องค์หญิงหมอเทวะ - ตอนที่ 70 : ครั้งที่สองของการเข้าวังหลวง
องค์หญิงหมอเทวะ World-shaking First Daugh…
บทที่ 70 : ครั้งที่สองของการเข้าวังหลวง
หลังจากที่กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซู ซูมู่เกือก็ตรงไปที่โถงดอกท้อบาน
กําลังจะเข้าไปในโถง นางได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มนวลของนางจ้าว
ซูมู่เกือคิ้วขมวดบางๆ มองไปที่เยวู่่และก้าวเข้าไปในห้อง
เมื่อพวกเขามาถึงประตู พวกเขาก็เห็นเหมยฮัววิ่งเข้ามาพร้อมกับชาเย็น ซึ่งก็ตะลึงงันเมื่อนางเห็นซูมู่เก๋และเยว่รู
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ! ท่านต้องตกใจก็เพราะข้า” เหมยฮัวขอโทษในทันที
ซูมู่เกือพบว่านางค่อนข้างปกติ ไม่มีร่องรอยของความวิตกกังวลแม้แต่น้อย “เจ้าบอกกับเยว่รู้ว่าท่านแม่ของข้ารู้สึกไม่สบาย เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหมยฮัวก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรแจ้งข่าวแก่ท่านก่อนที่จะสืบสาวราวเรื่องให้แน่ชัดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โปรดอภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
เมื่อนึกถึงการแสดงออกของเหมยฮัวในตอนนั้นเยวรู้รู้ว่าตอนนั้นเหมยฮัวเป็นยังไง นางจริงจังมากกับเรื่องราวที่แจ้งกับนางนางจึงถามว่า “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
เหมยฮัวนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอีกครั้ง
ในเวลานั้น นางจ้าวอยู่กับซูเหวินมอตามปกติ ขณะที่เหมยฮัยนั่งอยู่ข้างๆนางและกําลังพับเก็บเสื้อผ้าและถุงเท้าเล็กๆของซูเหวินม่อ
ทําใดนั้น นางจ้าวก็เอามือกุมหน้าอกของนางด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหมยฮัวก็กลัวอย่ามาก นางรีบวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นให้ไปตามหมอและไปแจ้งข่าวของนางจ้าวให้กับเยว่ แต่เมื่อนางกลับมาที่ห้องนางจ้าว นางจ้าวเป็นปกติ นอนพักอยู่บนขอบเตียงเหมือนไม่ได้เป็นอะไร
“ต่อมา นายหญิงได้เชิญหมอมาดูอาการของนายหญิงใหญ่ หมอบอกว่านายหญิงใหญ่อาจจะเหนื่อยเกินไปกับการดูแลนายน้อยและนางไม่ได้มีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เกือพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้อง
นางจะจับชีพจรของนางจ้าว ทุกๆห้าวันเพื่อให้แน่มจว่าสุขภาพแข็งแรง ครั้งล่าสุดที่นางตรวจร่างกายนางจ้าวก็คือเมื่อสามวันที่แล้ว และนางไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด นางจ้างสุขภาพดีกว่าเมื่อก่อนมาก
นั่งอยู่ด้านในห้อง นางจ้าวได้ยินการเคลื่อนไหวที่ข้างนอกแต่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างชัดเจน
“เจ้ากลับมาแล้ว นายหญิงท่านแม่ทัพอาการดีขึ้นหรือไม่?”
