อึก……」
หากพูดถึงเรื่องเปิดใจให้ยัยนี่ ฉันไม่เคยเปิดมาตั้งแต่แรกแล้วเถอะ
พอฉันพูดไปแบบนั้น แก้มของฮิลด้าก็กระตุกไปมาจนน่าสงสัย จากนั้นฉันก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ไม่นานนักเสียงคลื่นก็ดังออกมาจากลำโพงที่ติดอยู่บนดาดฟ้า
「หือ เริ่มแล้วสินะ」
「เอ๋ อะไรน่ะ?」
จากนั้นฉันก็กลับไปพิงราวกั้น
ทันใดนั้นเองเสียงเพลงเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากลำโพง
『สวัสดีค่ะทุกท่าน!』
เสียงอันร่าเริงสดใสของฮารุได้ดังขึ้นทั่วฐาน
ดนตรีที่เปิดเล่นในโลกที่กำลังจะล่มสลาย เธอตั้งใจจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ฟังที่ยังใช้ชีวิตกันอยู่บนโลกนี้
『ฉันมีชื่อว่า ฮารุ ฮินาตะค่ะ โดยได้รับหน้าที่ในการกระจายเสียงตามสายนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้โลกจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ฉันก็หวังว่าจะสร้างรอยยิ้มให้กับทุกท่านได้นะคะ!!』
จะบอกว่าเป็นรายการวิทยุก็คงยาก แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดี
「อยากสร้างรอยยิ้มสินะ」
มันดีกว่าการต้องมาฝืนยิ้มด้วยพลังที่น่ารังเกียจนั่นเป็นไหนๆ
ฉันยิ้มออกมาในขณะที่ฟังการออกอากาศของฮารุ จากนั้นนกฮูกจักรกลก็บินมาตรงหน้าของฉัน
「มาแล้วสินะ」
นกฮูกที่สร้างมาจากฮิลด้า
ไอเท็มสุดเจ๋งที่ใช้รวบรวมข้อมูลและลาดตระเวนค้นหาศัตรู
『ฮูก ฮูก!』
「อ้าขอบใจนะ ไดฟุกุ」
「ไดฟุกุ?!เอ่อ คัตสึมิคุง?ไอ้นั่นมันชื่อของนกฮูกเหรอ?」
นกฮูกสีชมพูได้บินมาเกาะที่มือซ้ายของฉันก่อนมันจะแปลงร่างกลายเป็นนาฬิกาข้อมือแล้วฉายข้อมูลออกมา
「ข้อมูลในพื้นที่รอบๆ แล้วก็จุดที่พวกสัตว์ประหลาดอยู่」
『♪』
「เก่งมาก」
เดี๋ยวเอาไปให้เรมะดีกว่า
หลังจากลูบไดฟุกุที่กลับไปเป็นนกฮูกอีกครั้ง ฉันก็กลับไปคุยกับฮิลด้าที่จ้องมองฉันโดยไม่พูดอะไร
「ฮิลด้ามาสร้างบาเรียอันใหม่กัน」
「……เฮ้อ」
ฮิลด้าเปลี่ยนร่างเป็นหัวเข็มขัดก่อนจะเกิดแสงสว่างขึ้นทั่วบริเวณ
ฉันเองก็ต้องทำในสิ่งที่ทำได้ เหมือนกับฮารุ
***
หลังจากร่วมมือกับฮิลด้าในการตั้งติดบาเรียใหม่และเตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมอีกครั้ง เรมะก็เรียกฉันไปหาเพื่อแสดงโรงเก็บยานซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่
พอไปถึงก็พบว่า อากาเนะ อาโออิ คิราระได้มาถึงก่อนแล้ว พอเห็นฉันกับฮิลด้าก็เข้ามาทักทายฉัน
「คัตสึมิซังก็ถูกเรียกมาสินะ」
「……อ้า」
รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่ถูกเรียกว่าซังแทนที่จะเป็นคุง
แต่โลกใบนี้พวกอากาเนะก็อายุน้อยกว่าฉัน คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
「แล้วก็ขอบคุณเรื่องบาเรียด้วยค่ะ」
「หากจะขอบคุณบอกกับยัยนี่เถอะ เพราะมันคือความสามารถของเธอ」
ฉันดันหลังของฮิลด้าให้ไปอยู่ตรงหน้าอากาเนะ
อยู่ดีๆ ฮิลด้าที่ถูกผลักออกไปก็กลับมาหลบอยู่ข้างหลังฉันทันที
