ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่347 ขัดขวาง
อวี้ถังคิดว่า ตัวเองพูดเช่นนี้ บางทีเฟ่ ยจื้อเหวินจะเห็นแก่เรื่องที่ฮูหยินเฟ่ยจากไป รั้งตัว
อยู่ต่อเพื่อช่วงชิงบรรดาศักดิพระราชทานมาให้ฮูหยินเฟ่ ย ์
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าจางผู้เฒ่าเอาแต่ให้เผยเยี่ยนหว่านล้อมเฟ่ ยจื้อเหวินให้รับ
ราชการต่อหรอกรึ?
ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนได้ยินกลับแค่นหัวเราะ บีบคางของนาง เอ่ยว่า
“เจ้าคงไม่ได้คิดแบบนี้จริงๆ เช่นกันกระมัง?”
อวี้ถังวูบไหวในใจ
เผยเยี่ยนออกจากราชการแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางล้วนอย่าได้คิดจะได้รับการแต่งตั้ง
ยศถาบรรดาศักดิอะไรเลย ์
อวี้ถังนึกถึงความทุ่มเทนั้นของเขาก็ปวดศีรษะขึ้นมาเลืองราง เอ่ยว่า
“ไม่ใช่เสียหน่อยข้าอยากจะช่วยเจ้าต่างหาก บางทีใต้เท้าเฟ่ ยอาจจะคิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องการแล้ว ดังนั้นจึงได้ออกจากราชการ แต่เจ้าก็พูดแล้วไม่ใช่รึ? ในใจของใต้เท้าเฟ่ ยยังคงมีฮูหยินเฟ่ ยอยู่ ดังนั้นข้าจึงเดาว่า การตายของฮูหยินเฟ่ ยคงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสองสามีภรรยาเป็นแน่”
อย่างเช่นกลัดกลุ้มระทมทุกข์อะไรพวกนั้น
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่กล่าวว่า สกุลเฟ่ ยยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้หรอกรึ หากใต้เท้าเฟ่ ยลาออกจริงๆ เช่นนั้นคนในเรือนของเขาย่อมไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนจะพูดออกมา แต่หากเขารับราชการต่อ ไม่พูดถึงอย่างอื่น เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของสกุลเฟ่ ยเอง
ย่อมต้องควบคุมคนของสกุลเฟ่ยไม่ให้ออกไปพูดซี้ซั้วข้างนอก อย่างนั้นก็สามารถรักษาชื่อเสียง
ของฮูหยินเฟ่ยไว้ได้”
ชื่อเสียงของฮูหยินเฟ่ ยจะสําคัญหรือไม่สําคัญล้วนไม่อยู่ในการพิจารณาของเผยเยี่ยน
เดิมทีเขาก็ไม่ได้ขบคิดเรื่องนี้ ย่อมไม่อาจใช้จุดนี้ไปเกลี้ยกล่อมเฟ่ ยจื้อเหวิน
ยามนี้ได้ยินอวี้ถังพูด ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่เขายังคงไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก
สถานการณ์ยากลําบากของสกุลจาง เฟ่ ยจื้อเหวินจะอยู่หรือไป ท้ายที่สุดแล้วก็แทบไม่
เกี่ยวอะไรกับเขา สาเหตุที่สกุลเผยของพวกเขาปลีกตัวมาอยู่ที่หลินอัน ก็เพราะไม่อยากเข้าไป
เกี่ยวข้องในการแย่งชิงตําแหน่งฮ่องเต้…หนุนหลังฮ่องเต้ให้ถึงฝั่งได้ย่อมเป็นผลดี แต่ผลลัพธ์
ของการยืนผิดฝั่งนั้นร้ายแรงยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นได้ความดีความชอบจากฮ่องเต้ ก็จะกลายเป็น
ขุนนางที่มีอํานาจ อย่างสกุลเผยที่เป็นสกุลขุนนางหลายชั่วอายุคน ชอบเป็นขุนนางที่ขาว
สะอาดมากกว่า ทั้งขุนนางเช่นนี้จะสามารถเดินได้อย่างมั่นคงสงบสุขอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนเบะปาก เดิมทีก็ไม่เชื่อความคิดของอวี้ถัง เขาเอ่ยว่า
“เพราะคิดอยู่ในใจ ถึงได้หลุดพูดออกมา”
นี่ช่างเป็นการปรักปรําที่แม้คนจะลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมล้วนไม่มีประโยชน์!