ตามปกติ ซูมู่เก๋อนั่งข้างๆ นางจ้าวและตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “นางดีขึ้นมาก ข้าได้ยินจากพี่เหมยฮัวว่าท่านแม่รู้สึกไม่สบายให้ข้าจับชีพจรท่านแม่ดูอาการด้วยเจ้าค่ะ”
“อย่างกังวลเลย ข้าสบายดี ข้าแค่นอนหลับไม่สนิทและมันให้ข้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาในตอนนั้น”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของนางจ้าว ซูมู่เกือพบว่าดวงตาของนางมืดลงและเศร้าโศก
“ข้าจะรู้สึกสบายใจก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าท่านแม่สบายดีเจ้าค่ะ”
นางจ้าวจึงยื่นแขนออกมาอย่างเชื่อฟังเพื่อให้นางจับชีพจร
จาการตรวจจับชีพจรนางจ้าวไม่มีปัญหา ซูมู่เกือถามเพิ่มเติมกับนางและคิดถึงเหตุในใจนาง ก่อนกลับไปที่ห้องของนาง นางขอให้เหมยฮัวใส่ใจดูแลกับอาการของนางจ้าวให้มากขึ้น
หลังจากซูมู่เก้อกลับไป นางจ้าวก็ถอนหายใจเล็กน้อยมองไปที่ผ้าม่านที่พลิ้วไหว
“ทําไมท่านถึงถอนหายใจล่ะเจ้าค่ะ นายหญิง? มันไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน” เหมยฮัวเดินเข้ามาพร้อมกับชาร้อนและเห็นนางจ้าวนั่งนิ่งๆที่เตียง
นางจ้าวส่ายหน้าและปล่อยให้พี่เลี้ยงอุ้มเหวินม่อน้อยออกไป
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่ข้ารอคอยคือการที่มู่ม่จะได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีในอนาคต สามีไม่จําเป็นต้องร่ํารวยหรือสูงศักดิ์ แต่เขาต้องดีกับนาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“คุณหนูของเรามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมากถึงขนาดนายหญิงท่านแม่ทัพมาที่คฤหาสน์ของเราเพื่อให้นนางไปรักษา ไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานในอนาคตของนางเลยเจ้าค่ะ
ผู้หญิงที่มีพรสวรรค์คือผู้หญิงที่มีตราบาป ซึ่งนางจ้าวรู้ดี
นางแค่อยากให้ซูมู่เก้อมีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุขในอนาคต แต่ซูหลุนก็ไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับนาง
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในตอนรุ่งสาง ซูมู่เก่อตื่นขึ้นมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังจากนอกห้อง
“คุณหนูใหญ่ตื่นหรือยังเจ้าค่ะ?” ซินเอ๋อร์ถามจงใจลด เสียงของนางให้เบา
“ยังไม่ตื่น นางจะต้องนอนต่ออีกหนึ่งชั่วโมงมีอะไร?” เยวู่่พูด
“มีคนจากโถงใหญ่เพิ่งส่งข้อมความมาว่าองค์หญิงเก้าต้องการพบคุณหนูใหญ่และขอให้นางเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้”
่ ่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เก๋อก็ลุกขึ้น ทําเสียงที่เตียงเบาๆเพื่อแสดงว่านางตื่นแล้ว
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เยวู่่ก็เข้ามาในห้องพร้อมกับซินเอ๋อร์
“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว”
ซูมู่เกื้อยืดตัว รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อคืนนี้นางนอนหลับ
ไม่สนิท
“ใช่ ข้าจําเป็นต้องเข้าวังหลวงงั้นรึ?”
ซินเอ๋อร์ตอบทันทีว่า “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู นายหญิงเชิญผู้ส่งสารไปรอที่โถงใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
“เยวรู ช่วยฉันทําความสะอาดและแต่งตัวด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เซี่ยโฮวโม่ขอให้นางเข้าวังในวันนี้ นางสงสัยว่าองค์หญิงต้องการพบนางหรือมีคนขอให้นางเข้าวังโดยอ้างองค์หญิง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรนางต้องคิดมันให้ออก
หลังจากอาหารเช้าง่ายๆ ซูมู่เก้อขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังพระ
ราชวัง
