อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 153 ค้อน กระดาษ กรรไกร
ตอนที่ 153 ค้อน กระดาษ กรรไกร
เมื่อมู่เถาเยาลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับหนังสือในมือสองสามเล่ม บอดี้การ์ดก็เลือกคนได้แล้ว
“หมอเทวดาน้อย คุณจะออกเดินทางกี่โมงเหรอครับ ผมควรเอาเสื้อผ้าไปสักกี่ชุดดี”
ฟันขาวซี่ใหญ่ของอาคุนเปล่งประกายเจิดจ้า ทุกรูขุมขนในร่างกายของเขาตอนนี้เปิดกว้าง เขามีความสุขมาก
“ราวๆ สี่โมงเย็นน่ะ แล้วนี่ลุงจงไปไหนแล้วล่ะ ฉันว่าจะขอให้เขาฝากเชฟให้เตรียมมื้อเย็นสำหรับสิบเอ็ดคนให้หน่อย เอาแบบง่ายๆ นะ จะได้เอาไว้กินบนเครื่องบิน”
บนเครื่องบินนั้นมีห้องครัวอยู่
“ลุงจงไปเก็บเสื้อผ้าแล้วน่ะครับ แต่หมอเทวดาน้อยไม่ต้องเป็นกังวลไป ทางเราจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมและจะไปถึงลานจอดเครื่องบินในเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง”
“โอเค ถ้างั้นอาคุนราวๆ บ่ายสามโมงช่วยจัดรถไปรับคนหกคนจากโรงพยาบาลทหาร1111 มาที่นี่ด้วยนะคะ พวกเขาจะไปที่หมู่บ้านเถาหยวนซานพร้อมกันกับพวกเรา”
“เข้าใจแล้วครับ หมอเทวดาน้อยมู่ส่งข้อมูลติดต่อของพวกเขาไปที่เบอร์โทรศัพท์มือถือของผมได้เลย”
“โอเค งั้นฉันกับเหลียงจีจะกลับไปที่วิลล่าตระกูลเย่ว์ก่อน”
“ครับผม”
เหลียงจีขับรถออกจากคฤหาสน์ตระกูลตี้ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เจ้าหญิงน้อย ทายดูสิคะว่าพวกเขาใช้วิธีเลือกคนสองคนยังไง”
“หืม เธอดูมีความสุขนะ ดูสนุกมาก”
“เจ้าหญิงน้อย คุณรู้ไหมว่าในพื้นที่ส่วนตัว…แบบว่าลับหลังเจ้านายน่ะพวกเขาเป็นยังไง”
“ก็พอจะรู้บ้างนิดหน่อย พักหลังๆ นี้เห็นหลุดบ่อยน่ะ”
“อ่าฮะ ถ้าอย่างนั้นลองเดาดูสิคะว่าพวกเขาใช้วิธีเลือกคนแบบไหน”
“มันไม่น่าจะเป็นการประลองวรยุทธกันจริงๆ หรือเปล่า”
แม้ว่าลุงจงเองก็มีความสามารถเหมือนกัน แต่ด้วยอายุของเขา คงเทียบกับบอดี้การ์ดหนุ่มๆ ที่แข็งแรงขนาดนั้นไม่ได้
“มันไม่ใช่การประลองวรยุทธค่ะ”
“ลุงจงใช้อำนาจข่มคนอื่นอย่างงั้นเหรอ”
“ฮ่าฮ่า เจ้าหญิงน้อย คุณยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
“ส่วนอาคุนและคนอื่นๆ …พวกเขาน่าจะใช้วิธีแบบคัดออกนะ”
ไม่มีร่องรอยของความรุนแรงบนร่างกายของพวกเขา ยกเว้นใบหน้าที่เหมือนกับหมูของคนคนนั้น
“เจ้าหญิงน้อย คุณเทพมาก! เดาได้ทั้งหมดเลย! หลังจากที่พวกเขาใช้วิธีคัดคนออก ก็ยังเหลืออีกสามคน สามคนนี้ไม่มีใครเป็นรองใคร ดังนั้นผู้ชนะจึงถูกตัดสินด้วยการเป่ายิ้งฉุบ ฮ่าๆๆ”
มู่เถาเยายิ้ม
“เจ้าหญิงน้อย คนในประเทศเหยียนหวงนั้นแตกต่างจากผู้คนในชนเผ่าของเราอยู่บ้างจริงๆ”