「เดี๋ยวสิ คัตสึมิคุงอยู่ดีๆ ก็ทำอะไรของนายน่ะ….」
「หา? ฉันไปทำอะไรให้?」
「……ไม่มีอะไรหรอก」
อะไรของยัยนี่
ในขณะที่ฉันสงสัยว่าฮิลด้ามาหลบหลังฉันทำไม เร็กซ์ก็มาถึง
ตอนนี้เธอได้แขนเทียมมาใส่แล้วซึ่งเป็นฝีมือของเรมะ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่เธอใส่มันชวนให้รู้สึกคล้ายกับชิออนซังแม่ของเธอจริงๆ
「เร็กซ์ก็ด้วยเหรอ?」
「อ้า ได้ยินว่าของที่ฝ่ากซ่อมไว้เสร็จแล้วน่ะ」
อุปกรณ์ของเธอที่พังไปเพราะต่อสู้กับฉันได้รับการซ่อมแซมแล้ว
「งั้นก็เหลือแค่….」
「เรมะไม่ได้โผล่หน้ามาเลยตลอด 3 วัน สงสัยเหมือนกันว่าจะสบายดีไหม」
「ได้ยินว่าเขาผลาญวัสดุไปเยอะด้วยสิ」
พอพูดกันเสร็จ ประตูตรงหน้าของเราก็เปิดขึ้น ก่อนจะมีร่างร่างหนึ่งกระโดดออกมาจากข้างใน แล้วกลิ้งไปมากับพื้น ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมายืนตรงหน้าพวกเรา
「ขอโทษที่ปล่อยให้พวกเธอรอซะนาน!!」
เรมะ ชายหนุ่มผมบลอนด์สวมชุดคลุมสีขาวซึ่งชอบทำอะไรแปลกๆ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนโลกของฉันปรากฏตัวขึ้น
อากาเนะกับคนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นก็…..
「「「……ใครน่ะ?」」」
「ฉันไง ฉันเอง!! เรมะ คาเนะซากิ!!」
ดูเหมือนพวกเธอจะสับสนกับใบหน้าของเรมะไม่น้อย เพราะก่อนหน้าเขาพันทั้งหน้าไว้ด้วยผ้าพันแผลนี่เนอะ
「ผู้บัญชาการหน้าแบบนี้นี่เอง」
「เพราะเคยเห็นแค่ในสภาพผ้าพันแผลทั่วหน้า…ไม่ชินเลยแฮะ」
「เสียของชะมัด」
「ปฏิกิริยาของพวกเธอมันแอบโหดร้ายไปหน่อยไหม?แต่ก็เอาเถอะ ฉันหายดีแล้วนั่นแหละคือทั้งหมดที่สำคัญ」
แอบต่างจากเรมะที่ฉันรู้จักนิดหน่อย หากเป็นที่ฉันรู้จักคงไปยั่วมือพวกอากาเนะต่อแล้วแหง
「ฉันจะอธิบายต่อละนะ เริ่มจากสูทขับเคลื่อนรุ่นถัดไปของพวกเธอสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว!!」
「แค่ 3 วันเนี่ยนะ?」
「เพราะข้อมูลที่ได้มามันมากพอน่ะ นอกจากนี้มันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเท่าที่หวังไว้ด้วย แต่ก็ดีมากพอสำหรับเวลาที่มีแล้ว!!」
จากนั้นเขาก็ควบคุมเทอร์มินัลภายในมือและเปิดใช้งานบางอย่าง
ไม่นานนักแคปซูลที่เก็บบางสิ่งไว้ทั้ง 3 อันก็เปิดฝากออก
ไอสีขาวได้พวยพุ่งออกมาก่อนจะปรากฏสูทสีแดง เหลือง น้ำเงิน
มันไม่ใช่สูทขับเคลื่อนแบบที่พวกเธอใช้กันก่อนหน้านี้ แต่มันเป็นสูทที่มีไว้สวมบนร่างของผู้ใช้คล้ายกับจัสติสสูทที่ฉันรู้จัก
ทว่าหากจะให้บอกความต่างก็คงเป็นเกราะที่ถูกคลุมทั่วสูททำให้มันเหมือนกับสูทขับเคลื่อนขนาดจิ๋ว
「ถ้าจะให้ตั้งชื่อของมันก็คงจะเป็น จัสติสอาร์เมอร์ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าสูทขับเคลื่อน แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันและพลังทำลายล้างสูงกว่าเดิมถึง 3 เท่า!!」
「นี่สินะพลังใหม่ของพวกเรา……」
「เมทัลฮีโร่……」
「โห สุดยอด」
อากาเนะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น อาโออิพูดอะไรสักอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ
ส่วนคิราระก็แสดงท่าทางสนใจไม่น้อย
ทว่าสายตาของฉันตอนนี้กลับจับจ้องไปทางคิราระอย่างช่วยไม่ได้
「…มีอะไรเหรอ คัตสึมิคุง?」
「เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก」
….ยังไงฉันก็ควรจะพูดเรื่องนั้นสินะ
ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรไปยุ่งเพราะมันไม่ใช่โลกของฉัน แต่ฉันก็ปล่อยเธอคนนั้นไว้ตามลำพังไม่ได้
「พวกเราเหลือเวลากันไม่มากแล้ว จากนี้อยากจะให้พวกเธอทดสอบประสิทธิภาพกันสักหน่อย เป้าหมายจากนี้คือการยึดอาณานิคมที่ 3 ให้สำเร็จ ฝ่ายตรงข้ามคือสัตว์ประหลาดทากไฟฟ้าที่สะสมพลังงานไฟฟ้าเอาไว้จำนวนมหาศาล!! และทันทีที่ปราบมันได้สำเร็จ พวกเราจะมุ่งไปโจมตีโอเมก้าต่อทันที!!」
「「「「ฮ่ะ!!」」」」
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เขาทำออกมาได้ขนาดนี้เลยแฮะ
ในกรณีที่เลวร้ายสุดฉันก็คิดแผนที่จะไปสู้กับพวกมันเพียงลำพังเอาไว้แล้ว แต่เห็นแบบนี้ก็คงจะฝากแผ่นหลังไว้กับพวกอากาเนะได้แน่นอน
「แล้วก็เร็กซ์ อุปกรณ์ของเธอทั้งหมดฉันซ่อมให้เสร็จแล้ว」
「อ้า ขอบใจมาก」
「นอกจากนี้เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ อยู่ในอุปกรณ์ของเธอด้วยสิ ฉันก็เลยพัฒนาAIขึ้นเพื่อช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของเธอ」
「AI สนับสนุนเหรอ?เดี๋ยวก่อนนะไอ้นั่นมัน」
『ฉันเอง』
เสียงหนึ่งดังขึ้นจนทำให้เร็กซ์แสดงสีหน้าแหยงออกมา
มันคือเสียงที่ออกมาจากหมวกใบเดิมของเธอ
『ฉันคือ GRD เป็น AI ที่สร้างโดยเรมะ คาเนะซากิเพื่อสนุบสนุนเธอ ฝากตัวด้วย』
「……ชีวิตฉันจะหลุดพ้นจากมันได้ไหมเนี้ย」
「มันเป็นสุดยอด AI ที่อ้างอิงมาจากฉันเชียวนะ จะต้องมีประโยชน์กับเธอแน่นอน!!」
เร็กซ์ถึงกับเอามือก่ายหน้าผากในขณะที่เรมะหัวเราะออกมา
จากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันเรื่องแผนต่อ
「หลังเอาชนะโอเมก้าได้ การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดก็จะจบลง」
ถึงปัญหาจากอวกาศจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ตอนนี้ต้องจัดการกับโอเมก้าซะก่อน
***
แผนจะเริ่มขึ้นในอีก 2 วัน
แม้จะดูเหมือนเร็ว แต่หากคิดถึงเวลาที่โลกจะล่มสลายพวกเราก็ต้องรีบเหมือนกัน
ต้องเอาชนะทากไฟฟ้ากับโอเมก้าให้ได้
「ถ้าผนึกความสามารถของโอเมก้าได้ด้วยพลังจากฮิลด้าก็น่าจะพองัดมันลงไหว」
ในโลกของฉันโอเมก้าพ่ายแพ้ก็จริง แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งสุดๆ หากไม่ได้พลังของอัลฟ่าในการช่วยเหลือไม่ให้พวกเราตกเป็นเป้าของพลังโอเมก้าคงจะสู้มันไม่ไหว
อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความสามารถของมันจริงๆ หรอก แต่อัลฟ่าบอกประมาณว่าเป็นพลังที่ทำให้สิ่งมีชีวิตตรงหน้าถูกทำลายลงทันที