มันเป็นเวลารุ่งสาง ซูหลุนออกไปศาลตั้งแต่เช้าตรู่แล้วแต่ถนนด้านนอกยังคงเงียบสงบและมีคนเดินไปมาเพียงไม่กี่คน
รถม้าหยุดอยู่ที่ประตูนอกพระราชวัง จากนั้นนางกํานัลในชุดสีชมพูของวังหลวงก็ก้าวเข้ามาหาและนําซูมู่เก้อเข้าไป
“พี่สาว ขาสงสัยว่ามีเหตุอันใดองค์หญิงเก้าถึงได้มีคําสั่งให้ข้าเข้าพบข้าแทบไม่มีโอกาสได้เข้าวังหลวงเลย ข้ากลัวว่าจะทําให้องค์หญิงทรงไม่พอพระทัยได้ พี่สาวช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าค่ะ?” ในขณะที่พูดคุยกันซูมู่เกือก็ยัดก ระเป๋าเงินให้กับนางกํานัลผู้นําทาง
นางกํานัลในวังรู้จักตัวตนของซูมู่เก้อ แม้ว่าดวงตาข้างหนึ่งของนางจะมีผมปกปิดไว้ แต่คําพูดและการกระทําของนางก็เป็นธรรมชาติและสง่างาม ทําให้คนอื่นประทับใจ
“คุณหนูซู ท่านเคยช่วยองค์หญิงเก้าที่ทะเลสาบพระจันทร์ในครั้งก่อน องค์หญิงเก้าจึงรู้สึกขอบคุณและนางอยากจะขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”
ดวงตาของซูมู่เก้อเต้นระริก เป็นวิธีที่โดดเด่นในการแสดงความขอบคุณ
นางกํานับที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันทีและในไม่ช้าก็กลับมาเพื่อนําซูมู่เก้อเข้าไปในตําหนัก
เซี่ยโฮวซีมองมาที่ทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน ดวงตาของนางสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองเห็นซูมู่เกื้อ
ซูมู่เกือก้าวเข้าไปในศาลาและคํานับเพื่อแสดงความเคารพ“ขอถวายพระพรเพค่ะ องค์หญิงเก้า”
เชี่ยโฮวซีลุกขึ้นยืนและช่วยซูมู่เกือลุกขึ้นด้วยท่าทางที่อ่อน
โยนมาก
“คุณหนูซู ไม่จําเป็นต้องคํานับข้าขนาดนี้ นําชาเหมาเจียนของข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
“คุณหนู เชิญนั่ง”
ซูมู่เก้อเดินไปที่ม้านั่งหินและนั่งลง นางกํานัลนําชาร้อนเข้ามาและเดินออกไปจากศาลา
“คุณหนูซู ขอบคุณมากที่ช่วยข้าขึ้นเรือและข้าขอโทษที่ไม่ สามารถไปเยี่ยมเจ้าที่คฤหาน์ตระกูลซูเพื่อแสดงคําขอบคุณได้” เซี่ยโฮวซีกวักมือเรียกนางกํานัลที่อยู่ข้างหลังนาง นางกํานัลก็ยกกล่องใบใหญ่ขึ้นมา กล่องสูงครึ่งตัวของคนๆหนึ่ง
“องค์หญิง พระองค์ทรงให้เกียรติหม่อมฉันเกินไปเพค่ะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่” นางไม่ได้คิดมากเกินไปในตอนนั้นที่ช่วยเซี่ยโฮวซี
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันสงบนิ่งของนางและรู้สึกถึงความจริงใจในคําพูดของนาง เชี่ยโฮวซีก็ยิ่งชอบนางมากยิ่งขึ้น
“นี่เป็นของตอบแทนน้ําใจสําหรับเจ้า คุณหนูซู โปรดรับไว้และข้าหวังว่าเจ้าจะชอบมัน”
นางกํานัลเปิดกล่องที่บรรจุหนังสือทางการแพทย์ที่เรียงกันไว้อย่างเรียบร้อย
ซูมู่เก้อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ลึกๆ แล้วนางรู้สึกมีความสุขมาก
มีการเผยแพร่หนังสือทางการแพทย์เพียงไม่กี่เล่มในแคว้นรู่ส่วนใหญ่เป็นสําเนาของแต่ละคน ท้ายที่สุดทักษะเหล่านั้นเป็นทักษะที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของครอบครัวและจะไม่แพร่กระจายได้ง่ายๆ รางวับที่เชี่ยโฮวซีให้นั้นเหมาะกับซูมู่เกือ
“ข้าหมกมุ่นอยู่กับยามาตั้งแต่เล็กและเคยเรียนรู้จากหมอหลวงในสํานักหมอหลวงของวังแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีความสามารถในด้านนี้ หนังสือทางการแพทย์เหล่านี้ได้รับการรวบรวมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและมีค่าอย่างยิ่ง วันนี้ข้าอยากจะมอบมันให้กับเจ้า คุณหนูซู ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้” เซี่ยโฮวซีมองไปที่หนังสื่อในกล่องด้วยความเสียดายในสายตาของนาง
“ข้าไม่สมควรรับเอาสมบัติของพระองค์ไปเพค่ะ องค์หญิง”
