ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่343 ตําแหน่ง
“ตําราสารพรรณดอกไม้หอม?” อวี้ถังและกู้ซีต่างก็งุนงง
สวีเซวียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “เป็นหนังสือที่เขียนวิจารณ์ดอกไม้แต่ละที่แต่ละชนิด
อินหมิงหย่วนเขียนมาสิบปี ทุกสองปีก็จะปรับปรุงแก้ไขหนึ่งครั้ง ยามนี้กลายเป็นหนังสือ
ต้นแบบและแนะนําแนวทางของคนจํานวนมากที่ต้องการซื้อดอกไม้”
อวี้ถังตกใจอย่างยิ่ง “ใต้เท้าอินของเจ้าเก่งกาจจริงๆ”
นางรู้เพียงว่าอินหมิงหย่วนเรียบเรียงหนังสือไม่กี่เล่มเท่านั้น
กู้ซีกลับตระหนักถึงความสําคัญของหนังสือเล่มนี้ได้ทันที นางเอ่ยกับสวีเซวียนว่า
“คาดไม่ถึงจริงๆ ว่ายังมีคนทุ่มเทเรียบเรียงหนังสือเช่นนี้ ข้าก็ชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้เช่นกัน
พอจะส่งให้ข้าสักเล่มได้หรือไม่?”
มีคนสรรเสริญเยินยอหนังสือของอินหมิงหย่วน แม้ว่าสวีเซวียนจะรู้สึกเฉยๆ กับกู้ซี แต่
ก็ไม่ได้เกลียดนางเมื่อยามที่พบก่อนหน้านี้ขนาดนั้นแล้ว นางเลิกคิ้วว่า “ได้สิ! หวังก็แต่ว่าไม่กี่ปี
ให้หลังหนังสือเล่มนี้จะยังอยู่บนชั้นวางหนังสือของเจ้า”
“ดูเจ้าพูดสิ” กู้ซีก็ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับสวีเซวียนเท่าใด แต่โลกแห่งความจริงบีบให้
นางจําต้องไปมาหาสู่กับสวีเซวียน นางเอ่ยว่า “แม้ว่าจะไม่อยู่บนชั้นวางหนังสือของข้า ก็ต้อง
อยู่บนชั้นหนังสือของท่านพี่หรือพี่สะใภ้ข้าอยู่แล้ว”
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน อวี้ถังก็ตัดสินใจไปหาชาวสวนที่สวีเซวียนแนะนําให้ เชิญพวก
เขามาดูในเรือน มอบสวนดอกไม้ในจวนสกุลเผยให้พวกเขาจัดการ เป็นเช่นนี้เมื่อถึงฤดูร้อน
สวนดอกไม้ก็จะเต็มไปด้วยพรรณไม้ใหม่ๆ เผยทิวทัศน์บรรยากาศที่รื่นหูรื่นตา
กู้ซีไม่อาจเอ่ยถึงจุดประสงค์การมาของตัวเอง ดีที่ยามนี้คุณหนูห้าเข้ามาก่อน
ทุกคนคารวะกันอีกครั้ง คุณหนูห้าจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาของอวี้ถังและสวีเซวียนไป
โดยปริยาย
2731
ด้านคุณหนูใหญ่สกุลจางนั่งพินิจนางอย่างละเอียดอยู่ด้านข้าง จวบจนบทสนทนาของ
พวกนางจบลง คุณหนูใหญ่สกุลจางค่อยละลํ่าละลักเอ่ยกับอวี้ถังว่า “ความจริงข้ามาครั้งนี้
เพราะมาส่งเทียบเชิญให้พวกท่าน…ท่านย่ากล่าวว่า ยากที่พวกท่านจะมาเมืองหลวง อยากจะ
เชิญพวกท่านไปเป็นแขกในเรือน”
หากเป็นสกุลจางย่อมต้องไป แต่ไปเวลาใดถึงนับว่าเหมาะสม อวี้ถังคิดว่าควรจะถาม
เผยเยี่ยนก่อน นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “คุณหนูใหญ่สกุลจางเกรงใจเกินไปแล้ว เดิมทีควรเป็น
พวกเราที่ไปเยี่ยมเยือนฮูหยินผู้เฒ่าจึงจะถูก เพียงแต่พวกเราล้วนยังเป็นหนุ่มสาวอายุน้อย มี
หลายเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แม้กล่าวว่ามาสองวันแล้ว แต่ยังมีเรื่องในเรือนมากมายที่ไม่ได้
