อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 320 ศพที่เดินได้
ตอนที่ 320 ศพที่เดินได้
อันโหรวเหลือบมองไปที่เขา ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไป
แต่ละก้าวเชื่องช้าคล้ายกับศพที่เดินได้ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นความจริง แต่รถก็เหมือนกับรถที่ระเบิดก่อนหน้านั้น มันไม่ใช่แค่เหมือน มันใช่เลยด้วยซ้ำ เพราะป้ายทะเบียนก็เหมือนกัน
เขาประสบอุบัติเหตุที่ต่างประเทศ
เธอจับกำแพงที่เย็นเฉียบก่อนจะก้าวเดินลงไปอย่างช้า ๆ ภายในใจของเธอค่อย ๆ ปรากฏภาพที่เขานั่งอยู่ในรถจนกระทั่งรถระเบิด
เสียงฝีเท้าของโอวหยางลี่ก้าวเดินมาที่ด้านหลัง แต่เธอกลับไม่สนใจ แม้ว่าเธอจะเห็นมันแล้วก็ตาม แต่ภายในใจของเธอกลับไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น
จิตใจของเธอตอนนี้เข้มแข็งเกินกว่าใคร ไม่มีทางที่เขาจะจากไปแบบนี้แน่ ๆ
“โหรวโหรว ร้องไห้สิ! ร้องไห้ออกมา แล้วเดี๋ยวเธอก็ดีขึ้น!”
“นายหุบปากซะ!” เธอตะโกนออกมา
ตอนนี้เธอไม่อยากจะฟังเสียงของเขาเลยสักนิดเดียว ทุกคำพูดและทุกการกระทำ แต่ก็ต้องออกไปจากที่แห่งนี้ให้ได้ก่อน
โอวหยางลี่มองแผ่นหลังของเธอที่ก้าวเดินลงไปด้านล่าง ก่อนหน้านั้นเขายังคงเป็นคนที่มีบุคลิกสูงส่ง เพียงแต่ช่วงเวลานี้กลับเหมือนว่าเปล่าเปลี่ยว จองหอง เย็นชา และเย่อหยิ่ง
เธออาจจะเสียใจเรื่องของจิ่งเป่ยเฉิน แต่ตัวเขาล่ะ?
ภายในใจของเธอไม่มีเขาอยู่เลยงั้นเหรอ?
อันโหรวลงมาถึงชั้นสอง เธอรีบตรงเข้าไปที่ห้องแรก ปิดประตูและล็อกห้อง ก่อนจะยืนพิงกำแพงอยู่เงียบ ๆ
ภายในห้องเงียบสงบ แต่ด้านนอกเสียงฝีเท้ายังคงดังไม่หยุด
หัวใจของเธอค่อย ๆ แน่นขึ้น โอวหยางลี่คงไม่บ้าจนถึงขั้นเปิดประตูเข้ามาหรอกใช่ไหม?
เธอเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ช้าเสียงของโอวหยางลี่ก็ดังขึ้นที่ด้านนอก “โหรวโหรว เธอพักผ่อนดี ๆ นะ ฝันดี”
เธอรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งตัวลงกับพื้น โดยเอาหัวของเธอนั้นซุกไปที่เข่า เธอบอกว่าเธอจะรอเขากลับมา เธอยังรออยู่ แล้วเขาจะไม่กลับมาได้ยังไง?
“จิ่งเป่ยเฉิน นายยังจะกล้าพูดแบบนั้นก่อนไปอีกนะ ต่อให้ไปถึงประตูยมโลก ฉันก็ไม่ปล่อยนายไว้แน่!”