อวี้ถังโมโหอย่างยิ่ง
เผยเยี่ยนกลับหัวเราะ
“หากเจ้าขอร้องข้า ข้าใช่ว่าจะไร้หนทางเอาบรรดาศักดิ์
พระราชทานมาให้เจ้าเสียทีเดียว!”
อวี้ถังเหน็บแนมเขา
“ได้! เจ้าอยากให้ข้าขอร้องอย่างไร? ข้ากลับอยากเห็นว่า เจ้าจะมีวิธีอะไรช่วงชิงบรรดาศักดิพระราชทานมาให้ข้า!” ์
เผยเยี่ยนกอดนางทั้งขําพรืด กระซิบข้างหูนางว่า
“เจ้าคลอดบุตรชายให้ข้าสักสองสามคน ส่วนข้าจะอบรมสั่งสอนพวกเขาให้ดี ไม่ใช่ว่าเจ้าจะได้บรรดาศักดิพระราชทานแล้วหรอกรึ” ์
การแต่งตั้งบรรดาศักดิพระราชทานนั้นย่อมแต่งตั้งจากมารดาก่อน ์
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผลักเผยเยี่ยนอย่างแรงไปที เอ่ยตําหนิว่า
“ที่นี่คือวัดหรือเจ้าอยู่ในวัดก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้”
“เจ้าคิดฟุ่ งซ่านอะไรกัน!” เผยเยี่ยนปั้นหน้าซื่อสั่งสอนนาง
“ข้าเพียงแค่ออกความเห็นให้เจ้าเท่านั้น เจ้ากลับพูดเหมือนว่าข้าไม่มีหูมีตา ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ?”
หากไม่ใช่ในวัด อวี้ถังคิดว่าเขาเป็นคนเช่นนั้นแหละ
แต่อวี้ถังยังคงประเมินเผยเยี่ยนไว้สูงเกินไป
เผยเยี่ยนอยู่ในวัดก็ไม่หยุดยั้ง แม้จะกล่าวว่าไม่ได้ทําจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ทว่ากลับหยอกเย้านางกว่าค่อนคืน ทําให้จู่ๆ นางเข้าใจถึงฤทธิ์เดชในยามปกติของเขา กัดฟันจนแทบแหลกก็ข่มกลั้นไว้ไม่ได้ จึงยกเท้าถีบที่อกเผยเยี่ยน กลับถูกเขาจับเท้าเอาไว้ทั้งหยอกล้ออยู่พัก
ใหญ่อวี้ถังฝืนข่มกลั้นเลือดที่เดือดพล่าน ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ขอร้องเขา เท้านี้ก็นับว่าถีบได้จังหวะพอดีนางสะลึมสะลือนอนไปไม่นาน ฟ้าก็สางเสียแล้ว
อวี้ถังรีบหยัดกายขึ้นไปล้างหน้าหวีผม เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีเรียบง่ายก่อนออกจากห้องไปเณรน้อยยกอาหารขึ้นโต๊ะแล้ว อวี้ถังส่งคนไปสืบข่าวว่าสวีเซวียนตื่นหรือยัง ไม่สนใจเผยเยี่ยนที่กินข้าวโต๊ะเดียวกับนางแต่อย่างใด
ปกติอยู่บนเตียงเผยเยี่ยนมักจะเป็นฝ่ ายขอร้องอวี้ถัง ครั้งนี้กลับก่อเรื่องจนอวี้ถังเกือบจะขอร้องเขา
เขารู้สึกอิ่มเอมในใจ ทั้งรู้ว่าอวี้ถังเสียหน้า จึงอดประจบประแจงต่อหน้านางไม่ได้อยู่บ้าง บางครั้งก็เอ่ยกับนางว่าอาหารวันนี้ยอดเยี่ยมไม่น้อย สักพักยังย้ายจานซาลาเปาไปไว้ตรงหน้านาง ทั้งเป็นฝ่ ายเอ่ยปากถึงแผนการในวันนี้ให้นางฟัง