จัดการ พากันยุ่งจนหัวหมุน ไม่มีหน้าจะไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเตือนพวกเราขึ้นมา
พอดีเชียว”
ส่วนไปยามใดนั้น กลับไม่ได้ให้คําตอบอย่างชัดเจน
เช่นนี้นางจะสามารถปรึกษาเรื่องราวที่ไปเยี่ยมเยียนสกุลจางกับเผยเยี่ยนได้บ้าง
เห็นได้ชัดว่า คุณหนูใหญ่สกุลจางก็เป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง นางต่อบทสนทนาด้วย
รอยยิ้ม “เป็นสกุลพวกเราที่ครุ่นคิดไม่รอบคอบ ยังมีอะไรที่สกุลพวกเราพอจะช่วยเหลือท่านได้
บ้าง? ท่านเอ่ยปากเถิด อย่าได้เกรงใจอะไร จะซื้อสิ่งนั้น วิ่งเต้นเรื่องนี้ สกุลของพวกเรามีคนมาก
อยู่แล้ว”
อวี้ถังเอ่ยขอบคุณ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ยืนยันเวลาที่แน่นอนให้กับสกุลจาง
คุณหนูใหญ่สกุลจางควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่ง เที่ยวเล่นที่สกุลเผยเป็นเพื่อนสวีเซวียนอยู่
ทั้งวัน ยังกินข้าวเย็นที่สกุลเผย ก่อนอินหมิงหย่วนที่มารับสวีเซวียนจะพานางส่งกลับจวนสกุล
จาง
ฮูหยินจางผู้เฒ่าถามคุณหนูใหญ่สกุลจางว่า “สกุลเผยเป็นอย่างไรบ้าง?”
2732
คุณหนูใหญ่สกุลหยางคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางจะยุ่งเกี่ยวได้ นางเพียงบอกเรื่องที่เห็น
และได้ยินให้ฮูหยินจางผู้เฒ่าฟัง ฮูหยินจางผู้เฒ่าได้ฟังก็พยักหน้า เอ่ยว่า “ดูท่าคุณหนูอวี้ผู้นี้คง
ไม่ใช่อาศัยเพียงโชคแต่งเข้ามาในสกุลเผย” จากนั้นนางก็กําชับกับลูกสะใภ้คนที่สาม “สตรีของ
สกุลเผยเข้ามา เจ้าต้องเอาเครื่องเคลือบลายครามผีเสื้อดอกไม้หลากสีชุดนั้นในคลังเก็บของ
ของข้ามาต้อนรับแขก พวกเราสองสกุลต้องไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมเสียหน่อย”
นายหญิงสามขานรับด้วยรอยยิ้ม
เผยเยี่ยนคิดว่าอวี้ถังจะไปสกุลจางเมื่อใดล้วนได้ทั้งนั้น “เรื่องของผู้ชายไม่เกี่ยวกับ
ผู้หญิง เจ้าสนใจเพียงเข้าไปเที่ยวเล่นให้สบายใจเถิด หากไม่อยากเข้าไป ข้าก็จะรับมือกับสกุล
จางให้เอง”
อวี้ถังประทับใจต่อคุณหนูใหญ่สกุลจางไม่น้อย คิดว่าสกุลจางไม่เหมือนกับสกุลที่
เลวร้าย ควรจะไปน้อมทักทายฮูหยินจางผู้เฒ่าที่สกุลจางเสียหน่อย
เผยเยี่ยนไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ เขากําลังนึกถึงคําพูดของจางอิง “ข้าเป็นขุน
นางมาถึงจุดนี้ ย่อมไม่อาจถอนตัวออกไปได้แล้ว เรื่องพวกนั้นที่เจ้าพูดข้าล้วนเข้าใจ ทางใต้เท้า
เสิ่น ไม่ว่าเขาจะเป็นนกสองหัวหรือไม่ อย่างมากที่สุดก็สองปี แม้เขาจะไม่อยากลงไป ก็จําต้อง
ลงไปให้ข้า ส่วนหลังจากเขาลงไปแล้ว ใครจะมารับช่วงต่อ ก็ต้องดูโชคของแต่ละคนแล้ว แต่ใต้
เท้าเสิ่นใช้ทุกวิธีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ กลัวก็แต่ว่าจะไม่ใช่แผนการเล็กๆ พวกเราต้อง
ระวังตัวเสียหน่อย”
ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงได้หยิบลูกเกาลัดจากเตาไฟ?
