หลิวหลางเปิดประตูด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มู่หยางหลิงมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม "พี่หลาง น้องหลุน อายุเพิ่งจะแค่นี้เอง ก็อายแล้ว"
ใบหน้าของหลิวหลางกลายเป็นสีเข้มขรึม และเขาก็อบรมนางอย่างเข้มงวดว่า “เจ้าอายุเก้าขวบและน้องหลุนอายุแปดขวบ ในอีกไม่กี่ปีเจ้าจะต้องแต่งงานแล้ว เจ้าจะละเลยเรื่องนี้ได้อย่างไร? โชคดีที่วันนี้มีพวกเราเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่อง และเป็นลูกพี่ลูกน้องของเราเอง จะทำอย่างไร หากเป็นตระกูลอื่น บอกให้เจ้ารับผิดชอบแต่งงานด้วยเจ้าจะทำเช่นไร?”
มู่หยางหลิงอ้าปากค้าง และพูดตะกุกตะกัก “ข้า ข้าอายุแค่เก้าขวบนะ… "
หลิวหลางขมวดคิ้ว“ เก้าขวบก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว สาวผิวดำจากตระกูลหลิวซานซูในวัยสิบสามปีก็แต่งงานแล้ว”
จู่ๆ มู่หยางหลิงก็ปิดปากของตน อายุสิบสามปี …
หลิวหลุนใส่เสื้อผ้าเสร็จ และกำลังซักผ้า เมื่อเห็นพี่สาวและน้องชายของเขาที่เป็นญาติเข้ามา เขาก็ตะคอกและหันหน้ากลับเข้าห้อง มู่หยางหลิงเห็นว่ามุมตาของเขายังคงเป็นสีแดงเล็กน้อย แล้วเธอก็รู้ได้ว่าเด็กคนนี้ คิดมากจริงๆ
มู่ปั๋วเหวิน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจ้องมองไปที่พี่ชายและพี่สาวของเขาที่หน้าตาบูดบึ้ง ก็ไม่กล้าที่จะพูดล้อเล่น
มู่หยางหลิงพูดอีกว่า”พี่หลาง ต้าจิ่วเย่บอกว่า พี่มีหนังสือสองเล่ม ดังนั้นข้าจึงมาดู"
“อืม รอสักครู่ ข้าจะเข้าไปในบ้านและเอามันมาให้เจ้า"หลิวหลางทิ้งพวกเธอให้อยู่ในในสวนและหันกลับไปที่บ้าน
ใช่แล้ว ข้าไม่มีคุณสมบัติในการเข้าไปในบ้านด้วยซ้ำ
หลิวหลางยื่นหนังสือสองเล่มที่ขาดๆให้มู่หยางหลิง และพูดว่า “สิ่งเหล่านี้ถูกหยิบขึ้นมาจากตะกร้าขยะของครอบครัวหนึ่งในเมือง ข้าเอามันกลับมา เมื่อข้าเห็นว่ามีตัวอักษรอยู่"
ไม่มีร้านหนังสือในหมู่บ้านชีหลี่เชียง หากต้องการซื้อหนังสือก็ต้องนั่งรถไปในเขตตัวเมือง ยิ่งกว่านั้นหนังสือมีราคาแพง หนังสือเป็นตัวแทนของมรดก ดังนั้นในยุคนี้หนังสือจึงไม่ค่อยถูกโยนทิ้งเป็นขยะ และหลิวหลางพบเจอสิ่งล้ำค่านี้ครั้งแรกเช่นกัน
แต่ทุกคนในครอบครัวไม่รู้จักตัวอักษร ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บไว้ จะดีกว่าที่จะมอบให้กับลูกพี่ลูกน้องของตน
มู่หยางหลิงหยิบหนังสือทั้งสองเล่ม หน้าปกเปื่อยขาดและดูเหมือนจะมีใครบางคนฉีกขาด เธอเปิดดูข้างในและพบว่ามันคือหนังสือตำราสำคัญของขงจื่อ ทันใดนั้นดวงตาของมู่หยางหลิงก็สว่างขึ้นและพูดอย่างมีความสุข “พี่หลาง นี่คือ《ตำราหลุนอวี่》แม้ว่าห้าหน้าแรกจะขาดออกจากกัน แต่ด้านหลังก็ยังคงเดิม มันเยี่ยมมาก น้องชายของข้า สามารถอ่านหนังสือตำราขงจื่อบางส่วนได้ หลังจากที่เขาอ่าน《ตำราซานจื้อจิง》 คัมภีร์สามอักษรจบ"