「ก่อนอื่นก็สัตว์ประหลาดทากสินะ?」
「จากได้เร็กซ์บอก ดูเหมือนมันจะบวมขึ้นเพราะพลังงานที่สะสมเอาไว้เพื่อให้โอเมก้าใช้งาน แต่ถ้าผนึกความสามารถของมันได้ก็ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามนัก」
ส่วนเรื่องพวกกีกี้ที่เหลือ ถึงจะมีเยอะแต่ด้วยความสามารถของพวกสาวๆ ตอนนี้น่าจะไม่มีปัญหา
หลังพูดคุยอะไรกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกมาจากโรงเก็บยานบินและมุ่งหน้าไปยังห้องของตัวเอง
「แล้วเจอกันนะคะ คัตสึมิซัง」
「หากมีเวลาก็มาเจอฮารุได้」
「อ้า」
ฉันตอบอากาเนะกับอาโออิไป
หลังทั้งสองคนบอกลา คิราระก็เหมือนกำลังจะบอกลาฉัน แต่ฉันก็เรียกเธอไว้ก่อน
「เอ่อ คิราระขอเวลาเดี๋ยวได้ไหม?」
「เอ๋?มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอคะ?」
คิราระกระพริบตาสงสัย
ทางอากาเนะกับอาโออิเองก็สงสัยไม่ต่างกัน
「ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากถามอะไรนิดหน่อยน่ะ」
「ก็ไม่ได้คิดว่าจะพูดอะไรแปลกๆ หรอกนะคะแต่……」
อยู่ดีๆ อากาเนะกับอาโออิก็เดินเข้ามาวางมือไว้บนไหล่ของคิราระ
「อย่าได้คิดจะพูดอะไรแปลกๆ เชียวล่ะคิราระ」
「อย่าคิดจะรุกก่อนเพื่อน」
「เดี๋ยวเถอะ นี่พวกเธอเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี้ย?」
ไม่ว่าจะโลกใบไหนพวกเธอก็มีปฏิสัมพันธ์ทำนองนี้เสมอ
จากนั้นอาโออิกับอากาเนะก็วิ่งหนีไปโดยทิ้งให้คิราระบ่นอยู่คนเดียว
「ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอคะ?」
「เอ่อ….ไปคุยกันที่ดาดฟ้าได้ไหม?แล้วก็ฮิลด้าเธอช่วยกลับไปก่อนเถอะ」
「เข้าใจแล้ว ก็พอจะเดาได้แหละว่าอยากคุยอะไร」
พอฮิลด้าจากไป พวกเราก็มุ่งไปที่ดาดฟ้า
มันคือสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครมากันนักเลยเหมาะกับพูดเรื่องสำคัญ
「ว่าแต่ทำไมถึงพาฉันมาที่นี่เหรอคะ เรื่องมันลับขนาดนั้นเลยเหรอ?」
「ที่ผ่านมาเหนื่อยมากเลยสินะ」
「คะ?」
ฉันพูดคุยกับคิราระที่แสดงสีหน้าร่าเริงออกมา
เธอที่ได้ยินแบบนั้นก็สับสนไม่น้อย
「อันทีจริงฉันอยากจะคุยเรื่องนี้กับเธอมานานแล้ว…แต่กว่าจะรวบรวมความกล้าได้ก็ใช้เวลาพอสมควร」
「อะอะอะ อะไรกันคะ ทำไมพูดเหมือนจะสารภาพรักกันเลยล่ะ?!」
「ฉันรู้ว่ามันไม่สมควร และฉันอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมพอจะมาพูดเรื่องนี้กับเธอ แต่อย่างน้อยขอให้ฉันได้พูดหน่อยเถอะ」
ฉันพูดพร้อมกับตรงที่กั้น
แม้สีหน้าของเธอจะยังสดใสดี แต่สายตาของเธอที่ฉันเห็นมันไม่ได้ยิ้มอยู่เลยสักนิด
「นี่คิราระ เธอกำลังฝืนตัวเองอยู่ใช่ไหม?」
「หมายถึงอะไรคะ?ฉันไม่ได้ฝืนอะไรสักหน่อย」
คิราระปฏิเสธแล้วโบกมือไปมา
「อากาเนะเป็นคนที่สามารถยอมรับอะไรต่างๆ ได้ง่ายและมีจุดหมายชัดเจนในการทำอะไรสักอย่างแม้จะเป็นอีกโลกก็ไม่เปลี่ยน เรื่องที่เกิดขึ้นเลยไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเธอที่มีจิตใจแข็งแกร่งนัก」