ไม่แปลกใจที่เขาจะคิดวิธีรั้งเฟ่ ยจื้อเหวินเอาไว้
พวกเขากลายเป็นคนที่ใช้การได้มากที่สุดในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้อง มีเพียงเฟ่ ยจื้อเหวิน
และเจียงหวาที่เป็นถึงขุนนางขั้นสาม มีโอกาสแย่งชิงตําแหน่งมหาบัณฑิตเน่ยเก๋อร์ ก่อนหน้าที่
จางอิงยังไม่เกษียณ เจียงหวาก็มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกับจางอิงแล้ว หาก
เฟ่ ยจื้อเหวินถอนตัวกลางคันไปอีกคน แปดถึงเก้าในสิบ เจียงหวาย่อมต้องอยู่ในตําแหน่งสูง
2733
กว่า ถึงเวลานั้นคงจะทําให้คนขบขันแล้ว อาจารย์สนับสนุนศิษย์ให้เข้าสู่เน่ยเก๋อร์ แต่กลับมี
ความคิดเห็นทางการเมืองไม่เหมือนกัน…เรื่องนี้อย่างน้อยที่สุดอาจจะเป็นเรื่องขบขันให้พวก
บัณฑิตกว่าห้าสิบปี หากไม่ระวังยังจะ ‘ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์’ อีกด้วย
นี่จึงเป็นจุดที่จางอิงกลัดกลุ้มที่สุด
เผยเยี่ยนตัดสินใจไปพบเฟ่ ยจื้อเหวินก่อน พูดคุยเรื่องบางเรื่องให้กระจ่าง
ทางอวี้ถัง เป็นฝ่ ายให้คนไปส่งเทียบเชิญให้สกุลจาง กล่าวว่าอยากเข้ามาน้อมทักทาย
ฮูหยินจางผู้เฒ่า
ฮูหยินจางผู้เฒ่าย่อมยินดีอย่างยิ่ง
สวีเซวียนได้ฟังก็อยากเข้ามาด้วย
ฮูหยินจางผู้เฒ่านั้นรักและเอ็นดูหลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานก็อุ้มท้องให้อย่างยิ่ง คุณหนู
ใหญ่สกุลจางที่ถูกบีบให้ยืนมองด้านข้าง ได้ยินว่านางจะมา ก็กําชับแม่นมช้างกายไปเปิดคลัง
เก็บของทันที นําเบาะรองนั่งฟูกหนาหลายอันออกมา ถึงเวลานั้นให้นําไปให้สวีเซวียนใช้
โดยเฉพาะ “ยามนี้นางไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ไม่อาจจะให้นางลําบากได้”
คุณหนูใหญ่สกุลจางมองเบาะรองนั่งฟูกหนานั้น ก็เห็นใจสวีเซวียนขึ้นมาบ้าง นึกถึงสวี
เซวียนยามที่อยู่กับอวี้ถัง ยังพอกินผลไม้ อาหารประเภทยําอะไรได้ จู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่าสวี
เซวียนไปหาอวี้ถังทุกวันย่อมต้องมีเหตุผลอะไร อินหมิงหย่วนจึงได้ยอมปล่อยนางเช่นนี้ บางที
อาจเป็นเพราะรู้ว่าสวีเซวียนถูกคนในเรือนจับตาดูอย่างเคร่งครัดเกินไป จึงได้สงสารนาง
ไปสกุลจาง ย่อมขาดกู้ซีไม่ได้
กู้ซีคาดไม่ถึงว่าอวี้ถังจะให้เงินเดือนพวกเขาเดือนละห้าสิบตําลึง
ควรรู้ว่า กระทั่งท่านแม่เฒ่าเผย เดือนหนึ่งก็ใช้เพียงเงินสามสิบตําลึงเท่านั้น
2734
แน่นอนว่า คนอย่างท่านแม่เฒ่าเผย เดิมทีก็ไม่จําเป็นต้องพึ่งเงินเดือนในการใช้
ชีวิตประจําวัน แต่อวี้ถังให้เงินนางมากขนาดนี้ อย่างน้อยก็ชี้ให้เห็นว่าอวี้ถังไม่ได้หักเงินส่วน
ของนาง
กู้ซีอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้
สถานะของพวกนางทั้งสองถูกกําหนดแล้ว หากอวี้ถังต้องการสร้างความลําบากให้นาง
แม้นางจะมีวิธีรับมือกับอวี้ถัง แต่ท้ายที่สุดย่อมต้องฉีกหน้ากันไปข้าง ไม่เป็นผลดีในระยะยาว
อย่างยิ่ง