“อื้ม”
หลังจากกลับไปถึงวิลล่าตระกูลเย่ว์ที่อยู่ทางทิศเหนือของเขต มู่เถาเยาก็ส่งข้อความถึงอาคุนก่อน แล้วจึงช่วยกันเก็บของที่จำเป็นต้องเอาไปด้วยกับเหลียงจี ส่วนใหญ่ก็เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของเผ่าหมาป่าพระจันทร์อย่างเช่นผลนมหมาป่า
ตอนที่เย่ว์หลั่งมาหาเธอที่นี่เมื่อต้นสัปดาห์ เขาเอาของฝากมาให้เธอเยอะมาก ขนาดเธอแบ่งออกไปส่งให้คนอื่นๆ แล้ว ก็ยังเหลืออยู่อีกมาก
และแม้ว่าเย่ว์หลั่งจะขนติดตัวไปที่หมู่บ้านเถาหยวนซานด้วยอีกจำนวนหนึ่ง แต่คนที่หมู่บ้านเถาหยวนซานนั้นมีค่อนข้างเยอะ ดังนั้นพวกเขาน่าจะกินหมดเร็ว
มู่เถาเยาเก็บผลนมหมาป่าบางส่วนใส่ตู้เย็น ส่วนที่เหลือนั้นเธอเอาไปด้วยทั้งหมด
บ่ายสามโมงครึ่ง ทั้งสองก็ขนของขึ้นรถ
ของพวกนี้มีน้ำหนักเยอะมาก และมันก็หนักเกินกว่ากำลังของเด็กสาวธรรมดา แต่ไม่เป็นปัญหาสักนิดสำหรับสองคนนี้
ร่างเล็กๆ สองร่างสามารถยกกล่องผลไม้น้ำหนักเก้าสิบกิโลกรัมขึ้นรถได้อย่างสบายๆ
ทั้งคู่ไม่ใช่คุณหนูบอบบางที่ต้องมารอให้ใครช่วย พวกเธอจึงขนของทั้งหมดขึ้นรถด้วยตัวเอง
เมื่อไปถึงลานจอดเครื่องบิน คนทั้งหมดที่จะไปที่หมู่บ้านเถาหยวนซานพร้อมกันในครั้งนี้ก็อยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว กลุ่มคนรีบเข้ามารุมล้อมเธออย่างกระตือรือร้น
“พี่สาว พี่สาว พี่สาว…”
ขนมปังน้อยๆ กระโดดเกาะขายาวและห้อยตัวอยู่ตรงนั้น
เสี่ยวเฮยเฮยยังคงเห่าใส่เขาไม่หยุด
นี่คือเจ้านายของมันนะ!
เจ้าตัวเล็ก กล้าดียังไงมาแย่งเจ้านายของมัน!
ซังหลิ่นหรานรู้สึกหวาดกลัวประกายที่รุนแรงในดวงตาของสุนัขสีดำตัวเล็กๆ นี้มาก เขากอดขายาวของมู่เถาเยาไว้แน่น
เมื่อก่อนตอนที่ ‘เล่นซ่อนหา’ กัน เลยทำให้เขากลัวสุนัขมาก
“หลิ่นหราน”
มู่เถาเยาลูบหัวเล็กๆ ของเขาแล้วอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมา จากนั้นลดศีรษะลงแล้วพูดกับลูกสุนัขตัวเล็กว่า “เสี่ยวเฮยเฮย อย่าดุสิ”
เจ้าหมาน้อยหางตกในทันที
ซังหลิ่นหรานหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
พี่สาวดุกว่าน้องหมาอีก!
เสียงหัวเราะเล็กๆ นั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีอย่างมาก
มู่เถาเยายกมุมปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงหันไปหาฝูงชนและพูดว่า “อาจารย์สวี อาจารย์ซัง คุณผู้หญิงซัง…”
เธอเอ่ยทักทายทุกคน
บอดี้การ์ดหน้าหมู “หมอเทวดาน้อย ทำไมถึงมีคนเจ็บไปด้วยล่ะครับ”
อิจฉา ริษยา เกลียดชัง!
“เขามีภารกิจน่ะ”
บอดี้การ์ดหน้าหมู “…ภารกิจอะไรกันครับ ผมรับแทนก็ได้!”