「เอ่อ คัตสึมิคุง?」
「ต้องขอบคุณฮารุที่ทำให้อาโออิกลับมาเป็นปกติได้ เพราะอาโออิมีคนที่รอคอยอยู่ข้างหลัง จึงมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อ….แต่เธอน่ะไม่เหมือนกัน」
「…ฉันไม่รู้ว่า คุณกำลังพูดอะไรอยู่….」
คิราระน่ะต่างออกไป
เธอไม่เหมือนกับอากาเนะที่สามารถยืนหยัดใช้ชีวิตต่อไปได้
แม้ใบหน้าของเธอจะดูยิ้มแย้มสดใส แต่ภายในของเธอคงบอบช้ำสุดๆ
「ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ฉันน่ะสบายดีหายห่วง」
「สำหรับคนที่ตั้งใจจะตายไปพร้อมกับสัตว์ประหลาดแม็กม่าฉันไม่คิดว่าสบายดีหรอก」
อาโออิสิ้นหวังเพราะฮารุน้องสาวของเธอกลายเป็นสัตว์ประหลาด
หากเป็นแบบนั้น ทำไมคิราระถึงได้เลือกจะระเบิดตัวตายล่ะ?
เพราะเป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้งั้นเหรอ
ไม่เลยคิราระที่ฉันรู้จักน่ะ ไม่ใช่คนแบบนั้นเลยสักนิด
「เป็นเรื่องที่เกิดอีกโลกสินะคะ?แต่ฉันไม่คิดจะทำแบบนั้นหรอกค่ะ」
「ไม่หรอก หากฉันไม่มาเธอทำมันแน่」
「……ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้นกันคะ」
เพราะเธอน่ะไม่ต่างอะไรกับฉันในตอนเด็กที่เสียพ่อกับแม่ไปแล้วน่ะสิ
ไม่ว่าจะยิ้มหรือปกปิดไว้สักแค่ไหน แต่ภายในใจของเธอคงร้องไห้อยู่เสมอ
「ที่นี่ไม่มีใครนอกจากเธอกับฉันหรอก」
「ไม่ต้องฝืนอีกแล้วก็ได้」
「ฉันเป็นแค่คนที่มาจากอีกโลก จะพูดให้ฉันฟังก็ไม่มีปัญหา」
「ดังนั้น…..」
「ปลดปล่อยมันออกมาเถอะ คิราระ」
ฉันสบตากับเธออย่างจริงใจ
….ฉันก็ไม่ได้ชอบตัวเองที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้หรอก แต่เพื่อคิราระฉันจำเป็นต้องทำ
「หากเธอเข้าสู้ทั้งที่อยู่ในสภาพนี้ เธอจะเป็นคนที่ฆ่าอากาเนะกับอาโออิในสนามรบแน่นอน」
คิราระคว้าคอเสื้อของฉันและพลักฉันไปชนกับกำแพงที่ใกล้กับบันไดทางขึ้น
ดวงตาของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธและน้ำตาที่ไหลออกมา
「ที่คุณพูดมามันออกจะล้ำเส้นเกินไปหน่อยแล้วนะคะ!!」
รอยยิ้มได้หายไป และแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้อง
「ทั้งที่ฉันพยายามอย่างหนักแท้ๆ ในการประคองชีวิตเอาไว้ ทั้งขับสูทขับเคลื่อนไปต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาด!! ผู้คนมากมายตรงหน้าฉันได้ตายลง!! คิดว่าฉันที่ผ่านเรื่องแบบนั้นมาแล้วต้องฝืนทำตัวปกติมันยากแค่ไหน คุณรู้บ้างไหม?!!?」
「……」
「หากโลกใบนี้ถูกกอบกู้เอาไว้ได้ แล้วฉันล่ะคะ?ฉันควรจะทำยังไงต่อดี ครอบครัวของฉันจะกลับมางั้นเหรอ?ไม่เลยค่ะ ปฏิหาริย์แบบที่อาโออิเจอน่ะ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันหรอก เพราะว่า…เพราะ….」
เธอปล่อยมือจากคอเสื้อฉันก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา
「ครอบครัวของฉันถูกสัตว์ประหลาดฆ่าไปต่อหน้าต่อตาฉัน…อึก」