ยามที่นางไปน้อมทักทายพี่สะใภ้ อินซื่อถามขึ้นมาว่าค่าใช้จ่ายนางพอหรือไม่ นางลังเล
ไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง
อินซื่อไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างพวกนาง กลับรู้ว่าฮูหยินบ้านหลักของสกุลกู้
ใช้เงินเพียงสามสิบตําลึงต่อเดือนเท่านั้น เงินห้าสิบตําลึง รวมกับค่าใช้จ่ายส่วนรวมยังจะเหลือ
อีกส่วนหนึ่ง ก็นับว่าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีหน้ามีตาแล้ว
นางอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “บางครั้งพี่ของเจ้าก็เอ่ยถึงอวี้ซื่อกับข้า กล่าวว่านางเป็น
คนดีไม่น้อย เจ้าก็รู้ สายตาในการมองหญิงสาวของผู้ชายพวกนั้นและผู้หญิงอย่างเราไม่
เหมือนกัน ข้าคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น คาดไม่ถึงว่าพี่ของเจ้าจะไม่ได้มองพลาด ผู้หญิงคนนี้นิสัยใจ
คอดีไม่น้อย เจ้าต้องทําความสนิทสนมกับนางให้ดีเสียหน่อย”
กู้ซีได้ฟังก็คล้ายก้างปลาติดคอ ลําพังยังไม่อาจคายออกมา จําต้องกลืนลงไปอย่าง
เงียบเชียบเท่านั้น
อินซื่อไปพลิกดูของที่สวีเซวียนให้กู้ซีนําเข้ามา นางมองก็ขําพรืดออกมา หันศีรษะมา
เอ่ยกับกู้ซี “พี่สะใภ้ของข้าผู้นี้ คงไม่มีใครเหมือนแล้ว แต่งงานแล้วยังซุกซนยิ่งกว่าตอนไม่ได้แต่ง
เสียอีก เจ้ารู้ไหมว่านางฝากเจ้าเอาอะไรมาให้ข้า? ผักดองของร้านทางตะวันออกของเมือง ทุก
วันฟ้าไม่ทันสางก็เริ่มวางขายแล้ว ยังขายจนถึงเย็น ข้าอยากกินจะซื้อกินเองไม่ได้เชียวรึ!”
2735
นี่สวีเซวียนกําลังหยอกล้อนางอย่างนั้นรึ?
สีหน้าของกู้ซีดูไม่ดียิ่งกว่าเดิม
นางข่มกลั้นอารมณ์อย่างยากลําบาก อินซื่อถามนางว่า “สกุลเจียงแต่งสะใภ้ ถึงเวลา
นั้นเจ้าจะไปหรือไม่?”
กู้ซีไม่รู้ว่าจะสามารถไปได้หรือไม่
อินซื่อเห็นท่าทีนี้ของนาง ก็เงียบไปพักใหญ่ เอ่ยว่า “ทางที่ดีเจ้าหาวิธีออกไปร่วมงาน
เลี้ยงหน่อยเถิด สกุลขุนนางในเมืองหลวงล้วนไปกันเกือบทั้งหมด สกุลเจียงย่อมส่งเทียบเชิญให้
สกุลเผย ทางที่ดีเจ้าก็ไปบอกกับอวี้ซื่อเสียหน่อย คนนั้นกลัวการเผชิญหน้า ข้าเชื่อว่านางคงจะ
ยินยอม”
นี่หมายความว่าให้นางไปขอร้องอวี้ถัง
กู้ซีอึดอัดใจอยู่บ้าง
อินซื่อลอบมองอยู่ในสายตา รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
นางรู้ว่าน้องสามีผู้นี้มีนิสัยดื้อรั้น แต่ความดื้อรั้นต้องดูเวลาด้วย คนอยู่ใต้ชายคา
เดียวกัน ยามที่ควรก้มหัวก็ควรก้มหัว
อินซื่อไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น กู้ซีไม่รับปาก นางก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อม ทําเพียงดึง
ตัวเองออกมา “ทางข้าย่อมพาเจ้าไปได้เช่นกัน แต่อย่างไรเจ้าก็มีผู้ที่อาวุโสกว่าอยู่ หากข้ามหน้า
ข้ามตาเช่นนี้ จะเกิดเรื่องได้ง่าย อย่าทําเช่นนี้จะดีที่สุด”
นางยังกลัวว่ากู้ฉ่างจะไม่รู้จักความเหมาะสม ลอบรับปากคําขอของกู้ซี กู้ฉ่างกลับมา