“ช่วงสายพวกเจ้าไปจุดธูปไหว้พระกันกระมัง? พวกเราไปด้วย หลังจากอาหารกลางวัน พวกเจ้าพักผ่อนอยู่ในวัด พวกข้าจะไปขึ้นเขา ตอนเย็นกินข้าวร่วมกัน พรุ่งนี้เช้าตรู่ก็เดินทางกลับเข้าเมือง”
อวี้ถังไม่สนใจเขา
เขาหัวเราะ ก่อนจะบีบมือนางเบาๆ กระซิบข้างหูนางว่า
“เจ้าอย่าโกรธเลย ข้ารับรองว่าจะไม่ทําอย่างนี้อีก”
ในที่สุดอวี้ถังก็มองเขาอย่างเต็มตา สีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก
เผยเยี่ยนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ในใจนั้นมีความสุขล้น
เขาก็ไม่คิดจะทําเช่นนี้อีกแล้ว
ครั้งหน้า เขาต้องกินเข้าไปในปากถึงนับเป็นเรื่องจริงจังมากกว่า
เผยเยี่ยนไปหาสวีเซวียนเป็นเพื่อนอวี้ถังอย่างเบิกบานใจ ทั้งไปส่งพวกนางจุดธูปไหว้
พระด้วยอารมณ์ดี ยังเสี่ยงเซียมซี นั่งอยู่ที่ป้ายอธิบายเซียมซีกว่าค่อนวัน
ระหว่างนั้นโจวจื่อจินจะอ่านคําอธิบายเซียมซีให้พวกนาง นอกจากจะถูกอินหมิงหย่วน
‘เชิญ’ ออกไปแล้ว อินหมิงหย่วนยังเอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า
“เรื่องพวกนี้เพียงทําให้พวกนางสบายใจเท่านั้น ใต้เท้าโจวย่อมจะก่อเรื่องวุ่น ไยจะต้องทําให้พวกนางไม่สบายใจด้วย!”
เห็นได้ชัดว่ายังมีคนที่มองเรื่องทะลุปรุโปร่งอยู่ตรงนี้!
เผยเยี่ยนอมยิ้มไม่พูดอะไรครั้งนี้อวี้ถังและสวีเซวียนต่างก็เซียมซีได้ใบดีๆ ออกจากห้องเซียมซีแล้ว ฝีเท้าทั้งสอง
คนก็ก้าวอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังพูดคุยซุบซิบกันไปพลางอินหมิงหย่วนทําท่าราวกับกลัวสวีเซวียนจะไปชนเข้ากับอะไร ติดตามอยู่ด้านหลังอย่างตึงเครียดอยู่บ้าง
โจวจื่อจินผู้นี้กลัวว่าใต้หล้าจะไม่มีเรื่องยุ่ง จึงตามอยู่ข้างกายอินหมิงหย่วนเล่าเรื่องที่เมื่อวานพวกเขาพักผ่อนอยู่ในห้องเซียงฝาง
เผยเยี่ยนเห็นก็ส่ายศีรษะ ก่อนจะค่อยๆ ถูกโจวจื่อจินเบียดไปอีกทาง เดินร่วมทางไป
กับเฟ่ ยจื้อเหวินที่เดินไม่เร็วไม่ช้าไปโดยปริยายแทน
เฟ่ ยจื้อเหวินส่งยิ้มให้เขา เอ่ยกับเขาด้วยนํ้าเสียงสบายๆ “เมื่อวานเจ้าช่วยข้าถามแล้วหรือยัง?”
เผยเยี่ยนลอบส่งเสียงชมในใจ
ศิษย์พี่ผู้นี้ของเขา ก็เก็บซ่อนไว้แน่นหนาไม่น้อย ครั้งนี้ตามพวกเขาเข้ามา ที่จริงแล้วคงอยากถามเรื่องนี้กระมัง? แต่ว่าไฉนต้องถามอวี้ถังล่ะ? ตามหลักควรถามสวีซื่อต่างหากหรือเพราะชาติกําเนิดและสถานการณ์ของอวี้ถังกับฮูหยินเฟ่ ยนั้นคล้ายคลึงกัน?
