อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ - ตอนที่ 92 คำถาม
ดวงตาทั้งคู่ของมู่หยางหลิงจ้องมองอาวุธที่วางอยู่ทั้งสองข้างของสนามแล้วถามว่า ” คุณถนัดกับอาวุธอะไรบ้าง ”
“ดาบหรือหอก” ฉีเฮ่าหรานเลือกหยิบหอกอันหนึ่งออกมา จากนั้นจึงเล่นแสดงหอกราวกับดอกไม้ดอกหนึ่ง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า ” แล้วเธอล่ะ”
มู่หยางหลิงมองอาวุธเหล่านั้นด้วยความเสียดายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า ” ฉันถนัดในการใช้ธนูหรือมีดสั้น ถ้าเป็นไปได้กริชจะดีที่สุด”
มู่หยางหลิงนอกเหนือจากฝีมือการใช้หอกแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดและถนัดที่สุดก็คือการต่อสู้ระยะใกล้ อาวุธของเธอจึงเป็นมีดสั้นหรือกริช
ดวงตาของฉีเฮ่าหรานยิ่งเป็นประกายขึ้นมาทันที ” ทักษะการยิงธนูของฉันก็ไม่เลวเช่นกัน เดียวเราลองประลองกันดูนะ” ฉีเฮ่าหรานถามด้วยหอกที่อยู่ในมือ ” ประลองดูเหรอ”
“ ฉันอยากเห็นฝีมือการใช้หอกของเธอก่อน แล้วค่อยประลองก็แล้วกัน”
ฟ่านจื่อจินเขย่าพัดที่อยู่ในมือแล้วยิ้ม ” สำหรับเฮ่าหรานแล้วนี่อาจจะไม่ยุติธรรมนิดหน่อย”
ปากของมู่หยางหลิงกระตุกเล็กน้อย แล้วมองไปที่พัดพับในมือของเขาจากนั้นพูดว่า ” ไม่ต้องกังวล ฉันแค่อยากเห็นฝีมือของเขา ถ้าพวกคุณคิดว่ามันไม่ยุติธรรมแล้วล่ะก็ เดียวฉันจะสามารถแสดงท่าของฉันให้ดูก่อนก็ได้”
“ ตกลงตามนั้น” ฉีเฮ่าหรานพูดจบ จึงเริ่มโยนหอกออกมาแสดงท่าขึ้นมาในสนาม เหมือนกับมังกรรอบตัวหอกทะลุอากาศ มู่หยางหลิงรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ในนั้น ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นทันที และเต็มไปด้วยสมาธิในการรับชม
ฉีซิวหย่วนกับหรงซวนและเจียงเจ๋อที่ยืนอยู่ที่สูงมองลงไป เจียงเจ๋อพูดยกย่องว่า “ฝีมือหอกไม่เลวจริงๆ ฝีมือหอกของคุณชายสี่เมื่อเปรียบกับตระกูลหยวนแล้ว ไม่เป็นลองเขาเลย”
มุมปากของฉีซิวหย่วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ปากกลับพูดว่า ” หอกของตระกูลหยวนในสนามรบไม่มีใครเทียบได้เลย เฮ่าหรานยังเล็กอยู่ จะไปเทียบกับหอกของตระกูลหยวนได้อย่างไร
ความหมายที่ซ่อนลึกอยู่ก็คือ เมื่อโตขึ้นมาก็จะสามารถเอาชนะตระกูลหยวนได้อย่างแน่นอน
หรงซวนจับจมูกของตัวเองแล้วมองลงไปที่สนาม มู่หยางหลิงกำลังตั้งท่าฝึกซ้อมขึ้นมา เมื่อเจียงเจ๋อเห็นหมัดและจังหวะของมู่หยางหลิงก็หัวเราะออกมาเสียงดังว่า “ ยัยสาวมู่คนนี้ทำไมถึงไปเรียนท่ามวยเช่นนี้” ท่ามวยเช่นนี้กลัวว่ายังไม่ทันได้ออกมือก็ถูกฝ่ายตรงข้ามล้มลงก่อนแล้ว โชคดีที่เธอยังไม่เคยออกไปสัมผัสกับโลกภายนอกมาก่อน ”
แม้แต่ฉีซิวหย่วนยังหัวเราะส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า ” เธอไม่ได้เป็นคนที่ต้องออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอกซะหน่อย ดังนั้นเธอเรียนแค่ป้องกันตัวก็พอแล้ว … ” ก่อนที่จะพูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าของฉีซิวหย่วนก็ค่อยๆจางหายไป แล้วดูทักษะการชกของมู่หยางหลิงที่เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความเคร่งขรึม
หรงซวนกับเจียงเจ๋อสบตากันเล็กน้อยด้วยความมึนงง “ มีอะไรเหรอ”
ฉีซิวหย่วนยิ่งสังเกตมองอย่างละเอียด แทบเกือบจะตามการเคลื่อนไหวของมู่หยางหลิงไป จากนั้นไม่นานก็กล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม “เทคนิคทักษะการชกประเภทนี้ ไม่สามารถใช้ได้ในโลกภายนอก แต่มันสามารถใช้รวมกับกองทหารได้”
ขณะที่พูดก็หันหลังเดินลงไป ” ไปกันเถอะ ไปดูที่ใกล้ ๆ กันดีกว่า”
หลังจากดูสักพักฟ่านจื่อจินก็หมดความสนใจไปแล้ว นี่เป็นเพียงเทคนิคการชกธรรมดาๆ ยิ่งไปกว่านั้นขบวนท่าที่เธอใช้บางท่ายังไม่สามารถรับมือกับท่าพื้นฐานของเขาได้เลย ดวงตาของเขายิ่งอยู่ยิ่งเปิดกว้างขึ้น เขาเรียนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เขายังเด็กๆ และสามารถถือดาบไม้ฝึกฝนตามข้างหลังลุงของเขาได้ตั้งแต่อายุสามขวบ ดังนั้นเมื่อมู่หยางหลิงแสดงถึงขบวนท่าที่ห้าเท่านั้น เขาก็สังเกตเห็นได้ว่าทักษะการชกที่ดูเรียบง่ายของเธอ ซึ่งแต่ละท่านั้นจู่โจมจุดอ่อนของร่างกายได้อย่างแม่นยำ ถ้าอยู่ในโลกภายนอกอาจจะไม่มีจุดเด่นอะไร แต่ในกองทหารนั้นกลับใช้งานได้เป็นอย่างดี
ในโลกภายนอกกังฟูสามารถเป็นอันดับหนึ่งในกองทัพได้ แต่นั่นเป็นเพียงความสำเร็จของคน ๆ ฉีเฮ่าหรานมีพรสวรรค์ในการเป็นแม่ทัพมาก และสิ่งที่เขาใฝ่หาคือความแข็งแกร่งของกองทหาร
ท่านแม่ทัพจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่นายทหารมีถึงหลายพันหมื่นนาย
ท่าการเคลื่อนไหวของมู่หยางหลิงนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก แต่ละท่าล้วนเป็นกันโจมตีจุดอ่อนทั้งนั้น เพราะมันเรียบง่ายและเรียนรู้ได้ง่าย การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมาะสำหรับการฝึกซ้อมในหมู่ใหญ่ ถ้าหากเรียนการทั้งกองทัพ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนชาวหู เขาไม่เชื่อว่าพวกเขาห้าคนจะไม่สามารถล้มคนชาวหูได้หนึ่งคน.