นางยังกําชับเรื่องนี้กับกู้ฉ่างอย่างละเอียด ทั้งเพื่อพิสูจน์ความกังวลของตัวเอง จึงนําเรื่องที่อวี้
ถังจัดสรรเงินให้กู้ซีแต่ละเดือนบอกกล่าวกับกู้ฉ่าง “ยามที่พวกเขาอยู่หลินอันได้เพียงเงินสิบ
ตําลึงเท่านั้น พอถึงเมืองหลวง อวี้ซื่อเพิ่มเงินให้พวกเขาถึงห้าเท่า นางเหมือนที่เจ้าพูด ไม่ใช่คน
ขี้เหนียวใจแคบ พวกเราที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้สกุลมารดา ย่อมไม่อาจถ่วงแข้งถ่วงขาน้องสาวได้”
2736
อินซื่อขาดแค่ไม่ได้พูดตามตรงว่ามารดาของกู้ซีนั้นด่วนจาก แม่เลี้ยงไม่ได้สั่งสอนนาง
ว่าควรจะจัดการเรื่องในเรือนอย่างไรให้ดี
กู้ฉ่างได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้คงต้องรบกวนเจ้าช่วยดูแลหน่อย
แล้ว ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยว่างเลย”
เขาคาดไม่ถึงว่าสกุลเผิงจะรับเรื่องเละเทะของสกุลซุนเอาไว้ ด้านนอกนั้น
วิพากษ์วิจารณ์เขาอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะไปหลบที่สํานักฮั่นหลินก่อนดีหรือไม่ หาก
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จําต้องขอร้องให้สกุลหลีหรือสกุลจางช่วยเขาออกหน้าจัดการหน่อยแล้ว
กู้ฉ่างมองอินซื่อที่วุ่นกับการออกคําสั่งพวกสาวใช้ให้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา จมดิ่งใน
ความคิด
ไม่ว่าอย่างไรกู้ซีก็ไม่ยินยอมที่จะไปขอร้องอวี้ถัง
นางจึงไปขอร้องนายหญิงรองสกุลเผย
ช่วงเวลานี้นายหญิงรองสกุลเผยยุ่งกับการปฏิสัมพันธ์ผู้คน อวี้ถังช่วยนางดูแลลูกสาว
ด้านเผยหงก็มอบให้เผยชี นางรู้สึกขอบคุณสองสามีภรรยาอย่างยิ่ง ฟังจบก็แปลกใจไม่น้อย
เอ่ยว่า “สกุลเจียงคงจะเชิญสกุลพวกเราเข้าไปด้วยกระมัง?” ทั้งกลัวว่าตัวเองจะตาฝาด เรียก
หญิงรับใช้ข้างกายไปหาเทียบเชิญ
หญิงรับใช้นําเทียบเชิญเข้ามา นายหญิงรองเปิดดูแวบหนึ่งก็ส่งให้กู้ซีทั้งรอยยิ้ม “เจ้าดู
สิ เขียนว่าให้พวกเราไปทั้งจวน เจ้าก็คงต้องตามพวกเราไปด้วยกัน!”
ยามนี้กู้ซีจึงค่อยตระหนักได้ว่า ในสายตาคนอื่น นางเทียบกับอวี้ถังแล้วก็เป็นเพียงคน
รุ่นหลัง มีอวี้ถังอยู่ ขอเพียงแค่ส่งเทียบเชิญให้อวี้ถังย่อมเพียงพอแล้ว ส่วนจะถึงมือนางหรือไม่
ถึง อวี้ถังจะพานางไปงานเลี้ยงหรือไม่ นั่นก็ต้องดูความประสงค์ของอวี้ถัง นางเป็นเพียง
ผู้ติดตามเท่านั้น
2737
เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างนางและอวี้ถังอย่างชัดเจน
หากนางคิดจะเปลี่ยนแปลงความแตกต่างนี้ นอกเสียจากเผยถงจะกลายเป็นขุนนาง
ขั้นสาม ไม่อย่างนั้น ยามที่นางอยู่ในแวดวงสังคม ก็ทําได้เป็นเพียงคนรุ่นหลังที่ดูแลรับใช้อวี้ถัง
ไปตลอดกาลเท่านั้น
ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ไม่มียศตําแหน่ง
ชั่วขณะนั้นกู้ซีก็เข้าใจว่าเหตุใดแม่สามีของตัวเองจึงบีบให้เผยถงพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไป