อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ - ตอนที่ 95 รู้ทัน
“แม่นางน้อย คุณสามารถสอนขบวนท่าการต่อสู้ของทหารของคุณให้พวกเราได้ไหม ฉันอยากลองดูว่าเหมาะสำหรับการฝึกซ้อมนายทหารหรือไม่” ฉีซิวหย่วนมีความตรงไปตรงมามากกว่าฉีเฮ่าหราน พูดแนวความคิดออกมาทันที
มู่หยางหลิงตกใจสะดุ้งแล้วเข้าใจในทันทีจึงพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า ” ได้อยู่แล้ว ดีซะอีกที่สามารถให้ความช่วยเหลือพวกคุณ”
ขบวนท่าการต่อสู้ของทหารเป็นสิ่งที่กองทหารอย่างพวกเขาต้องเรียน แต่ทักษะการต่อสู้แบบโบราณมีการสืบทอดมามากมาย มู่หยางหลิงไม่แน่ใจว่ายังมีขบวนท่าที่เหมาะสมกว่าในกองทัพหรือไม่ ในฐานะนายพลของกองทหารฉีซิวหย่วนน่าจะเข้าใจได้ชัดเจนและดีกว่า.
มู่หยางหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า ” งั้นพรุ่งนี้ฉันค่อยเริ่มสอนคุณชายฉีก็แล้วกัน รอให้เขาเป็นแล้วฉันค่อยไปก็ได้ ”
ฉีซิวหย่วนคิดว่าเธอนั้นจะไปจากบ้านนายพลแล้วกลับไปที่หมู่บ้านหลิวซาน ดังนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า ” หมู่บ้านหลิวซานของพวกคุณถูกไฟไหม้ไปแล้ว ไม่งั้นอาศัยอยู่ที่บ้านนายพลไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยกลับไปตอนฤดูใบไม้ผลิก็แล้วกัน”
“ พวกเราอยากรอให้คนในหมู่บ้านหลิวซานได้ปักหลักกันก่อนแล้วจะย้ายไปทางทิศใต้นะ”
“ย้ายไปทางทิศใต้เหรอ” ฉีซิวหย่วนยิ้มเล็กน้อยแล้วถาม ” พวกคุณกำลังจะย้ายออกไปจากเมืองซิงโจวแล้วเหรอ”
มู่หยางหลิงพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ ก็ใช่สิ ปีนี้หิมะต้นปีเข้ามาเร็วแค่หนึ่งเดือนเอง คนชาวหูก็เริ่มปล้นมายังทิศใต้แล้ว พอถึงฤดูร้อนก็กลัวว่าจะเกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงอีกด้วย เมื่อคนชาวหูย่ำแย่ก็จะเริ่มปล้นอย่างจริงจัง บ้านเราเด็กค่อนข้างเยอะ ท่านพ่อก็เลยกลัวว่าจะไม่สามารถปกป้องพวกเราได้ ดังนั้นเลยจะลงใต้ แม้ว่าการย้ายบ้านจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก แต่อย่างไรก็ตามยังดีกว่าความตาย ”
“ ใครบอกว่าฤดูร้อนจะเกิดภัยแล้งอย่างรุนแรง” ฉีซิวหย่วน ถาม
หรงซวนและเจียงเจ๋อมองมาด้วยความกังวล
ใบหน้าของมู่หยางหลิงรู้สึกเก๋อเขินเล็กน้อย “ นี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉันเอง ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นจริงเสมอไป”
ฉีซิวหย่วนถึงได้ผ่อนคลายลงแล้วถามอย่างอ่อนโยนว่า ” ไม่ทราบว่าหนูมู่คาดเดาจะอะไรบ้าง”