ฉันก็พอเดาได้อยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่คอยค้ำจุนจิตใจของคิราระซึ่งเป็นเพียเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเอาไว้นี่นา
「นี่ คัตสึมิซัง จากนี้ฉันจะใช้ชีวิตยังไงต่อไปดีล่ะคะ」
คิราระก้มหน้าแล้วพูด
「ตอนที่ฉันได้ยินวาระสุดท้ายของตัวเองในโลกของเร็กซ์ซัง รู้ไหมคะว่าตอนนั้นฉันคิดยังไง ฉันคิดว่าน่าอิจฉาจังเลยนะที่เธอสามารถตายได้ในขณะที่ช่วยเพื่อนของตัวเองสำเร็จ」
「……」
「แล้วฉันก็เกลียดตัวเองค่ะที่ฉันเป็นแบบนั้น เพราะนั่นคงทำให้อากาเนะกับอาโออิเสียใจมากแน่ๆ ……」
บางทีคิราระในโลกใบนี้คงจะมีสภาพแบบนี้ตั้งแต่ได้พบกับอากาเนะและคนอื่นๆ
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาหรือแม้กระทั่งเร็กซ์ไม่เคยสังเกตถึงความผิดปกตินี้
ตัวฉันก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องกับเธอได้หรอก
แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่สามารถทิ้งเธอเอาไว้ได้
「ฉันเข้าใจดีว่าเธอ อิจฉาตัวเธอโลกนั้นขนาดไหน」
「……คะ」
เธอคงจะคิดว่าฉันจะต่อว่าเธอ แต่เปล่าเลย
ฉันมองขึ้นไปบนฟ้าโดยที่ไม่สบตากับเธอซึ่งน้ำตานองเต็มหน้า
「ฉันเองก็อยากจะตายไปพร้อมกับพ่อแม่ของฉันเหมือนกัน หากเป็นแบบนั้นชีวิตของฉันก็คงจะจบลงพร้อมกับความทรงจำอันแสนสุขที่มีกับพวกเขา ฉันคงไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดมาจนถึงตอนนี้」
ฉันมั่นใจว่าตัวฉันในโลกใบนี้คงไม่ต้องมาเจอคำพูดอันแสนโหดร้ายจากพ่อแม่ตัวเอง
เขาไม่ใช่เด็กแห่งปาฏิหาริย์ที่รอดชีวิตมาได้ แต่เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุคราวนั้น
「แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบที่ฉันหวัง」
ในโลกใบนี้ตัวฉันได้ตายไปพร้อมกับพ่อแม่ และนั่นอาจจะเป็นเหตุลให้สัตว์ประหลาดแมงมุมไม่ถูกจำกัดลงง่าย
แม้ฉันจะพึงพอใจกับฉากจบของตัวเอง แต่เมื่อรู้ว่าฉันที่เป็นแบบนั้นจะส่งผลอะไรกับโลกนี้บ้างฉันก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
ผู้คนที่เหลือจะไร้ซึ่งความหวังซึ่งฉันไม่ต้องการเลยสักนิด
「แน่นอนว่า โคตะ นานากะ โอมะซัง โคโยมิซังคงจะไม่สามารถกลับมามีชีวิตอยู่ได้อีก」
「……อึก」
「แต่ว่านะ ตัวเธอน่ะไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ เหรอ?เธอคิดจริงเหรอว่าหากตัวเองตายไปจะไม่มีใครมาสนใจ?สิ่งที่เธอต่อสู้มาจนถึงตอนนี้มันมีเพียงการแก้แค้นพวกสัตว์ประหลาดเหรอ?เธอไม่คิดเลยเหรอว่ามันมีบางสิ่งที่หลงเหลือในมือของเธอนอกจากสิ่งนั้น?」
มันไม่ใช่แบบนั้นเลย
แม้ในโลกของฉันเธอจะถูกล้อว่าเป็นเพียงยัยคนธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เธอน่ะคือสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับพวกพ้อง ความธรรมดาที่คอยเยียวยาจิตใจทุกคน
คิราระตอบกลับฉันด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