หลิวหลางรู้สึกอิจฉามากเพราะเขาไม่เข้าใจว่า 《ตำราหลุนอวี่》คืออะไรเขาพูดด้วยความจริงใจ”ถ้ามันมีประโยชน์ เจ้าก็นำมันกลับไปและใช้มันได้ ข้าจะหาเพิ่มอีกในภายหลัง ค่อยมาดูกันว่าข้าจะหาของที่มีอักษรอย่างพวกนี้ได้อีกหรือไม่"
เมื่อเห็นเขามองหนังสือในมือของเธอด้วยความกระตือรือร้นมาก มู่หยางหลิงจึงพูดว่า "พี่หลาง ไม่งั้นข้าสอนให้พี่อ่านหนังสือ รู้จักตัวหนังสือเยอะๆ ต่อไปพี่ออกไปสถานที่ต่างๆข้างนอกจะได้สะดวกเเอาไหม"
หลิวหลางรู้สึกลังเล"แต่ข้าไม่สามารถซื้อหมึกและพู่กันได้"
มู่หยางหลิงยิ้ม“ครอบครัวของเราก็ซื้อหมึกและพู่กันไม่ได้ เราวาดด้วยกิ่งไม้บนพื้น เราสามารถจำตัวอักษรบางตัวและเขียนได้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องเขียนสวย"
นี่คือวิธีที่ซู่หว่านเหนียงสอนเธอ แต่นางไม่เคยอนุญาตให้มู่ปั๋วเหวินวาดด้วยกิ่งไม้บนพื้น แต่เธอขอให้เขาจุ่มนิ้วลงในน้ำเพื่อเขียนบนโต๊ะเพียงเพราะกลัวว่าเขาจะเคยชินกับการจับกิ่งไม้และจะเฉื่อยชาเมื่อเรียนรู้ที่จะจับพู่กันในภายหลัง แล้วจะส่งผลให้เรียนรู้คำศัพท์ได้ไม่ดี
“งั้นเจ้ารีบดูว่าหนังสืออีกเล่มคืออะไร?” หลิวหลางกระตุ้นเธอ
"มันคือ 《ตำราซานจื้อจิง》พี่หลางสามารถเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้เรียน พวกเราจะใช้《ตำราซานจื้อจิง》เพื่อจำอักษรคัมภีร์สามอักษร"ในการเรียนรู้ตัวอักษรจีน
หลิวหลางถอนหายใจอย่างโล่งอกและกระซิบ “ต่อไปอย่าบอกพ่อแม่ของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะมาบ้านของเจ้าทุกวันเพื่อเรียนรู้ "หลิวหลางถามอย่างลังเล “ข้าพาอาหลุนมาเรียนด้วยได้ไหม เจ้าสอนน้องชายข้าด้วย”
"จะสอนคนเดียวหรือสองคนก็เท่ากับสอบ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะเก็บเป็บความลับ"
ใบหน้าของหลิวหลางก็มีรอยยิ้มกว้าง
มู่หยางหลิงรู้สึกเศร้าและเสียใจเล็กน้อย
ในชีวิตก่อนหน้านี้เด็กๆ ที่ต้องออกจากโรงเรียน เป็นเรื่องที่น่ากระวนกระวายมาก แต่จำนวนคนที่ออกจากโรงเรียนคิดเป็นเพียงส่วนเล็กๆของฐานใหญ่ระดับชาติ แต่ยุคนี้แตกต่างออกไป ที่นี่เก้าสิบเก้าคนจากร้อย ไม่รู้หนังสือและอื่นๆ อีกมากมาย
มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจตัวหนังสือ และทั้งเขตเมืองชีหลี่เชียงก็มีไม่กี่บ้านที่จักหนังสือ
มู่หยางหลิงได้ติดตามมู่ฉือไปในเมือง เธอไม่ได้ทำอะไรเลยในเวลานั้น เธอจึงไปที่ร้านหนังสือและดูหนังสือประวัติศาสตร์เกือบทั้งวัน ด้วยข่าวสารในชีวิตประจำวัน เธอจึงรู้ว่านี่เป็นประวัติศาสตร์ยุคซ่ง
ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นก่อนการเกิดราชวงศ์ถังก็เหมือนกับชาติก่อน แต่ความวุ่นวายของช่วงยุคกัวเวย์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจวยุคหลังในประเทศจีนสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักรได้มีการเปลี่ยนแปลง หลังจากเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์ก็เชื่อฟังคำแนะนำของข้าราชการ ถือว่าเป็นกษัตริย์ที่ดี หลังจากสิ้นพระชนกั่วหรงบุตรบุญธรรมก็ขึ้นครองราชแทน การปฏิรูปทางการเมืองในครั้งนี้ ได้มีการพัฒนาเศรษฐกิจ ก็ถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ในประวัติศาสตร์พระองค์ขึ้นครองราชได้เพียงหกปี ก็สิ้นพระชนเนื่องจากป่วย สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับบรรดาไพร่ฟ้าเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นราชวงศ์โจวก็ถูกราชวงศ์ซ่งเหนือยึดครอง แต่หนังสือประวัติศาสตร์ที่นี่บันทึกไว้ว่าพระองค์ครองราชย์ถึงสิบเจ็ดปี ไม่เพียงแต่พัฒนาเศรษฐกิจการเกษตรแต่ยังรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสงครามใต้และสงครามเหนือ นั่นคือโจวซือจงและลูกชายของเขาโจวเกาจงประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา
ดังนั้นข้อมูลที่ราชวงศ์ซ่งซึ่งรวมประเทศทั้งประเทศเป็นหนึ่งเดียวนั้นได้หายไป แต่ประวัติศาสตร์ได้พลิกมุมและกลับสู่จุดเดิม
โจวซือจงให้ความสำคัญกับทั้งกิจการพลเรือนและการทหารอย่างเท่าเทียมกันและยังมีความรอบคอบในกิจการของรัฐ อย่างไรก็ตาม โจวเกาจงไม่ชอบเจ้าหน้าที่ทหาร เขากลัวว่าผู้บัญชาการทหารจะยึดรัฐราชวงศ์ ดังนั้นไม่นานหลังจากที่เขาสืบต่อราชบัลลังก์ เขาปฏิรูปการเมืองและจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลมากมายเพื่อป้องกันนายพลทหาร นโยบายต่อต้านต่างประเทศของโจวซือจงถูกโอนไปยังเขตปกครองส่วนใน ใช้กำลังทหารในประเทศเพื่อป้องกันการกบฏของพลเรือนและการกบฏของนายพลทหาร
โจวเกาจง กล่าวว่า "ข้าไม่เคยเห็นคนป่าเถื่อนที่ปกครองโดยสัญชาติชาวเผ่าน่าซี ในประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ และทุกครั้งที่ประเทศถูกทำลายในราชวงศ์ที่ผ่านมา ประชาชนและนายพลได้ตื่นตัวขึ้น ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจในเสถียรภาพของราชวงศ์โจวเราต้องคุมกำลังทหารเพื่อป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น”