มู่หยางหลิงกล่าวตามความเป็นจริงว่า ” ปีนี้หิมะที่ตกครั้งแรกเร็วกว่าปีก่อน 1 เดือน พอตกก็ตกติดต่อกันห้าวันรวด ตอนนี้หิมะด้านนอกยังหนาประมาณนิ้วมือหนึ่ง ท่านลุงทวดของฉันบอกว่า ตามที่คนรุ่นเก่าเล่าไว้ตามประสบการณ์ ปีหน้าเม็ดฝนจะต้องลงน้อยมาก ถ้าโชคไม่ดีแล้วล่ะก็กลัวว่าจะต้องเจอกับภัยแล้งแน่นอน แต่ฉันกลับคิดว่า ปริมาณน้ำฝนที่อยู่บนฟ้านั้นก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน หิมะก็มาจากน้ำฝนเช่นกัน แล้วตอนนี้หิมะก็ตกก่อนกำหนดและในปริมาณที่เยอะมากแบบนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้น้ำฝนที่อยู่บนฟ้าก็จะน้อยลง ในต้นฤดูใบไม้ผลิหิมะก็จะละลายเป็นน้ำ น้ำในแม่น้ำก็จะสูงขึ้น ตามฤดูร้อนของทุกๆปีก็จะเป็นช่วงที่น้ำฝนตกชุกที่สุด พอถึงตอนนั้นยังจะมีน้ำฝนที่ไหนตกลงมาอีก ”
มู่หยางหลิงได้พูดหลักวิทยาการน้ำฝนง่ายๆออกมา เมื่อฉีซิวหย่วนกับเจียงเจ๋อได้ยินความคิดเห็นของเด็กอย่างเธอแล้วหัวเราะ ”
แต่ฉีเฮ่าหรานกับฟ่านจื่อจินกลับเชื่อ
ฟ่านจื่อจินกล่าวว่า ” พี่ใหญ่ ฉันรู้สึกว่าเธอพูดถูก ไม่เช่นนั้นลองเตรียมการไว้ล่วงหน้าก็ไม่เลวนะ ”
ฉีซิวหย่วนหัวเราะออกมา แม้ว่าปกติแล้วจะรู้สึกว่าน้องชายจะดูเป็นคนหนักแน่นและนิ่ง แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี แม้แต่คำพูดแบบนี้ก็ยังเชื่อ แต่เขาก็รู้ถึงความดื้อรั้นของน้องชายทั้งสองคน จะต้องคอยตามตื้อเขาอยู่ทั้งวันแน่ ดังนั้นฉีซิวหย่วนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ฉันจะเตรียมการไว้ก็แล้วกัน”
เด็กทั้งสามรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยืนคำพูดนี้
หลังจากที่ฉีซิวหย่วนเห็นพ่อบ้านจู้จึงกล่าวว่า ” อีกช่วงหนึ่งครอบครัวของตระกูลมู่จะเดินทางลงทิศใต้ คุณช่วยเตรียมของขวัญชั้นดีชุดหนึ่ง ตอนที่พวกเขาออกเดินทางค่อยมอบให้พวกเขา”
พ่อบ้านจู้รีบปากโดยเร็วว่า ” คุณชายใหญ่ไม่ต้องกังวล บ่าวจะเตรียมไว้ให้เพียบพร้อม”
แต่เจียงเจ๋อกลับกล่าวว่า ” เรื่องที่ครอบครัวตระกูลมู่อยากจะลงใต้ ในช่วงระยะสั้น ๆนี้เกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ”
“ทำไมล่ะ”
เจียงเจ๋อจึงได้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ประตูของสำนักงานรัฐบาลอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวต่อว่า“ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอู๋ซั่นไฉกับข้าราชการผูู้น้อยได้ตั้งใจวางแผนมาอย่างดีแล้วที่จะโกงที่นาของพวกเขา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเสบียงอาหารออกมาช่วยเหลือภัยพิบัตินี้ ถ้าตระกูลมู่อยากรอให้คนในหมู่บ้านหลินซานมีที่ตั้งรกรากปักหลักแล้วค่อยไปจากที่นี่ กลัวว่าจะต้องรออีกนานเลย”
ใบหน้าของฉีซิวหย่วนเต็มไปด้วยความโกรธ ” พวกเขากำลังใช้โอกาสภัยพิบัตินี้ในการปล้นเหรอ มันน่าเกลียดยิ่งกว่านักโทษชาวหูเสียอีก”
“ ถึงอย่างนั่นเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราไม่สามารถแทรกแซงเรื่องข้าราชการท้องถิ่นได้”
สีหน้าของฉีซิวหย่วนเคร่งขรึมแล้วถามว่า ” ถ้าที่นาส่วนใหญ่ของเมืองซิงโจวอยู่ในมือของพวกเขา นายคิดว่าปีหน้าค่าเสบียงอาหารของทหารพวกเราจะเก็บขึ้นมาเหรอ ”
“… ” เจียงเจ๋อรีบพูดขึ้นทันที ” จะปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จไม่ได้ ฉันจะไปหารือกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเดี่ยวนี้เลย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ฉีซิวหย่วนถึงได้สบายใจขึ้นมาหน่อย คนเหล่านี้แม้แต่ภาษีของชาติยังจะผลักวันยังพรุ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าภาษีที่เกี่ยวข้องกับค่าอาหารเสบียงของทหาร ตลอดเวลาที่ผ่านมาถ้าสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง ในมือของเขายังมีคนอีกเป็นหมื่นที่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งไม่ต้องการให้เหล่าทหารกินไม่อิ่มในขณะที่ต้องออกรบ
อู๋ซั่นไฉคงคิดว่าในส่วนที่เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นนั้นจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งฉีซิวหย่วนก็เป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครง่ายๆ ในวันนั้นเขาก็ให้เจียงเจ๋อนำผู้คนไปล้อมรอบทั้งเมือง ในข้อหาจับกุมผู้ต้องหาที่สมรู้ร่วมคิดกับผู้พิพากษาเฉียนซู่ของมณฑลหมิงสุย
ที่เฉียนซู่ทิ้งเมืองหนีไป ซึ่งสามาถทำเป็นข้อหาที่ใหญ่หลวงได้หรือการละทิ้งหน้าที่ก็ได้ แต่ฉีซิวหย่วนยังสามารถใส่เป็นข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับผู้ทรยศต่อประเทศโดยจงใจปล่อยให้ทหารพ่อยเข้าเมือง
ก่อนหน้านั้นที่อู๋ซั่นไฉปิดกั้นเขาไว้นอกประตูเมือง บัญชีนี้ยังไม่ได้รับการชำระเลย ซึ่งฉีซิวหย่วนไม่ถือสาเลยที่จะทำเรื่องนี้ให้วุ่นวายขึ้น
แต่อู๋ซั่นไฉที่อยู่ในสำนักราชการรู้สึกอึดอัดราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปตัวหนึ่ง เขาตบโต๊ะด้วยความโกรธ ” ฉีซิวหย่วนจะรังแกกันเกินไปแล้ว ”
อู๋ซั่นไฉโมโหและโกรธมาก ” ปล่อยให้เด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งมาก่อความวุ่นวายยังไม่พอ นี่เขายังกล้าส่งทหารมาล้อมสถานที่ทำงานของฉันอีก นี่เขาต้องการกบฏหรือไง ฉันจะช่วยสงเคาระห์เขาให้เอง ให้กษัตริย์มาเป็นคนตัดสิน ”
อาจารย์หวงเช็ดเหงื่อเย็นๆที่ไหลออกมาบนหน้าผากแล้วพูดกระซิบว่า ” นายท่าน เฉียนซู่ยังคงอยู่ในสำนัก ไม่สามารถปล่อยให้ฉีซิวหย่วนจับตัวเขาไปจากสำนักของเราได้ มิฉะนั้นโทษที่อยู่บนตัวเขาจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ท่านอย่างแน่นอน ”
อาจารย์หวงไม่คิดว่ากษัตริย์จะฟังความเพียงข้างเดียวของอู๋ซั่นไฉ เพราะไม่ว่าอย่างไรฉีซิวหย่วนมีเหตุผลที่ดีมากในการล้อมสำนัก และที่สำคัญคือคนที่เขาอยากได้ยังอยู่ในสำนักด้วย