「มีอยู่จริงด้วยสินะคะ….」
เธอเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
「ตอนนี้ฉันยังมีพวกพ้องที่คอยต่อสู้เคียงข้างฉัน….」
「อื้อ เพราะงั้นเธอไม่ได้ตัวคนเดียวนะ」
「……ค่ะ」
ฉันยื่นมือออกไปหาคิราระเพื่อดึงเธอให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ตราบใดที่เธอตระหนักเรื่องนี้ได้ ทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร
「…แล้วคัตสึมิซังล่ะคะ ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง?」
ในขณะที่ฉันกำลังจะกลับไปข้างล่าง คิราระก็ถามขึ้นมาซะก่อน
ฉันเองก็ควรจะเปิดอกกับเธอสินะ
「ถ้าฉันคิดจะตาย คงมีคนพยายามหยุดฉันอย่างแน่นอน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถตายได้ตามใจชอบแล้วน่ะ」
「ฉันก็ว่างั้นค่ะ」
「แถมหนึ่งในคนที่จะหยุดฉันเอาไว้ก็คือตัวเธออีกโลกหนึ่งนั่นแหละ」
เพราะมีคนคอยมาวุ่นวายอยู่รอบตัวฉันเสมอ ฉันจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองที่งี่เง่าได้
จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกเธอไม่หาย
「ว่าแต่ทำไมถึงรู้จักคนในครอบครัวของฉันได้เหรอคะ?จากที่พูดเหมือนจะค่อนข้างสนิทกันด้วยสิ」
อันที่จริงนอกจากครอบครัวของคิราระ ฉันก็รู้จักทั้งของอากาเนะและอาโออิด้วย
เพราะหลายๆ อย่างก็เลยทำให้ฉันกลายเป็นพวกไปเกาะบ้านพวกเธอกินอยู่พักหนึ่ง
「อันที่จริง……」
ไม่สิเดี๋ยวก่อน
ึถึงจะตอบกลับไปแบบปกติได้…แต่แหย่เธอสักหน่อยดีกว่า
หากอ้างอิงจากที่อาโออิเคยบอกการทำแบบนี้จะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศที่หนักหน่วงได้ดี
「…เอ่อ…โคโยมิซังแม่ของเธอน่ะ」
「คะ?」
「เคยเอาอัลบั้มตอนเธอในสมัยเด็กมาให้ฉันดูด้วยแหละ」
「เดี๋ยวก่อนนะคะ! ช่วยอธิบายรายละเอียดให้มากกว่านี้หน่อยค่ะ?!เดี๋ยวสิคัตสึมิซัง?!」
「……ฉันขอตัวกลับก่อนละกัน」
「เดี๋ยวสิคะ โฮ้ย รอก่อนเด้!?!」
ว่าแล้วฉันก็หนีมาจากคิราระ
โดยที่มีเธอวิ่งไล่ตามจากข้างหลัง แต่ฉันมั่นใจแล้วว่าน้ำเสียงอันสดใสของเธอที่พูดออกมาตอนนี้มันไม่เหมือนก่อนหน้า ฉันก็เลยวิ่งหนีคิราระอย่างสุดกำลังพร้อมรอยยิ้ม
***
อธิบายท้ายตอน
คิราระในโลกนี้กับคัตสึมิมีสภาพจิตใจไม่ค่อยต่างกันนัก
ในเส้นเวลาเดิมโศกนาฏกรรมที่ครอบครัวเธอถูกสัตว์ประหลาดฆ่าต่อหน้าต่อตาของเธอได้สร้างบาดแผลที่ไม่มีวันเลือนหายให้กับจิตใจของเธอ ทางอาโออิเองก็จิตใจแตกสลายไปหลังเอาชนะฮารุที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว พวกเธอจึงเลือกจบชีวิตของตัวเองลงในการต่อสู้
—จบ—
แรกๆ ขำหลังๆ ซึม ส่วนพลังของโอเมก้า เดาว่าโอเมก้าโลกคัตสึมิน่าจะโดนอาสึจัดการอะไรมาก่อนแล้ว จนทำให้พวกคัตสึมิโต่นมันลงได้ แถมอิงจากตอนที่อัลฟ่าบอกว่าหากโอเมก้าไม่อนุญาตจะใช้พลังแทรกแซงไม่ได้อีก
มาเม้ามอยหลังอ่านกันได้ที่เพจนะครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code