“ไปถามตี้อู๋เปียน”
“…งั้นไม่เป็นไรครับ”
ถ้ามันเหมาะกับเขา นายน้อยคงจัดหน้าที่นี้ให้กับเขาไปนานแล้ว
พ่อบ้านจงอารมณ์ดีมากและสั่งบอดี้การ์ดให้ขนของจากรถไปขึ้นเครื่องบิน
เหลียงจีมอบกุญแจรถยนต์ให้กับบอดี้การ์ดคนหนึ่งและขอให้เขาขับรถของมู่เถาเยากลับไปจอดที่โรงรถใหญ่ในภายหลัง
หลังจากขนของทุกอย่างขึ้นเครื่องเสร็จสรรพแล้ว ทุกคนก็ทยอยขึ้นเครื่องไปทีละคน
เครื่องออก
ซังหลิ่นหรานเจ้าก้อนขนมปังน้อยและเสี่ยวเฮยเฮยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
คนหนึ่งคุยกับมู่เถาเยา ส่วนอีกตัวเอาแต่เห่า และต้องการเอาหัวไปซุกที่ใต้ฝ่ามือของมู่เถาเยาเป็นครั้งคราว
มู่เถาเยาต้องการกำจัดเงาที่ปกคลุมอยู่ในใจของเจ้าก้อนขนมปังน้อยที่ทำให้เขารู้สึกกลัวสุนัข ดังนั้นเธอจึงทำตัวเป็นสะพานเชื่อมระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งสุนัขเพื่อให้พวกเขาได้สื่อสารกัน
เสี่ยวเฮยเฮยยังเป็นลูกหมาตัวน้อยอยู่ หลังจากที่มู่เถาเยาลูบหัวและกล่อมมันไปหลายคำ มันก็เลิกอิจฉาเจ้าก้อนขนมปังน้อย และในไม่ช้าทั้งสองก็ลงไปเล่นกัน
“หมอเทวดาน้อย ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นหลิ่นหรานก็กลัวสุนัขเอามากๆ ที่บ้านเรามีสุนัขซามอยด์อยู่ตัวหนึ่ง แต่หลิ่นหรานกลับปฏิเสธมันสุดฤทธิ์ เราไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้แต่ยกมันให้ญาติเอาไปเลี้ยงต่อ…”
“อืม เขาถูกสุนัขขู่จนทำให้เกิดเงาในใจเข้าแล้ว”
อันที่จริงเขาไม่ได้กลัวสุนัขจริงๆ หรอก แต่กลัวคนที่มากับมันต่างหาก สุนัขเป็นเพียงตัวประกอบฉากเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้นจูงสุนัขตัวโตไปข่มขู่เขา ด้วยธรรมชาติของเด็กที่ชอบสัตว์ เขาคงจะไม่กลัวมันด้วยซ้ำ
“พี่สาว ตอนนี้หลิ่นหรานไม่กลัวน้องหมาแล้ว”
ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว
เสี่ยวเฮยเฮยน่ารักมาก
“หลิ่นหรานกล้าหาญมากจริงๆ ค่ะ”
มู่เถาเยาลูบหัวเล็กๆ พลางนึกถึงถุงลมน้อยตี้อันเหยี่ย
เด็กสองคนนี้มีบุคลิกที่ค่อนข้างคล้ายกัน
ถ้ามีโอกาส เธอก็อยากจะรวมเด็กๆ หลายคนนี้มาให้รู้จักกับตี้อันเหยี่ย จะได้เป็นเพื่อนเล่นกับเขา และจะเป็นกำลังสนับสนุนเขาตอนที่เขาจะขึ้นเป็นราชาในอนาคตด้วย
เอ่อ…ดูเหมือนเธอจะคิดมากเกินไปสักหน่อย
อันเหยี่ยไม่ใช่เยี่ยนหัง และเขาคงยังไม่ได้รับช่วงต่อตำแหน่งนั้นในเร็วๆ นี้หรอก ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย
ประเทศเหยียนหวงไม่ใช่ราชวงศ์เทียนเยว่ที่ไม่มั่นคง และเธอไม่จำเป็นต้องวางแผนเช่นนี้
เฮ้อ ไหงตกลงใจกับตัวเองแล้วไงว่าจะไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ดันฉุกคิดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจซะได้
นิสัยชอบคิดฟุ้งซ่านนี้ต้องติดตัวมาจากในชาติที่แล้วแน่ๆ เลย
ไม่ดี ไม่ดี
“พี่สาวครับ ทำไมพี่สาวจยาเย่ว์ ปู้อวี๋ และเจียวหยางถึงไม่มาขึ้นเครื่องบินกับพวกเราด้วยล่ะครับ พวกเขาจะต้องชอบเสี่ยวเฮยเฮยแน่ๆ”
