ลึก ๆ ในใจฟางจู้จื่อเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว แต่เขาก็ยังดึงหน้ากลบเกลื่อนต่อไป “ข้าลิ้นพันกันไปหน่อยน่ะ เออ ใช่ เราสองคนเจอของสิ่งนี้ด้วยกัน”
หลิวหยวนมองหน้าพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่นจะพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พอ ๆ ข้าไม่อยากได้ของของพวกเจ้าหรอก รีบเก็บมันซะ แล้วกลับไปพร้อมกับข้า พวกเขากำลังจะกลับหมู่บ้านกันแล้ว”
แต่ฟางจู้จื่อก็ยังพูดเยาะเย้ยขึ้นมาอีกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าพวกเราไปเจออะไรมา?” พูดจบเขาก็หลีกทางให้หลิวหยวนเห็นพืชที่ขึ้นอยู่บนเนินดินนั่น “มันคือโสม แล้วเจ้าดูที่เส้นอายุมันตรงนี้นะ พวกข้าต้องขายได้กำไรเยอะแน่ แล้วข้าสองคนก็จะมีเงินมีทองมากมายจนใช้ไม่หมด แล้วก็ไม่ต้องออกมาหาอาหารกับพวกเจ้าอีก”
หลิวหยวนจ้องมองพืชต้นนั้น “นี่คือโสมงั้นรึ? พวกเจ้ารู้ได้ยังไง?”
หลิวต้าจ้วงลูบท้ายทอยของเขาด้วยความเขินอาย “เมื่อ 2 ปีก่อน ร่างกายของพ่อข้าไม่ค่อยแข็งแรง ข้าก็เลยเข้าเมืองไปซื้อยาให้พ่อ แต่บังเอิญเจอคนขายโสมที่เพิ่งขุดมาใหม่ ๆ ก็เลยรู้จักมัน พอข้าได้เห็นเจ้าต้นนี้ ข้าก็คิดว่ามันเหมือนกับที่ข้าเคยเห็น เพียงแต่ข้าไม่กล้าขุดมันขึ้นมาเอง เพราะข้ากลัวว่าจะทำมันเสียของ พ่อค้าโสมคนนั้นเคยบอกข้าว่า ถ้าขุดไม่เป็นแล้วทำให้ตัวโสมเสียหาย ถึงแม้ว่าจะแค่เพียงนิดเดียวก็ทำให้มันเสียราคาไปได้ครึ่งนึงเชียวนะ” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเขาถึงล่าช้ากันอยู่ตรงนี้
หลิวหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วครุ่นคิดว่า นี่มันโสมในตำนานนี่นา “ถ้าอย่างนั้นเราไปพาอาหลิงมาที่นี่กันเถอะ นางเข้า ๆ ออก ๆ ป่าเขาอยู่บ่อย นางน่าจะรู้ว่าต้องทำยังไง”
“ไม่ได้เว้ย” ฟางจู้จื่อปฏิเสธเสียงแข็ง “ถ้าให้นางมาเห็นเข้า แล้วส่วนแบ่งมันจะตกถึงพวกข้าสักเท่าไหร่กันเชียว?”
“พี่ชาย ท่านพูดอะไรของท่านน่ะ? ท่านเห็นนางเป็นคนอย่างนั้นเรอะ?”
ฟางจู้จื่อตะคอกกลับทันที “นางเคยกล่าวไว้ชัดเจนว่านางไม่ชอบข้า ถ้าหากว่าเจ้าไปเรียกนางมาจริง ๆ เนี่ย ไม่ถึงต้องคิดถึงเรื่องส่วนแบ่งเลยนะ นางจะต้องแกล้งขุดจนมันเสียก่อนแน่ และยิ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พวกข้าจะไปทำอะไรได้วะ”
หลิวต้าจ้วงขมวดคิ้วแน่น ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด “อาหลิงไม่ใช่คนอย่างนั้น พี่จู้จื่อคิดมากเกินไปแล้วล่ะ” ในใจหลิวต้าจ้วงเองก็รู้สึกผิดหวังที่ชวนฟางจู้จื่อออกมากับเขาด้วย เพราะถ้าหากว่าเป็นคนอื่น เรื่องมันก็คงไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้
หลิวหยวนบ้ายมือใส่พวกเขาด้วยความรำคาญ “พอ พอ พอ จะทำยังไงก็คิดกันเอาเอง เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว พี่ใหญ่เองก็เร่งให้พวกเรารีบกลับไปอยู่ด้วย…..”