เผยเยี่ยนขบคิดอยู่ในใจ ใบหน้าไม่แสดงอะไร ทั้งยังตอบอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า
“ถามแล้วนางกล่าวว่า ผู้หญิงคงจะให้ความสําคัญกับชื่อเสียงมากที่สุด แล้วหวังว่าจะสามารถได้รับบรรดาศักดิพระราชทานกระมัง!” ์
เฟ่ ยจื้อเหวินชะงักไปเผยเยี่ยนเร่งเอ่ยว่า
“เจ้าอย่ามองข้า ข้าไม่ได้วางแผนจะรับราชการ แต่ว่าข้ารับปากคนนั้นของข้าแล้ว จะหาวิธีช่วงชิงบรรดาศักดิพระราชทานให้กับนาง”
เฟ่ ยจื้อเหวินหัวเราะขึ้นมา คิดว่านี่ถึงค่อยเหมือนเรื่องที่เผยเยี่ยนสามารถทําได้หน่อย
เผยเยี่ยนเห็นเขายังมีท่าทีเฉยเมย ก็หงุดหงิดเขาอยู่บ้าง เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยตามตรง
“ศิษย์พี่ ไม่ใช่ว่าข้าตําหนิเจ้า บางครั้งเจ้าก็เห็นแก่ตัวอยู่บ้างจริงๆ ฮูหยินเฟ่ ยไม่อยู่แล้ว เจ้ากลับกล่าว
ว่าจะออกจากราชการ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าคนอื่นจะติฉินนินทาฮูหยินเฟ่ ยอย่างไร? คนอื่นไม่
อาจตําหนิเจ้า ทําได้เพียงตําหนิฮูหยินเฟ่ ยที่ถ่วงเวลาเจ้าเท่านั้น ยามที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้กําเนิด
บุตรชายให้เจ้า ยามที่ตายยังทําให้เจ้าเป็นขุนนางต่อไม่ได้ หากเจ้าไม่อยากเป็นขุนนางแล้ว
จริงๆ ก็อย่าได้ใช้เรื่องของฮูหยินเฟ่ ยเป็นข้ออ้างดีกว่า เจ้ายังมิสู้กล่าวว่าร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง
ไม่อาจที่จะเป็ นขุนนางต่อไปได้! ยังมีเรื่องแต่งงานใหม่ ยามที่ฮูหยินเฟ่ ยมีชีวิตอยู่ก็มี
ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับบิดามารดาเจ้า เจ้าก่อเรื่องเช่นนี้ พวกเขาย่อมเคียดแค้นฮูหยินเฟ่ ยเป็น
แน่”
เฟ่ ยจื้อเหวินนิ่งงัน
เผยเยี่ยนคร้านจะสนใจเขาต่อ สาวเท้าไปด้านหน้า ไล่ตามพวกโจวจื่อจิน
เขาคิดว่าควรจะให้เวลาเฟ่ ยจื้อเหวินครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดเสียหน่อย
ช่วงบ่าย เฟ่ ยจื้อเหวินกล่าวว่าเขาเมื่อยล้า คงไม่ไปขึ้นเขากับพวกเขา เผยเยี่ยนก็ไม่
ปิดบังอินหมิงหย่วน ถามโจวจื่อจินว่ามีแผนอะไรไปตรงๆ ทั้งยังเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้
รับปากอาจารย์ ในเมื่อเจ้ารับปากอาจารย์แล้ว ย่อมต้องทําให้ดีถึงที่สุด อย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วย
กับการกระทําเช่นนี้ของเจ้า”
อินหมิงหย่วนคิดว่าโจวจื่อจินทําแบบนี้ไม่ดีเช่นกัน เอ่ยว่า “ใต้หล้าแห่งนี้มีเรื่องที่
สมบูรณ์แบบที่ไหนกัน ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าเกลี้ยกล่อมใต้เท้าจางผู้เฒ่าให้ซ่อนเร้น
ความสามารถไว้ชั่วคราว ใต้เท้าเสิ่นทําเช่นนี้ พวกชื่อฝู่ ไม่กี่คนล้วนอดใจจะลงมือไม่ไหว ครั้งนี้
เกรงว่าสกุลหลีต้องทิ้งสกุลจาง เคลื่อนไหวเพียงลําพังแล้ว”
เพราะศิษย์ของจางอิง เจียงหวาก็มีความสามารถและประสบการณ์พอที่จะแย่งชิง
ตําแหน่งเก๋อเหล่าเช่นกัน
ยามนี้โจวจื่อจินจึงค่อยตัดสินใจได้ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้! หลักๆ ควรทําอย่างไร พวกเรา
กลับไปปรึกษากันให้ดีเถิด”
อินหมิงหย่วนด้านหนึ่งคือสกุลจาง อีกด้านคือสกุลหลี ยืนอยู่ตรงกลาง ล้วนไม่อาจเข้า
ไปยุ่งเกี่ยว ลงจากเขาแล้ว ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนสวีซื่อ
เผยเยี่ยนและโจวจื่อจินพูดคุยกันจนถึงเวลาอาหารเย็น ก่อนจะแยกย้ายกลับที่พักของ
ตัวเอง
ด้านอวี้ถังรอเขามาสักพักแล้ว เห็นเขากลับมา ก็ให้อาซิ่งตั้งโต๊ะทันที ยังถามเขาว่า “ใต้
เท้าโจวกินข้าวเย็นที่ไหน เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขาเข้ามา”
เชิญเขาเข้ามาให้กังวลเรื่องจะวาดภาพเหมือนให้เจ้าอย่างนั้นน่ะหรือ?