เด็กน้อยยังคงจำได้ว่าทุกคนกลัวสุนัข แต่ตอนนี้เขาไม่กลัวเสี่ยวเฮยเฮยแล้ว ดังนั้นเขาเลยอยากให้ทุกคนมาเล่นกับเสี่ยวเฮยเฮยด้วย
“ไว้ครั้งหน้าพี่สาวจะพาทุกคนไปเล่นด้วยกันนะ”
“ครับผม”
อาจารย์ซังถามหลานชายของเขาด้วยรอยยิ้มว่า “หลิ่นหราน ใครคือพี่สาวจยาเย่ว์ ปู้อวี๋ และ เจียวหยางเหรอ เป็นเพื่อนที่โรงเรียนอนุบาลของเราเหรอ งั้นครั้งหน้าเราเชิญพวกเขามาเล่นที่บ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ดีไหม”
เจ้าก้อนขนมปังน้อยส่ายหัวและอธิบายด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กๆ ว่า “ลุงครับ ไม่ใช่ครับ พ่อแม่ของพี่สาวจยาเย่ว์ไม่อนุญาตให้เธอไปที่โรงเรียนอนุบาล…”
คุณผู้หญิงซังหลุดหัวเราะออกมา
“หลิ่นหราน โรงเรียนอนุบาลมีอยู่หลายแห่งมากนะลูก บ้านของพี่สาวจยาเย่ว์ของลูกอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านของเรา ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มาเรียนในโรงเรียนอนุบาลเดียวกันกับลูก”
เจ้าก้อนขนมปังน้อยไม่รู้
อาจารย์ซังคล้ายกับจะจับประเด็นสำคัญได้และถามว่า “เสี่ยวอวี๋ ฉันจำได้ว่าหลิ่นหรานไม่กลัวสุนัขไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้เขาถึงกลัวสุนัขแล้วล่ะ”
คุณผู้หญิงซังพูดกับลูกชายที่เล่นอยู่ตรงข้ามของเธอก่อนจะออกคำสั่งว่า “หลิ่นหราน ปิดหูน้อยๆ ของลูกเดี๋ยวนี้”
ขนมปังน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องปิดหูด้วย แต่เขาก็เชื่อฟังอย่างมาก
สองมือน้อยๆ ยกขึ้นปิดหูเล็กๆ ของเขาแน่น จากนั้นก็พูดอย่างน่ารักว่า “แม่ครับ ผมปิดหูของผมแล้ว”
“เด็กดี”
“ลุงเล็ก ป้าเล็ก เสี่ยวเฟย ซย่ามั่ว จำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่หลิ่นหรานหายตัวไป เขาถูกกลุ่มพวกค้ามนุษย์จับตัวไปน่ะ จยาเย่ว์ ปู้อวี๋ และ เจียวหยาง คือเด็กๆ ที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับเขา…”
คุณผู้หญิงซังบอกเหตุผลที่ลูกชายของเธอกลัวสุนัขให้กับทุกคนฟัง
ทุกคนตกใจมาก
ซังเฟยพูดอย่างกระวนกระวายว่า “พี่สะใภ้ครับ! ทำไมตอนนั้นพี่กับพี่ชายถึงไม่บอกผมเลยล่ะ!” อย่างน้อยก็จะได้มีคนช่วยมากกว่านี้!
“เราไม่สะดวกที่จะติดต่อกับเธอน่ะ ตอนนั้นเธอยังอยู่ในกองทัพ”
อาจารย์ซัง “แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นล่ะ เด็กๆ ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า พวกเธอหาตัวเด็กๆ กลับคืนมาได้ยังไง”
คุณผู้หญิงซังมองไปที่มู่เถาเยาด้วยสายตาอ่อนโยน
ทุกคนมองตามสายตาของเธอไป
อาจารย์ซัง “หมอเทวดาน้อยช่วยเธอตามหาเด็กๆ จนเจอเหรอ”
คุณผู้หญิงซังพยักหน้าอย่างหนักแน่น
มู่เถาเยายิ้มและพูดว่า “ฉันบังเอิญไปพบกับกลุ่มพวกค้ามนุษย์พอดีน่ะค่ะ คนพวกนั้นตั้งใจจะจับฉันไปขายเหมือนกันฉันเลยไหลไปตามน้ำ แทรกตัวเข้าไปในที่อยู่ของพวกโจร โชคดีมากที่เด็กๆ ไม่ได้รับอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจในเวลานั้น”