ดังนั้นทหารแปดแสนนายที่ประจำการอยู่นอกเส้นทางจึงกระจัดกระจายและกลับไปยังสถานที่ต่างๆในทางผ่าน แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าชนเผ่าเจียนจู่และชนเผ่านวี่เจินจะค่อยๆเติบโตขึ้นและราชวงศ์โจวก็สูญเสียเมือง ที่ดินและแนวหน้ายังคงเคลื่อนไปทางใต้
กษัตริย์แห่งโจวผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีเวลาที่จะสนับสนุนเจ้าหน้าที่พลเรือนในอนาคต แต่นายพลได้ถูกปราบปรามและกระจัดกระจายไปหมดแล้ว แต่จะนำราชวงศ์กลับมาใหม่
ระบบจงเจิ้งเก้าอันดับซึ่งถูกยกเลิกอย่างง่ายดายในราชวงศ์ถัง ก็ค่อยๆได้รับความนิยมแม้ว่าราชวงศ์โจวผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ได้บอกว่าระบบจงเจิ้งเก้าอันดับ ถูกใช้เพื่อคัดเลือกเจ้าหน้าที่ แต่ระบบการสอบของกษัตริย์ถูกผูกขาดโดยตระกูลชนชั้นสูง มีคนอ่านหนังสือและรู้หนังสือน้อยลงในหมู่คนทั่วไป
ตัวอย่างเช่นในมณฑลหมิงสุ่ยมีสถาบันการศึกษาขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวในมณฑลหมิงสุ่ยที่มีขนาดใหญ่ ผู้ที่สามารถนั่งเรียนได้คือผู้ที่ร่ำรวย มีเด็กมากมายที่ไม่ได้รับการศึกษาจากครอบครัว มีร้านหนังสือเพียงแห่งเดียวในเมือง มู่หยางหลิงต้องเดินเกือบสองชั่วโมงเพื่อไปซื้อพู่กัน กระดาษ และหมึกในเมือง หนังสือในร้านหนังสือมีเพียงหกชั้นเท่านั้น มู่หยางหลิงได้ยินแม่ของเธอพูดว่า ตอนนี้หนังสือส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของนักปกครอง
จากสายตาของมู่หยางหลิงราชวงศ์โจวผู้ยิ่งใหญ่กำลังเดินถอยหลัง
เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจถ้าจะมีผู้รู้หนังสือในหมู่บ้านหลินซานอีกคน ซูหว่านเหนียงก็เป็นคนเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมีเด็กๆที่อยากเรียนหนังสือมาขอให้สอน เธอจึงตั้งใจสอบมาก
เมื่อได้สัมผัสกับโลกภายนอกอย่างกะทันหัน ความคิดที่ไม่เป็นจริงบางอย่างก็ปั่นป่วนอยู่ในใจของเด็ก ๆ
หลิวหยงลูกชายคนโตของตระกูลหลิวซานซูเรียนกับซู่หว่านเหนียงอยู่หลายวันวัน ก็ส่งคำร้องไปที่ที่นั่งสอบประจำมณฑลเพื่อเข้ารับการสอบข้าราชการ
นี่คือเรื่องที่น่าตลกตกใจสำหรับตระกูลหลิว
บ้านหลิวซานซูแทบจะไม่มีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ และพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเจ็บป่วย นับประสาอะไรกับการเรียนเพื่อสอบข้าราชการ?
ผู้นำคิดว่าไม่ง่ายที่จะมีคนความมุ่งมั่นเช่นนี้ หากเขามีความสามารถเขาจะได้รับการสนับสนุนจากคนทั้งชนเผ่าแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนจะสูง แต่ผลตอบแทนจากการสอบก็ยังได้รับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้นำจึงไปสอบถามซู่หว่านเหนียงในความสามารถในการเรียนของหลิวหยง
MANGA DISCUSSION