เวลานี้พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว เดินอยู่บนถนนภายใต้ร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ ไม่ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวเลยแต่กลับรู้สึกเย็นสบาย
หลิวหยงรู้สึกกลัวเล็กน้อยจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อไปจับมือของมู่หยางหลิง ไว้ เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นเขินๆ: "เรามาจับมือกันไว้เถอะ"
"ได้ซิ" มู่หยางหลิงเอื้อมมือไปเก็บดอกไม้ข้างทางมาทัดหูให้เธอแล้วพูดว่า: "ทัดไว้แบบนี้สวยดี"
หลิวหยงก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
หลิวหลางและหลิวหลุนกำลังวิ่งเล่นกันไปตามทาง ทันใดนั้นก็มีอะไรขาวๆวิ่งผ่านไป หลิวหลางตะโกนขึ้นมาว่า "กระต่าย!"
หลิวหลุนก็ตะโกนขึ้นตาม: "รีบจับไว้ๆ "
มู่หยางหลิงกลอกตา:"หยุดตะโกนได้แล้ว กระต่ายตกใจเสียงเจ้าจนหนีไปไกลแล้ว จะจับได้ยังไง"
ใครจะไปรู้ว่ามู่หยางหลิงยังไม่ทันจะพูดจบ กระต่ายตัวเมื่อครู่ก็ตกใจกับเสียงตะโกนของหลิวหลางและหลิวหลุนจนหัวไปชนเข้าต้นไม้พอดี ทุกคนต่างพากันตกตะลึงไปหมด
เห็นดังนั้นหลิวหลางก็กระโดดเข้าไปเพื่อจะจับกระต่ายไว้ กระต่ายที่ยืนงงๆอยู่ก็กระโดดหนีไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลิวหลางล้มกระแทรกไปบนพื้นทันที หลิวหลุนที่กำลังจะวิ่งตามเข้าไปก็สะดุดก้อนหินล้มพับบนตัวหลิวหลาง กระต่ายมองดูทั้งสองด้วยความสับสนนิดหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดหนีไป
หลิวหลางร้องโอดโอยขึ้น: "น้องหลิงจับมันไว้อย่าให้มันหนีไปนะ ไม่อย่างนั้นข้าต้องเจ็บตัวเปล่าแล้ว"
มู่หยางหลิงจ้องมองไปที่กระต่าย คอยเฝ้ามองว่ากระต่ายกระโดดไปทางไหนกระต่ายกระโดดไปด้านข้าง แต่มู่หยางหลิงก็จ้องตามไป พอสังเกตเห็นร่องรอยกระโดดของกระต่ายแล้ว เธอก็กระโดดเข้าไปแล้วยื่นมือไปข้างหน้ากดไว้แน่น ทำให้กระต่ายถูกกดไปกับพื้นหญ้า ก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งจับหูกระต่ายแล้วหิ้วมันขึ้นมา
สองพี่น้องหลิวหลางและหลิวหลุน วิ่งเข้าไปจ้องมองอย่างตกตะลึงก่อนจะอุทานออกมาว่า: "ช่างน่าทึ่งจริงๆ"
หลิวถิงเองก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมกับมู่ฉือว่า: “ อาหลิงช่างว่องไวนัก”
หลิวจวงจ้องมองกระต่ายน้ำลายสอ: "กระต่ายตัวนี้อ้วนมากต้องมีซักห้าหรือหกกิโลได้"
หลิวถิงก็รู้สึกอายเล็กน้อย น้องชายก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว
ใครจะไปคิดว่าท่านลุงหลิวเออร์เฉียนก็พยักหน้าและพูดขึ้นอีกคนว่า: "กระต่ายตัวอ้วนแบบนี้ทำเนื้อกระต่ายอบน่าจะอร่อยมาก"
ลูกชายของหลิวเออร์เฉียนที่ยืนอยู่ หลิวหยวนและหลิวเซวียนก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา
หลิวถิงรู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งบ้านใหญ่บ้านรองก็น่าอับอายพอกัน ทีนี้ก็ไม่มีใครว่าใครได้แล้ว
แต่หลิวต้าเฉียนกับหน้าแดงก่ำ คนหนึ่งก็ลูกชายอีกคนก็น้องชาย ช่างน่าอับอายยิ่งนัก นี่ถ้าหลิวจวงและหลิวเซวียนไม่ได้เกิดในเดือนเดียวกัน เขาต้องคิดว่าลูกชายเขากับลูกชายของน้องชายน่าจะถูกสลับตัวกันเป็นแน่
มู่หยางหลิงโบกมือไปมาอย่างภาคภูมิใจ: "ข้าจะมอบให้เจ้า"
หลิวหลางยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นแต่ฟันก่อนจะพูดว่า: "ฉันจะเอามันกลับไปเลี้ยงดูให้มันกำเนิดกระต่ายตัวน้อย"
มู่หยางหลิงพูดดับฝันเขาขึ้น“ นี่เป็นตัวผู้มันให้กำเนิดกระต่ายน้อยไม่ได้”
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจับตัวเมียให้เข้าอีกตัวได้มั้ย” หลิวหลางยังคงรบเร้าเธอต่อ
มู่หยางหลิงจึงตอบว่า: "ดูก่อนละกัน ถ้าเจออีกข้าจะจับให้เจ้า"
ขณะที่พวกเขากำลังเดินลงเขา พอใกล้จะออกจากป่าแล้วนั้น ก็เห็นกระต่ายสีขาวเทาตัวหนึ่งเข้า หลิวหลางจึงรบเร้าให้เธอจับให้ มู่หยางหลิงเห็นว่าการจับกระต่ายก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร จึงเข้าไปจับให้ มู่ฉือเองก็ไม่ได้ห้ามเธอ
หลิวต้าเฉียนจ้องหลานชายของเขาไปทีหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นานมู่หยางหลิงก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายสีเทาที่อ้วนกว่าตัวเมื่อครู่ ก่อนจะพูดว่า "ตัวเมื่อครู่หายไปแล้ว"
หลิวเออร์เฉียนรับกระต่ายมาจับไว้เอง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความพอใจ: "ใช่ได้เลย ไว้คืนพรุ่งนี้ข้าจะทำเนื้อกระต่ายอบแก้มเหล้า"
มู่หยางหลิงมองเขาอึ้งๆ ไม่ใช่จะให้หลิวหลางเหรอ?
หลิวหลางก็ตกตะลึงไปเช่นกัน หลิวเออร์เฉียนหันไปจ้องมองเขาแล้วพูดว่า "ทำไมปู่รองขอกินกระต่ายตัวหนึ่งไม่ได้เหรอ?"
"พอได้แล้ว คนอายุจะห้าหกสิบอยู่แล้ว ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไง?" หลิวต้าเฉียนสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินนำหน้าออกไปทันที
หลิวเออร์เฉียนพรึบพรำเล็กน้อย ก่อนจะจับหูกระต่ายแล้วเดินตามไป หลิวหยวนและหลิวเซวียนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว พ่อเฒ่าอายุมากขนาดนี้แล้วยังแย่งของกับหลานชายแบบนี้อีก ช่างน่าอายจริงๆ
หลิวหลางไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจ เขาจึงได้แต่เดินจากไปด้วยความเสียใจ หลังจากวันนี้พวกเขาก็คงไม่สามารถให้มู่หยางหลิงจับกระต่ายให้พวกเขาอีก ที่ผ่านมาพวกเขาเคยแอบขอเนื้อเธอมากิน เพราะปู่ไม่ยอมให้พวกเขาไปที่บ้านของเธอเพื่อขอหาอาหาร และไม่อนุญาตให้รับสัตว์ที่ท่านอาล่ามาให้ ได้ แต่ดูเหมือนว่าท่านอาเองก็ไม่เคยให้เหมือนกันนะ…
ระหว่างทางที่มู่หยางหลิงกำลังเดินกลับบ้านกับพ่อ เธอก็พูดขึ้น: "ท่านพ่อ เมื่อครู่ที่ข้าไปไล่กระต่ายระหว่างทางเจออีกสามหรือสี่ตัวแน่ะ"
มู่ฉือขมวดคิ้ว“ เพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ?”
"นั้นน่ะซิ นี่แค่รอบนอกนะ ข้างในป่าไม่มากกว่านี้อีกเหรอ? บนเขาเรายังขนาดนี้แล้วทุ่งหญ้าล่ะคะ?"
มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของเมืองซิงโจวซึ่งถูกทหารพ่อยยึดครองอยู่ไม่ไกลจากเขาฉูซานมีกระต่ายบนทุ่งหญ้ามากกว่าในป่า
มู่ฉือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “ เราต้องจับกระต่ายให้มากขึ้น แล้วนำไปขายที่ตลาดกลาง”
มู่หยางหลิงไม่เห็นด้วย:"จะมีกี่คนซื้อคะ ขายได้วันละสิบตัวก็ถือว่าเยอะแล้ว" แม้ว่าเศรษฐกิจของราชวงศ์โจวจะค่อนข้างดี แต่สำหรับชนบทที่ห่างไกลความเจริญของพวกเขานี้ คนที่เต็มใจจะจ่ายเงินเพื่อซื้อเนื้อกระต่ายมีน้อยนัก
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ทำงานหนัก แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อคนซื้อไม่มีเงินมากพอ
"ถ้ามันไม่ได้ผลเราค่อยทำเป็นเนื้อตากแห้งเก็บไว้ แล้วนำไปขายในช่วงฤดูหนาวตอนนั้นภูเขาจะถูกปิดเนื้อจะขายได้มากกว่า"
“ คงไม่ได้ ท่านแม่กำลังท้อง ถ้านำเนื้อไปตากไว้ที่ลาน ท่านแม่คงอาเจียนทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ” เมียได้กลิ่นไม่ได้ ถ้ามันน้อยๆก็วางตรงข้างบ้านได้ลมพัดมากลิ่นก็หาย แต่ถ้าวางไว้มากๆลมพัดมากลิ่นจะเข้าบ้านหมด
มู่หยางหลิงเดินกลับไปที่ห้องและครุ่นคิดอย่างหนัก บั๋วเหวินน้อยนั่งข้างๆพี่สาวอย่างเชื่อฟัง เอามือเท้าคางเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยดวงตาใสแจ๋ว พอเห็นเธอไม่สนใจนานเข้า ก็ทำหน้ามุ่ยแล้วพูดว่า: "ท่านพี่ยังไม่ได้ให้ข้ากินขนมเลย”
"อืม" มู่หยางหยิบซองขนมออกมายืนให้น้องก่อนจะนั่งครุ่นคิดต่ออย่างใจลอย บั๋วเหวินน้อยมองดูขนมที่เหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้วเศร้าใจ ก่อนจะถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย: "อีกไม่นานข้าก็จะไม่มีขมกินแล้วซินะ "
มู่หยางหลิงตอบน้องโดยไม่รู้ตัว: "ถึงตอนนั้นพี่จะซื้อให้เจ้าอีกก็แล้วกัน"
“ แต่เงินของครอบครัวเราต้องเก็บไว้ให้น้องชายเราซื้อเสื้อผ้าและนมแพะนะ ข้าว่าจะไม่ซื้อขนมอีกแล้ว” บั๋วเหวินน้อยหยิบขนมออกมาหนึ่งอันแล้วซ่อนไว้ในเสื้อ
มู่หยางหลิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นเข้า“ วันนี้เจ้ากินไปสองอันแล้ว ทำไมถึงต้องซ่อนมันอีก?”