ฉีเฮ่าหรานจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ร้อนรน ” ขบวนท่าการต่อสู้ทั้งหมดนี้ใครเป็นคนสอนเธอเหรอ ฉันสามารถเรียนได้ไหม ” ถ้าเขาสามารถเรียนรู้ได้ จื่อจินและพี่ชายใหญ่ก็จะสามารถเรียนรู้ได้เช่นกัน จากนั้นก็ค่อยๆถ่ายทอดออกไป
“… นี่เป็นขบวนท่าการต่อสู้ของทหาร ฉันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดสร้างมันขึ้นมา แต่ฉันเรียนรู้มันแล้ว”
ฟ่านจื่อจินมองเธอด้วยความสงสัย แต่ฉีเฮ่าหรานมุ่งความสนใจไปที่ประโยค”ขบวนท่าการต่อสู่ของทหาร งั้นก็เป็นขบวนท่าที่ใช้สำหรับฝึกซ้อมทหารใช่ไหม ”
มู่หยางหลิงพยักหน้า “ ถูกแล้ว ทักษะการต่อสู้ค่อนข้างที่จะพิเศษ ซึ่งอาจจะไม่มีทางสู้คนอย่างพวกคุณที่สามารถลอยตัวได้ แต่เพียงพอที่จะจัดการกับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการได้”
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ในโลกนี้จะมีกี่คนที่อยู่ในวงการนี้ และจะมีกี่คนที่สามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ที่ดีที่สุดได้ ขณะฉันกับพี่ชายใหญ่ยังดีที่ได้รับการเรียนรู้จากครอบครัวของท่านลุง ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นเพียงกำปั้นธรรมดาทั่วไป ”
ฉีเฮ่าหรานขว้างหอกออกไป ” ไม่งั้นพวกเรามาลองหมัดมวยกันหน่อยไหม”
“ได้สิ” มู่หยางกำหมัดแน่นแล้วพูดอย่างดีใจ ” คุณสามารถใช้กำลังภายในเพื่อเสริมกำลังให้ตัวเองได้นะ ฉันมีแรงกำลังค่อนข้างเยอะมาก”
ฉีเฮ่าหรานก็อยากรู้เหมือนกันว่ามู่หยางหลิงจะทรงพลังแค่ไหน ดังนั้นขณะที่เขาชกจึงใช้กำลังภายในไปครึ่งหนึ่ง ใครจะรู้ว่ามู่หยางหลิงจะสามารถรับกำปั้นของเขาได้อย่างไม่เกรงกลัว ยังดึงเขาไปข้างหน้าแล้วเตะเขาไปทีหนึ่ง ฉีเฮ่าหรานรีบลอยตัวขึ้นไปทันทีเพื่อหลบเธอ …
เมื่อเท้าที่มู่หยางหลิงเตะออกไปลงพื้นทำให้พื้นนั้นเป็นรอยหลุมเท้าของเธอเลย พร้อมกับเสียงดังเทื่อ
ฟ่านจื่อจิน “… ” เมื่อเห็นคนทั้งสองกำลังต่อสู้การอย่างเมามัน ทำให้เขาไม่อยากพูดอะไรอีกเลย
มู่หยางหลิงไม่ได้ใช้เต็มแรงกำลังของเธอ เพราะเธอไม่รู้ว่าถึงแรงกำลังความแข็งแกร่งของฉีเฮ่าหราน หลังจากที่ทั้งสองได้ประลองไปสองสามขบวนท่าถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถต้านแรงกำลังของเธอได้มากแค่ไหน
ในที่สุดฉีเฮ่าหรานก็ใช้กำลังภายในทั้งหมดที่มี ในขณะที่มู่หยางหลิงใช้พละกำลังเพียงแค่หกสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ซึ่งมากเกินพอที่จะใช้สำหรับฉีเฮ่าหราน
ในตอนแรกที่ทั้งสองคนต่อสู้กันนั้นยังใช้ทักษะและจินตนาการบ้าง แต่พอถึงตอนท้ายๆขบวนท่าแต่ละท่าล้วนเข้าเนื้อกันทั้งนั้น
ฟ่านจื่อจินที่อยู่ข้างสนาม “… ” รู้สึกเสียวฟันมาก
ฉีเฮ่าหรานที่ต่อสู้กันจนถึงตอนท้ายหัวเราะออกมาอย่างสบายใจแล้วตะโกนว่า “เจ๋ง ไว้คราวหน้าพวกเราค่อยมาประลองกันอีกที”
มู่หยางหลิงสัมผัสบาดแผลที่อยู่บนเอวแล้วกล่าวว่า ” ถ้าอย่างนั้นสงสัยคุณจะต้องรออีกนานเลย”
“ ทำไมเหรอ บาดแผลฉีดแล้วเหรอ ” ฉีเฮ่าหรานรีบถามขึ้นมาอย่างกังวล
“เปล่า แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะหายเร็ว ๆ นี้แล้ว”
“เฮ่าหราน บาดแผลของมู่หยางหลิงยังไม่หายดีเลย นายประลองกับเธอได้อย่างไร” ฉีซิวหย่วนที่เฝ้าดูพวกเขาอยู่นานเดินเข้ามา
มู่หยางหลิงรีบยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายพลฉี แผลของฉันเกือบจะหายดีแล้ว”
“แม้ว่าเกือบจะหายดีแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับการเคลื่องไหวหนักหน่วงเช่นนี้ กลับไปฉันให้หมอไปช่วยเธอดูหน่อย ” ฉีซิวหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ” มู่หยางหลิง เมื่อกี้ฉันเห็นว่าคุณรับมือได้ค่อนข้างสบายมาก เห็นได้ว่าคุณค่อนข้างที่จะเก่งและฝึกมาดีมาก ”
“ พี่ชายใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเรียนรู้กำลังภายใน แต่เธอเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมซึ่งใกล้เคียงกับกำลังภายใน แทบยังรู้สึกว่าได้เปรียบกว่ากำลังภายในของร่างกายที่เรามี พวกเรายังต้องแยกจิตภายในออกเพื่อควบคุมความแข็งแกร่งของภายใน แต่เธอไม่ต้องใช้มัน” ฉีเฮ่าหรานรู้สึกอิจฉามาก“ ถ้าฉันเกิดมาพร้อมกับแรงกำลังภายนอกที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้ก็ดีสิ พี่ชายใหญ่ บรรพบุรุษของเราไม่มีสายเลือดของชาวหูเลยเหรอ ”
หรงซวนลดศีรษะลงแล้วยักไหล่
บนหน้าผากของฉีซิวหย่วนเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่หดตัว ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่ามีคนนอกอยู่ เขาอยากจะเตะหัวหนุ่มคนนี้จริงๆ
ฟ่านจื่อจินกลอกตาใส่อย่างไม่เกรงใจ แล้วมองไปที่หรงซวน แต่ก็ไม่ได้ลงมือตีคน
มู่หยางหลิงกล่าวอย่างจริงจังว่า ” ไม่ใช่ว่าคนชาวหูทุกคนจะมีความสามารถนี้ตั้งแต่เกิด แต่ฉันได้ยินท่านพ่อบอกว่า ในกลุ่มนักรบของท่านปู่ทวดมีพรสวรรค์นี้หลายคนอยู่เหมือนกัน ถ้าคุณต้องการมันจริงๆ อนาคตข้างหน้าคุณสามารถไปหากลุ่มนักรบนั้น หลังจากนั้นก็แต่งงานกับลูกหลานของพวกเขา บางทีเด็กน้อยที่เกิดมาอาจจะมีพรสวรรค์นี้ก็ได้ ”
ฉีเฮ่าหรานกระพริบตา ” แต่ผู้หญิงชาวหูแข็งแกร่งและตัวใหญ่เกิน ฉันไม่ชอบ แต่งกับเธอยังดีกว่า ”
ผู้คนที่อยู่รอบๆ “… ”
ในฐานะผู้ปกครองฉีซิวหย่วนจ้องมองน้องชายที่ไร้เดียงสาและงมงาย ทันใดนั้นก็รู้สึกกังวลใจมาก