ที่ด้านนอกมีหิมะตกหนัก ตกโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ราวกับขนห่านที่ปลิวลอยมาติดที่หน้าต่าง ตัวแผ่นกระจกและแผ่นไม้บางส่วนก็ส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดอยู่ตลอดเวลา
อันโหรวยังคงนั่งอยู่บนพื้น ไม่ได้นอนหลับทั้งคืน ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ได้แต่นั่งจนฟ้าสว่าง
ช่วงเวลาทั้งคืน เธอคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาเคยเจอกัน ก่อนหน้านั้นช่างเป็นเวลาที่แสนพิเศษมากจริง ๆ แต่ตอนนี้หัวใจของเธอมันรู้สึกเจ็บปวดจนเกินจะทนไหว
หัวใจของเธอคล้ายกับว่างเปล่าและไม่รู้สึกใด ๆ
ที่นอกหน้าต่างฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เธอค่อย ๆ ใช้สองมือพยุงตัวให้ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ อาการชาที่ขาก็ไหลผ่านไปทั่วทั้งร่าง เธอนั่งยอง ๆ อยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะขยับตัวได้ก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งนาที
จิ่งเป่ยเฉินเกิดเรื่องขึ้นแบบนั้น เธอไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้ตลอด เธอต้องรีบออกไป หยางหยางกับหน่วนหน่วน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง
เมื่อคืนเธอก็ไม่กลับบ้าน พวกเขาคงเป็นห่วงมากแน่ ๆ
“โหรวโหรว เธอตื่นแล้วหรือยัง? ออกมากินข้าวเถอะ”
ที่ด้านนอกประตูมีเสียงของโอวหยางลี่ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา มันเกิดจากการร้องไห้ทั้งคืน
เธอค่อย ๆ เดินไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างหน้าล้างตา เมื่อมองไปที่กระจกที่สะท้อนใบหน้าก็เห็นดวงตาของเธอเต็มไปด้วยสีแดง เธอค่อย ๆ กุมหัวใจ หัวใจของเธอนั้นเจ็บปวดเกินจะทนแล้วจริง ๆ
เธอคิดอยากจะให้โอวหยางลี่ปล่อยเธอไปเสียที
เมื่อประตูห้องเปิดออก เธอก็เห็นโอวหยางลี่สวมชุดสูทสีดำพร้อมกับเนกไทสีน้ำเงินเข้ม ผมของเขาหวีเป็นทรงผู้ดี ราวกับว่าตอนนี้เขาเต็มไปด้วยพลังที่พร้อมทำงานอย่างเต็มเปี่ยม
“เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนเหรอ?” โอวหยางลี่มองไปที่เธอ คิดอยากจะตะโกนเสียงดังไปว่า ‘เขาตายไปแล้ว เธอไม่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่หรือไง?’
อันโหรวเหลือบมองเขา ก่อนจะเดินผ่านเขาไปอย่างช้า ๆ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ หัวใจของเธอไม่เคยได้หยุดพักเลยสักนิด
ให้นอนหลับ?
เธอจะนอนหลับได้ยังไง?
“ฉันไม่รีบ ค่อย ๆ ไปละกัน ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าเธอจะเป็นสภาพศพเดินได้แบบนี้ไปตลอด เธอจำไว้ด้วยว่าเธอยังมีลูกอยู่ ทางที่ดีมีชีวิตอยู่ต่อซะ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะทำทุกอย่างที่เธอคิดไม่ถึงแน่ ๆ” โอวหยางลี่พูดอย่างชั่วร้ายที่ด้านหลังของเธอ
เธอเดินไปที่โต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลง ร่างกายของเธอสภาพเป็นแบบนี้ เธอไม่มีทางออกไปได้แน่!
ส่วนเรื่องของเขาที่เป็นกังวลคงไม่ต้องห่วงอะไรมาก
โอวหยางลี่เฝ้ามองดูเธอกินข้าวเช้าอย่างตั้งใจ ไฟในใจของเขากว่าครึ่งล้วนหายไปหมด แต่ก็ต้องอารมณ์เสียเมื่อคิดว่าเธอมัวแต่คิดถึงจิ่งเป่ยเฉิน ทำหัวใจของเขายิ่งเหมือนถูกบีบมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงแต่ว่าไม่เป็นอะไรหรอก ในเมื่อจิ่งเป่ยเฉินตายไปแล้ว สักวันจิตใจของเธอก็ต้องปล่อยวางเรื่องพวกนี้แน่ ๆ
ส่วนเรื่องของเธอ….