"อันนี้เข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าไข่หมา ข้าบอกกับเขาไว้แล้วว่าจะเอาขนมไปแลกแมลงปอไม้ไผ่กับเขา"
ดวงตาของมู่หยางหลิงสว่างวาบขึ้นเธอตบมือทีหนึ่งแล้วพูดว่า "ใช่แล้ว ขายเป็นเงินไม่ได้ก็แลกเป็นสิ่งของได้นี่นา"
การแลกเปลี่ยนสิ่งของมีมานานแล้วและแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่เพียงแค่เธอคุ้นเคยกับการค้าขายที่ต้องแลกกับเงิน มู่ฉือเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้ ทำให้ที่ผ่านมาตระกูลมู่ค้าขายโดยการแลกกับเงินเพียงอย่างเดียว ไม่เคยมีการแลกเปลี่ยนกับสิ่งของมากก่อน
บนภูเขามีกระต่ายมากเกินไป จนทำให้กระต่ายไม่มีราคา แต่ถ้าขายราคาต่ำลงก็จะยิ่งทำให้กระต่ายมีราคาถูกลงไปอีก อีกอย่างก็ไม่คุ้มกับค่าแรงของพวกเขา แต่การแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของน่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
มู่หยางหลิงมีความสุขมากก่อนจะจูบหน้าผ่าของบั๋วเหวินน้อยทีหนึ่งแล้วพูดว่า: "พรุ่งนี้พี่จะแลกของอร่อยกลับมาให้เจ้านะ”
มู่หยางหลิงทำตามที่พูดเช้าวันรุ่งขึ้นเธอเตรียมเชื่อกที่ผูกปมไว้แล้วขึ้นเขาไปกับพ่อ มู่ฉือพูดขึ้น "พ่อจะเข้าไปในป่าลึกหน่อย เผื่อจะได้ตัวใหญ่ ส่วนเจ้าก็เดินดูรอบๆนี้ไปก่อน”
มู่หยางหลิงตอบรับ ก่อนเลือกสถานที่วางกับดักให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงหยิบคันธนูและลูกศรออกมาเพื่อล่ากระต่าย
วันนี้เธอไม่ต้องการไก่ฟ้าแม้แต่ตัวเดียว ต่อให้เห็นกวางวิ่งผ่านมาไกล้เธอก็ไม่เอา วันนี้เธอตั้งใจจะเล็งแต่กระต่ายเท่านั้น
กระต่ายในป่ายังไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่แต่เกือบแล้ว สายตาคมกรีบของมู่หยางหลิงเล็งเห็นรังกระต่ายในไม่ช้า เธอนำกระสอบไปครอบไว้รอบๆปากโพรง ก่อนจะหารังกระต่ายอีกรังจนพบ แล้วค่อยๆสุมไฟให้ควันไฟไล่ให้กระต่ายหนีไปยันทางออกอีกโพรง หลังจากนั้นมู่หยางหลิงก็วิ่งกลับมาเฝ้าที่ปากโพรงอย่างรวดเร็ว
ไม่นานกระต่ายสีเทาสองสามตัวก็วิ่งออกมาและตกลงไปในกระสอบ มู่หยางหลิงนั่งนับ: "… ห้าตัว … เจ็ดตัว แปดตัว เก้าตัว !"
เมื่อเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแล้ว มู่หยางหลิงจึงหยิบกระสอบขึ้นมาแล้วยิ้มเล็กน้อย: "นี่มากันเป็นครอบครัวเลยนะ มีลูกมากมายแบบนี้ ไม่น่าล่ะถีงกลายเป็นหายนะได้"
MANGA DISCUSSION