มู่หยางหลิงนอนหลับตาพริ้ม เอาหูแนบกับพื้นหญ้า เพื่อที่จะให้ได้ยินเสียงของทุกสรรพสิ่งในป่าใหญ่ ในขณะที่นางกำลังเพลิดเพลินกับเสียงธรรมชาติท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ จู่ ๆ ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างกระแทกเข้ามาในหูของมู่หยางหลิง จนนางสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
หลิวถิงและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันตกใจไปด้วย “มีอะไรน่ะ?”
มู่หยางหลิงไม่ได้ตอบคำถาม และพยายามเงี่ยหูฟังต่อ จนเสียงนั่นดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เมื่อนางมั่นใจแล้วว่าอันตรายกำลังมาถึงตัว นางจึงกระโดดโลดเต้นให้สัญญาณทุกคนว่า “รีบเก็บของแล้วออกจากที่นี่กันเดี๋ยวนี้ อย่าเอะอะโวยวายเสียงดังล่ะ สัตว์ร้ายกำลังมา เร็วเข้า!”
แต่หลิวถิงก็นึกขึ้นได้ว่า “จู้จื่อกับต้าจ้วงยังไม่กลับมาเลยนะ อาหยวนเองก็กำลังไปตามพวกเขาอยู่”
มู่หยางหลิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “พวกเขาไปถึงไหนกันแล้วล่ะน้า? ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามไปไกลน่ะ?”
คนอื่น ๆ ยืนมองมู่หยางหลิงกับหลิวถิงตาปริบ ๆ ในใจก็ฝืนความกลัวไปด้วย เพราะถ้าหากว่าไม่มีมู่หยางหลิงนำทางมาละก็ พวกเขาไม่มีทางกล้าเข้ามาในหุบเขานี้เองแน่ และถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะออกล่าสัตว์ได้อย่างปลอดภัยมาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้พวกเขาต้องหมอบคลานลงบนพื้นหญ้า และคอยดูมู่หยางหลิงอยู่ตลอดเวลาว่านางส่งสัญญาณอะไรต่อ เมื่อฝูงหมาป่าวิ่งผ่านหน้าพวกเขาไป สีหน้าของมู่หยางหลิงก็เปลี่ยนไปทันที เนื่องจากสัตว์ร้ายที่วิ่งต้อนฝูงหมาป่านั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก
และเป็นเพราะจู้จื่อกับต้าจ้วงที่ยังไม่กลับมา ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกเดินทางต่อได้ในทันที หนำซ้ำยังต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ด้วย
เมื่อมู่หยางหลิงเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ทุกคนสามารถรับมือได้อยู่ นางจึงพูดกับหลิวถิงว่า “ท่านพาคนอื่น ๆ ออกไปจากหุบเขาก่อนเลย ข้าจะไปตามพวกเขากลับมาเอง ในขณะที่เดินออกจากที่นี่ ห้ามส่งเสียงดังออกมาเป็นอันขาด และถ้าเกิดอะไรขึ้นให้ท่านเป่านกหวีดที่ข้าให้ไว้”
หลิวถิงหันกลับมาพูดกับทุกคนด้วยสีหน้ามืดมนว่า “พวกเราไปกันก่อน”
ชาวบ้านที่เหลือจึงแบกของวิ่งตามหลิวถิงไป โดยระยะทางจากจุดที่พวกเขานั่งพักกับปากทางออกนั้นต้องใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้
มู่หยางหลิงวิ่งมาได้ซักพักก็เห็นพวกเขาทั้งสามกำลังยืนกัดฟันเถียงกันอยู่ นางจึงวิ่งเข้าไปคว้าแขนของหลิวหยวน “นี่พวกท่านมัวทำอะไรกันอยู่ตรงนี้น่ะ? สัตว์ร้ายกำลังมา รีบไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนตกใจกลัวจนตัวสั่น แต่แล้วฟางจู้จื่อก็วิ่งเข้ามาขัด “ไม่ได้ พวกข้ามีบางอย่างต้องจัดการ”
“หุบปากไปเลยนะลุง ข้าพาพวกท่านเข้ามาในนี้แท้ ๆ
ฟางจู้จื่อเลิกคิ้วแล้วตอบกลับว่า “เจ้าคิดว่าจะหลอกพวกข้าได้งั้นหรือ? พวกเราเข้าป่ากันมาตั้งหลายหนแล้ว ไม่ยักจะเจอสัตว์ร้ายอะไรเลย ถ้าอยากจะไป พวกเจ้าก็ไปกันเลย ข้าไม่ไปด้วยหรอก”
“อาหลิง พวกเขาเจอโสมอยู่ตรงนี้น่ะ รีบขุดมันออกมาก่อน แล้วค่อยออกจากที่นี่ดีไหม?