แต่การเล่นงานของอู๋ซั่นไฉทีมีต่อฉีซิวหย่วนเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นซึ่งไม่มีหลักฐานอะไรเลย
อาจารย์หวงรู้สึกเสียดายมากครั้งที่อู๋ซั่นไปนั้นปิดกั้นฉีซิวหย่วนไว้ประตูนอกเมืองเขาไม่ได้ห้ามเอาไว้ มิฉะนั้นทั้งสองคนคงจะไม่ได้ผูกความแค้นไว้ลึกเช่นนี้
ฉีซิวหย่วนมาที่นี่สี่ปีแล้ว และเขาเป็นคนที่ค่อยติดต่อกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด ทำให้เขารู้จักกับฉีซิวหย่วนดีกว่านายอำเภอท่านนี้
ดูภายนอกฉีซิวหย่วนเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมา แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเขาเป็นอันขาด ในเมื่ออู๋ซั่นไฉทำให้เขาต้องขุ่นเคือง ความขุ่นเคืองนี้เขาสามารถจำได้เป็นสิบปี
“ แล้วคุณว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ข้างนอกสำนักมีคนของเขาเต็มไปหมด จะส่งคนออกไปได้อย่างไร” อู๋ซั่นไฉถามอย่างหงุดหงิด
อาจารย์หวงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า ” นายท่าน ไม่งั้นท่านแสร้งทำเป็นซักถามเขาอย่างตำหนิ แล้วให้เฉียนซู่แต่งตัวเป็นคนในสำนักเดินตามท่านออกไป ระหว่างทางก็ให้เขาหาทางหลบหนี สำหรับคนในครอบครัวของเขาข้างนอกก็ไม่มีใครรู้จัก ณ ตอนนี้เอาพวกเขาไปกักขังไว้ชั่วคราวก่อน ”
” ดีมาก ทำตามที่คุณบอกได้เลย แต่ฉันจะไปซักถามเขาว่าอย่างไร”
ท่านจะสามารถพบเจอกับฉีซิวหย่วนหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
“ … นายท่านแค่ซักถามเรื่องที่ท่านต่อว่านายพลฉีเมื่อครู่ก็พอ ทางที่ดีที่สุดขอเด็กที่สร้างความวุ่นวายเมื่อเช้านี้มาให้ได้ พอถึงตอนนั้นจะได้มีข้ออ้างให้กับรองผู้ว่าเหอและคนอื่นรวมถึงเหล่าเหยียด้วย ”
อู๋ซั่นไฉพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ” ไม่เลว เด็กที่นามสกุลมู่คนนั้นร้ายจริงๆ จะต้องจำไว้ให้ดี ปีหน้าภาษีของครอบครัวเธอเพิ่มขึ้นอีกสามสิบเปอร์เซ็น และภาษีของหมู่บ้านที่เธออยู่จะเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็น”
อาจารย์หวงอ้าปากค้าง แต่สุดท้ายก็ก้มหัวตอบรับ
อู๋ซั่นไฉให้เฉียนซู่แต่งตัวเป็นคนในสำนัก แล้วพาเขาเดินออกไปที่ประตูอย่างหน้าตาเฉย อาจารย์หวงรีบเดินตามหลังเขาอย่างใกล้ชิด ทันทีที่เขาเดินออกไปก็ไปสบตาเข้ากับเจียงเจ๋อที่นั่งอยู่บนม้า อาจารย์หวงตกใจอย่างกับกระดิ่งแกว่งไปแกว่งมา สัญชาตญาณของเขารู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที กำลังจะให้เฉียนซู่ รีบกลับไป แต่อู๋ซั่นไฉนั้นได้เดินเข้าไปอย่างก้าวร้าวและตะโกนว่า ” เจียงเจ๋อ แกเป็นแค่บอดี้การ์ดเท่านั้น พบข้าแล้วไม่คุกเข่าไม่พอ แต่ยังบังอาจนั่งอยู่บนม้า ”
เฉียนซู่รีบเดินตามหลังอู๋ซั่นไฉอย่างใกล้ชิด
อาจารย์หวางที่อยากจะดึงเฉียนซู่ไว้”… ”