เผยเยี่ยนด่าโจวจื่อจินอยู่ในใจ ก่อนจะยกชามบนโต๊ะขึ้น เอ่ยว่า “รีบกินเถิด อีกเดี๋ยว
พวกเราไปชวนสองสามีภรรยาอินหมิงหย่วนออกไปเดินเล่นด้วยกัน ทิวทัศน์ทางด้านพวกเขา
งดงามไม่น้อย”
ต้นไม้สูงใหญ่ ทางเดินเนืองแน่นไปด้วยเงาไม้
อวี้ถังขานรับด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ออกไปหาสองสามีภรรยา
อินหมิงหย่วน
คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะพบเข้ากับเฟ่ ยจื้อเหวิน
เฟ่ ยจื้อเหวินนั่งอยู่บนตั่งหินข้างเนินเขาอยู่เพียงคนเดียว ทอดมองผืนป่ าที่ห่างไกล
ออกไปอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ ดูเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง อวี้ถังเห็นแล้วก็ใจอ่อน
มองเผยเยี่ยนไปแวบหนึ่ง
เผยเยี่ยนสั่นศีรษะให้นางเบาๆ วางแผนจะลอบเดินอ้อมไปด้านข้าง ไม่รบกวนเฟ่ ยจื้อ
เหวิน
ทั้งสองคนเดินอย่างเงียบเชียบ เพิ่งผ่านสถานที่ที่เฟ่ ยจื้อเหวินนั่งอยู่ กลับมีเสียงของ
เฟ่ ยจื้อเหวินดังตามมาด้านหลัง
“พวกเจ้าออกมาเดินเล่นกันรึ! จะไปหาอินหมิงหย่วน?”
เผยเยี่ยนมองอวี้ถังไปทีอย่างจนใจ เอ่ยว่า
“ศิษย์พี่เฟ่ ย? เมื่อครู่ไม่ทันได้สังเกต คาดไม่
ถึงว่าเจ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้…”
เฟ่ยจื้อเหวินมองตะวันยอแสงที่ขอบฟ้าไปที ก่อนจะหัวเราะ ไม่พูดหักหน้าเผยเยี่ยน
ความจริงเขาคิดว่า แม้เขาจะพูดหักหน้าเผยเยี่ยน คาดว่าเผยเยี่ยนก็คงจะตีหน้าซื่องัดวิธีอื่นมา
รับมือกับเขาอยู่ดี
เขาหยัดกายขึ้นด้วยรอยยิ้ม
อวี้ถังรีบเข้าไปคํานับให้เขา
เขาผงกศีรษะให้อวี้ถัง เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่กล่าวว่าอยากให้ข้ารั้ง อยู่ที่กรมขุนนางต่อหรอกรึ? ข้าอยากใช้โอกาสที่ไม่มีคนยามนี้ พูดคุยเรื่องนี้กับเจ้าอย่าง ละเอียด”
นี่หมายความว่าจะรั้งตัวอยู่อย่างนั้นรึ?
เผยเยี่ยนตกใจไม่น้อย
อวี้ถังกลับเอ่ยอย่างมีไหวพริบ
“ในเมื่อสามีจะคุยเรื่องสําคัญกับใต้เท้าเฟ่ ย เช่นนั้นข้า จะกลับไปก่อน”
จากนั้นยังกําชับเผยเยี่ยน
“ลมราตรีนั้นเย็นอยู่บ้าง เจ้าอย่าได้กลับดึกเกินไป”
เผยเยี่ยนไม่อาจรั้งอวี้ถังไว้ เอ่ยว่า
“ไม่อย่างนั้นให้สาวใช้ไปส่งเจ้าที่พวกหมิงหย่วน เจ้า จะได้มีเพื่อน ข้าคุยกับศิษย์พี่เฟ่ ยจบแล้วจะไปรับเจ้า”
อวี้ถังไม่อยากรบกวนสองสามีภรรยาอินหมิงหย่วน ปฏิเสธอ้อมๆ ก่อนจะกลับไปที่พัก
ของตัวเอง