มู่หยางหลิงไม่สนใจเรื่องไร้สาระของพวกเขา แล้วพูดขึ้นต่อว่า “มีสัตว์ร้ายกำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเสือโคร่งกับหมีดำที่กำลังสู้กันอยู่ พวกท่านจะอยู่ต่อหรือจะไปกับข้า? ถ้าจะไปก็ไปพร้อมข้าเลย แต่ถ้าอยากจะอยู่ต่อ ก็อยู่กันไป ก่อนเข้าป่าก็ตกลงกันดีแล้วว่าทุกท่านต้องเชื่อฟังข้า แต่ในเมื่อไม่เชื่อฟังและอยากรนหาที่เองอย่างนี้ ข้าก็ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นแหละนะ”
พูดจบนางก็หันหลังเดินจากพวกเขาไปทันที เพราะถ้าหากว่าพวกเขาเป็นดั่งเพื่อนร่วมรบของนาง นางคงจะเอาแส้มาตามหวดพวกเขาให้กลับไปกับนางแล้ว แต่พวกเขากลับไม่เชื่อฟังคำเตือน และมู่หยางหลิงเองก็เกลียดคนที่ชอบแหกกฎด้วยเหมือนกัน
หลิวหยวนเลิกสนใจชายทั้งสองคนด้านหลัง แล้วเดินตามมู่หยางหลิงออกไปเช่นกัน ส่วนหลิวต้าจ้วง พอเห็นสถาณการณ์ไม่น่าไว้ใจ เขาก็ลังเลอยู่ครู่นึง ก่อนจะวิ่งตามมู่หยางหลิงมาด้วยอีกคน โดยไม่ลืมที่จะดึงแขนฟางจู้จื่อมาด้วย “รีบไปเถอะ เชื่ออาหลิงเถอะนะ”
มู่หยางหลิงเข้าป่ากับพ่อทุกวัน จวบจนวันนี้ก็เป็นเวลา 3 ปีกว่าเข้าไปแล้ว การคาดคะเนต่าง ๆ ของนางจึงแม่นยำแน่นอน
ฟางจู้จื่อเริ่มลังเล ก้มหน้ามองโสมต้นนั้นที มองไปทางคนสามคนที่เพิ่งวิ่งออกห่างจากเขาไปที จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขุดโสมต้นนั้นออกมาอย่างรวดเร็วด้วยมือทั้งสองข้าง
“โฮกกกกกกก” เสียงคำรามของเสือดังกึกก้อง
“บ้าจริง!” ฟางจู้จื่อตกใจจนล้มลงนั่งกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ เมื่อทุกอย่างเงียบสงัดลง เขาก็เพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่นั่งจ๋ออยู่ท่ามกลางป่าแห่งนั้น และถึงแม้ว่าเสียงคำรามนั่นจะเงียบไปแล้ว แต่มันก็ยังดังก้องอยู่ในหูของฟางจู้จื่อไม่หาย
ฟางจู้จื่อจึงทิ้งโสมนั่นลงกับพื้นอย่างไม่คิด แล้ววิ่งไปตามทางที่มู่หยางหลิงเดินออกไปทันที
หลิวหยวนที่ได้ยินเสียงคำราม ก็ตกใจคว้าแขนมู่หยางหลิงไว้ “อาหลิง ข้าทิ้งลุงของเจ้าไว้คนเดียวไม่ได้จริง ๆ ข้ากลับไปตามเขาก่อนนะ”
มู่หยางหลิงถอนหายใจ แล้วตอบกลับว่า “น้าหยวนวางใจเถอะ เขาขี้ขลาดขนาดนั้น เดี๋ยวก็วิ่งตามพวกเรามาเองแหละ แล้วยิ่งมีเสียงคำรามดังขนาดนี้ เขาต้องรักตัวกลัวตายจนวิ่งตามมานี่แน่ เราแค่ชะลอฝีเท้ารอเขาก็พอ”
หลิวหยวนยังคงกังวลอยู่ และไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นอย่างที่มู่หยางหลิงพูดหรือไม่ แต่เมื่อนางยืนกรานมาอย่างนั้น เขาจึงเดินมุ่งหน้าไปต่อ และพอเดินไปได้ซักพัก มู่หยางหลิงก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง
หลิวหยวนกับต้าจ้วงจึงรีบหันไปมองตาม และเห็นว่าฟางจู้จื่อกำลังวิ่งโซซัดโซเซตามพวกเขามาจริง ๆ ส่วนฟางจู้จื่อ เมื่อเห็นพวกเขาสามคนด้านหน้า เขาก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่รอข้าวะ? ถ้าข้าตายขึ้นมา พวกเจ้ารับผิดชอบกันไหวรึ?”
“เงียบ!” มู่หยางหลิงจ้องหน้าฟางจู้จื่อด้วยสายตาที่ไร้เยื่อใย “ถ้ายังไม่หยุดตะโกน ข้าจะยิงธนูใส่ท่านเดี๋ยวนี้แหละ ท่านกลัวว่าเสือมันจะตามท่านมาไม่ทันรึไง?”
พูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของฟางจู้จื่อ นางรีบหันหน้ากลับทันที และเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว “รีบไปกันได้แล้ว เราจะต้องตามน้าถิงให้ทัน”
ฟางจู้จื่อวิ่งไปบ่นไป “ข้าเป็นลุงของเจ้านะ ใยเจ้าถึงทิ้งข้าไว้ข้างหลังอย่างนั้น?”
มู่หยางหลิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาในขณะที่นางยังวิ่งอยู่ด้วย “ไม่ใช่ว่าลุงอยากจะอยู่ต่อเองหรอกเรอะ? อีกอย่าง ข้างหน้ายังมีอีกตั้ง 10 คนที่ยังออกไปไม่พ้นจากป่านี่ ถ้าเกิดว่าพวกเขาเป็นอะไรขึ้นมา ชาวบ้านในหมู่บ้านได้รุมถลกหนังหัวลุงคนเดียวแน่ เห็นรึยังล่ะ ว่าข้าควรต้องช่วยใครก่อน” เมื่อเห็นสีหน้าของฟางจู้จื่อเริ่มแดงขึ้น มู่หยางหลิงจึงพูดแทรกต่อว่า “ตอนนี้ข้าจะเร่งความเร็วแล้วนะ ใครที่ตามข้าทันก็รอดไป แต่ใครที่ตามไม่ทันแล้วโดนเสือโคร่งจับไปกิน ข้าคงไม่ตามไปช่วยแล้วนะ”
พูดจบมู่หยางหลิงก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับลูกธนูที่พุ่งไปด้านหน้า
หลิวหยวนกับหลิวต้าจ้วงก็รีบวิ่งตามมู่หยางหลิงไปติด ๆ ส่วนฟางจู้จื่อเองก็ต้องกลั้นใจวิ่งตามไป เพราะเขาก็กลัวจนตัวสั่นฉี่แตกไปแล้วรอบนึง
ทั้งสี่คนวิ่งด้วยความเร็วจนตามหลิวถิงกับคนอื่น ๆ ได้ทัน และเมื่อหลิวถิงกันมาเห็นมู่หยางหลิงกำลังวิ่งมา เขาก็รู้สึกโล่งใจและรีบวิ่งเข้าไปหานางทันที “เมื่อซักครู่พวกเราได้ยินเสียงเสือคำรามแหนะ”
“รีบวิ่งออกไปจากที่นี่กันเถอะน้า ที่ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนว่าตอนนี้เสือโคร่งกับหมีดำมันกำลังสู้กันอยู่ ข้ากลัวแค่ว่ามันจะสู้กันรุนแรงจนลามมาถึงตรงนี้ เรารีบไปกันก่อนเถอะ”
และด้วยความที่กลุ่มคนทั้ง 11 คนนั้นได้มู่หยางหลิงกลับมานำทางและควบคุมจังหวะความเร็วของการวิ่งหลบหลีกสิ่งต่าง ๆ พวกเขาจึงสามารถออกตัวกันได้ไวขึ้น แต่มู่หยางหลิงก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามามากขึ้นเช่นกัน จนนางมั่นใจว่าสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนั้นกำลังใกล้เข้ามาทางนี้มากแล้ว
สีหน้าของมู่หยางหลิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง แล้วจากนั้นนางก็ดึงกระสอบลงจากไหล่ของหลิวถิง แล้วพูดขึ้นว่า “พวกท่านรีบวิ่งออกไปจากที่นี่ซะ วิ่งต่อไปอีกไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะพ้นหุบเขานี้ไปได้ ข้าจะอุ้มกระต่ายเบี่ยงเบนความสนใจพวกมันไปเอง”
“ไม่ได้ นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกันหมดนี่แหละ” หลิวถิงกล่าว
มู่หยางหลิงรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันใกล้เข้ามามากขึ้น “เงียบก่อน พวกท่านวิ่งเร็วได้เท่าข้าหรือไม่? ถ้าตามข้าไปก็จะเป็นภาระเปล่า ๆ พวกท่านรีบออกไปจากที่นี่เถอะ” พูดจบนางก็วิ่งแยกไปทางฝั่งตะวันออกทันที
หลิวถิงกัดฟันแน่น พร้อมทั้งกระทืบเท้าให้สัญญาณ “พวกเรารีบไปกันเถอะ หลิวลี่ หลิวหย่ง พวกเจ้าสองคนส่งของมาให้พวกข้า แล้วรีบวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด บอกมู่ฉือให้เขาเข้ามาพาอาหลิงออกไปจากที่นี่”
MANGA DISCUSSION