อีกเดี๋ยวก็คงเหมือนกัน
อันโหรวค่อย ๆ กินอย่างช้า ๆ เธอรู้สึกว่าอาหารที่ดูน่าอร่อยขนาดนั้นเมื่อตักเข้าปากกลับไม่ได้รสชาติใด ๆ ทั้งสิ้น ยิ่งกินก็ยิ่งได้รสที่เหมือนกับขี้ผึ้ง
โอวหยางลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เขามองดูเธอที่ไม่ยอมกินอะไรสักนิดเดียว คล้ายกับว่าไม่มีความหิวใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็คิดว่าเขาทำถูกแล้วที่ให้เธอกินเพื่อประทังชีวิตไว้
“วันนี้ฉันจะออกไปข้างนอก เธออยู่บ้านไป อย่าได้คิดพยายามออกไปเชียว ไม่ว่าจะใช้กลอุบายใด ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากฉันกลับมาไม่พบเธออยู่ละก็ หยางหยาง หน่วนหน่วน…..” เขาไม่ได้กินข้าวจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นและเช็ดปากของตัวเอง และก้มหน้ามองไปเธอ “โหรวโหรว เดี๋ยวฉันจะรีบไปรีบกลับ”
“ไม่ต้องกลับน่าจะดีที่สุด” เธอพูดอย่างเย็นชา
“ฉันไม่กลับมาแล้วเธอจะทำให้ฉันพอใจได้ยังไง? ฉันพอใจเมื่อไหร่ ฉันก็จะปล่อยเธอไปเอง!” เมื่อมองดูใบหน้าที่นิ่งสงบของเธอ เขาก็ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา
“เดิมทีไม่ต้องออกไปก็ได้ แต่ทุกอย่างเป็นความผิดของจิ่งเป่ยเฉิน พิจารณาคดีในศาลก็สำคัญขนาดนั้น ถ้าฉันไม่ไปจะเป็นยังไง! แม้ว่ากลุ่มโอวหยางกรุ๊ปจะถูกโจมตีหนักขนาดไหนก็ไม่มีทางล้มหรอก” โอวหยางลี่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอ “แต่ไหนแต่ไรมา กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปก็ไม่ได้เหมือนเมื่อห้าปีก่อนหน้านั้น ไม่มีทางเหมือนตระกูลอันเมื่อครั้งอดีตด้วย”
“แน่นอนว่าไม่เหมือนหรอก กลุ่มโอวหยางรวมสกุลอันเข้าไป เติบโตจนอ้วนเสียขนาดนี้” มันเป็นเจ้าอ้วนที่โลภและน่ารังเกียจสิ้นดี!
“ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ก็จะไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นเหมือนเมื่อห้าปีก่อน” เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ความรู้สึกของพวกเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม และไม่มีทางถูกทำลายไปง่าย ๆ
อันโหรวเงยหน้าขึ้นมองโอวหยางลี่ ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “นายเป็นแบบนี้…..ป้าเฟยรู้หรือเปล่า?”
เขาก้มหน้าลงมอง เมื่อครู่คิดจะเดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ “เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่เธอต้องกังวลหรอก”
เธอยิ้มออกมา แต่ไม่ได้พูดอะไร
โอวหยางลี่รีบร้อนเพราะต้องไปขึ้นศาล เขายืนนิ่งมองดูเธอสักพักหนึ่งก่อนจะออกไป
เมื่อโอวหยางลี่เดินออกไปก็สั่งให้บอดี้การ์ดคุ้มกันสถานที่เอาไว้ ภายในวิลล่าจึงเหลือเพียงคนรับใช้ที่หูหนวกและเป็นใบ้เท่านั้น
ที่ด้านนอกหิมะยังคงตกอยู่ตลอด แต่หิมะนั้นกลับเบาบางมาก แต่เมื่อกองรวมกันก็กลายเป็นก้อนใหญ่ เมื่อคืนหิมะได้ตกหนักไปแล้ว
แต่ข้างในใจของเธอตอนนี้ก็เหมือนกับมีหิมะที่ตกหนักอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านั้นได้รับข้อความจากแม่ เธอก็คิดว่าถ้าหากหลังจากนี้ต้องแยกจากเขาไปก็คงทำได้ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เข้า เธอเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน
ไม่ได้แยกจากกัน แต่ตายจากกัน…
เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเจ็บแปลบขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาดื้อ ๆ จากการที่นั่งอยู่กับที่เมื่อคืน ดูคล้ายกับว่าตัวเธอตอนนี้เริ่มจะเป็นหวัดขึ้นมาแล้ว
เธอเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อหากระดาษกับปากกา เพื่อเขียนคำว่า ‘ซุปขิง’ และยื่นให้กับคนรับใช้ คนรับใช้เหลือบมองเธอก่อนจะพยักหน้าซ้ำไปมาและเดินไปที่ห้องครัว
ทางด้านตัวเธอเองก็เดินตามไปอย่างช้า ๆ แต่เมื่อมาถึงที่ประตูห้องครัวก็ถูกคนรับใช้ส่ายหน้าพลางโบกมือให้เธอแทน
ไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปอย่างนั้นเหรอ?
แม้แต่คนรับใช้เธอก็ยังเอาชนะไม่ได้
เธอคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก บอดี้การ์ดชุดดำก็เดินเข้ามาหาเธอ “คุณหนูอัน มีคำสั่งกำชับมาว่าไม่ให้คุณเข้าไปในห้องครัวครับ”
เธอเหลือบมองไปที่ชายร่างใหญ่สองคน ร่างกายของพวกเขาดูบึกบึนและแข็งแรง เธอไม่อาจสู้กับพวกเขาได้แน่ ๆ
มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ทีวีขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังก็ยังไม่อาจจะเปิดได้
เธอทำได้แค่มองดูผนังทีวีที่สวยงามแทน ความสิ้นหวังค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วร่าง