เซี่ยโฮวซีสาวยหน้า “พวกมันอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์กับข้าคุณหนูซู อย่าปฏิเสธอีกเลย”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เกือก็ไม่ยืนกรานอีก “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ”
“จากที่เจ้าช่วยข้าจากสถานการ์คับขันนั้นได้ ข้าจึงยินดีที่จะส่งบ้านหนังสือนี้ให้เจ้า”
“ข้าสงสัยว่าทําไมองค์หญิงเก้าไม่อ่านหนังสือทางการแพทย์ในห้อง ที่แท้นางอยู่กับแขกผู้มีชื่อเสียงที่นี่นี่เอง”
บนทางเดิน มีคนหลายคนกําลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
ซูมู่เกือมองย้อนกลับไปและเห็นเชี่ยโฮวหยินในชุดคลุมสีน้ําเงินอมฟ้าเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับองค์จักรพรรดิเซียโฮวรุย
หญิงที่จับแขนของเซี่ยโฮวรุย หน้าตาดูคล้ายกับเซียโฮวหยินมาก นางสวมเสื้อคลุมสีม่วง-ทองพร้อมปิ่นปักผมนกฟีนิกซ์สีทองห้าหางซึ่งส่องแสงเป็นประกายเมื่อต้องแสงแดดยิ่งทําให้ใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างปราณีตดูกระจ่างมากยิ่งขึ้น
นางต้องเป็นแม่ของเซี่ยโฮวหยินแน่ นางสนมฉิน (สนมชั้น
สาม)
เมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยโฮวซีจึงเดินออกมาจากศาลา “อย่ากลัวไปเลยข้าอยู่นี่”
เมื่อมองไปที่ร่างเพรียวตรงหน้านาง ซูมู่เกือเลิกคิ้วเล็กน้อยและเดินตามนางไปเพื่อคํานับ
“ขอถวายบังคมฝ่าบาท พระสนมฉินและองค์หญิงแปดเพ
คะ
“ขอถวายบังคมเสด็จพ่อ พี่แปดและสนมฉันเพคะ”
เซี่ยโฮวรุยเดินเข้ามาหาเด็กสาวทั้งสองและตอบด้วยเสียงต่ําและแหบแห้ง “ลุกขึ้น”
สนมฉินช่วยเซี่ยโฮวรุยเข้าไปในศาลาและนั่งลง
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของคุณหนูซู และน้องเก้าก็หมกมุ่นอยู่กับยามากจนนางต้องขอให้คุณหนูซูสอนยาให้นางในตอนนี้”เซียโฮวหยินมองไปที่ซูมู่
เกอด้วยรอยยิ้มที่ปลอม
ซูมู่เกือเลิกคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นความอาฆาตพยาบาทของเซี่ยโฮวหยิน โดยรู้ดีว่านางจะไม่ปล่อยซูมู่เก๋อไปง่ายๆ
“พี่แปดพูดถูกเพค่ะ แต่คราวนี้หม่อมฉันเชิญคุณหนูซมาที่ตําหนักเพื่อขอบคุณที่นางช่วยชีวิตหม่อมฉันบนเรือ”
“ข้ายังได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้ามีอาการหัวใจวายบนเรือและได้รับการช่วยเหลือจากคุณหนูซูได้ทันเวลา ทักษะทางการแพทย์ของคุณหนูซูนั้นโดดเด่นมาก นางไม่เพียงรักษาโรคระบาดในเมืองโจวได้ แต่ยังช่วยองค์หญิงด้วย ฝ่าบาทเพค่ะพระองค์จะทรงประทานรางวัลอะไรแก่นางดีเพคะ”
สนมฉันยิ้มน้อยๆบนใบหน้านางตลอดการพูด แต่นางไม่สามารถทําให้คนที่ไม่คุ้นเคยรู้สึกถึงความเป็นมิตรได้เพราะมีความเย่อหยิ่งแอบแฝงอยู่ตลอดในดวงตาเรียวที่ดูเชิดของนาง
ด้วยรอยยิ้มในดวงตามัวอันริบหรี่ของเขา เซียโฮวรุยจ้องมองไปที่ซูมู่เกืออย่างพินิจตั้งแต่หัวจรเท้าและมองหลับจากเท้าจรดหัว
ซูมู่เก้อกํามือเล็กน้อยในแขนเสื้อ เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิของแคว้น แค่แรงกดดันเพียงเล็กน้อยจากเขาก็ทําให้คนอื่นรู้สึกหายใจไม่ได้แล้ว
แต่ในไม่ช้า เชี่ยโฮวรุยก็ยับยั้งท่าทางสง่าสูงส่งของเขา“เจ้าพูดถูก นางสมควรได้รับรางวัล”
เซียโฮวหยินไม่สามารถทนดูความชื่นชมของเซียโฮวรุยที่ซูม่เกื้อได้ ในฐานลูกสาวของขุนนางชั้นต่ําที่มีแม่โง่เขลานางจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนางกํานัลของนางด้วยซ้ํา!
“เสด็จพ่อเพคะ จากที่คุณหนูซูมีทักษะการปรุงยาดีมากข้าสงสัยว่านางจะเก่งกว่าหมอหลวงในวังหรือไม่? หากหมอที่มีอายุห้าสิบปีเครายาวสีขาวด้อยกว่าเด็กสาวอายุต่ํากว่าสิบห้าปีจริงมันคงจะเป็นเรื่องตลกและน่าอับอายยิงนะเพคะ”
ทันที่เซียโฮวหยินพูดจบอากาศในศาลาก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที