ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 298 ไม่ยินดี
อวี้ป๋อกับอวี้เหวินอย่างไรก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน อวี้เหวินคิดอะไร อวี้ป๋อก็เดาได้แปดเก้าส่วน เห็นว่าอวี้เหวินจะไล่ตามนายท่านอู๋ไป เขาก็ตะโกนบอกอาเสาที่ยืนเฝ้าประตูอยู่โดยไว “รีบขวางฮุ่ยหลี่เอาไว้!”
นี่ก็คือเทพเซียนตีกัน ผู้น้อยตายก่อนนั่นเอง
อาเสาจะขวางก็ไม่อาจ ไม่ขวางก็ไม่ได้ ระหว่างที่ลังเล อวี้เหวินก็วิ่งออกนอกลานไปแล้ว
อวี้ป๋อสาวเท้าวิ่งตามไปอย่างไม่สนใจอะไรอีก
พอวิ่งไปถึงหน้าประตู อวี้หย่วนที่ไล่ตามมาก็วิ่งเลยผ่านเขาไปและตามอวี้เหวินทัน พลันดึงแขนท่านอาเขาเอาไว้
อวี้ป๋อโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็โมโหไม่น้อย หันไปตวาดใส่อาเสากับซานมู่ทันที “มีพวกเจ้าไว้ทำอะไร? พอเกิดเรื่องกลับแยกแยะหนักเบาไม่ได้สักอย่าง! เร็ว จับนายท่านรองกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้ หากว่าเขาหนีไปได้อีก พวกเจ้าได้เห็นดีกับข้าแน่!”
สองคนไม่กล้าคิดมาก พุ่งตัวเข้าไปแล้วช่วยอวี้หย่วนลากอวี้เหวินกลับเข้าเรือน
คนที่ผ่านไปมาต่างอดหันมองด้วยความอยากรู้ไม่ได้
อวี้ป๋อรีบประสานมือคารวะทุกคน “ขออภัยด้วยๆ น้องชายข้าดื่มเหล้าจนเมาแล้ว”
อวี้เหวินที่ถูกจับตัวกลับมาถลึงตามองเขา เพิ่งจะร้องออกมาได้ครึ่งประโยคว่า “ข้านี่นะ” ก็ถูกคนสกุลเฉินที่ไล่ตามมาใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากส่งประโยคท้ายที่ว่า “ดื่มเหล้าจนเมา” ยัดกลับลงไปในลำคอของเขาแทน
อวี้เหวินเดือดดาลจนตัวสั่นไปหมด
คนสกุลเฉินกระซิบบอกเขาด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยว่า “นายท่าน งานแต่งของอาถังพวกเราต่างคิดว่าเหมาะสม หากท่านมีสิ่งใดไม่พอใจให้มาลงกับข้านี่ ท่านอยากตบตีหรือด่าทอข้าก็ยอมทั้งนั้น เวลานี้คงต้องล่วงเกินท่านแล้ว ท่านเห็นแก่ที่เราเป็นสามีภรรยากัน อภัยให้ข้าสักครั้งได้หรือไม่ ต่อไปมีเรื่องอะไร ข้าจะเชื่อฟังท่านทั้งหมด”
หากจบเรื่องงานแต่งของอวี้ถังไปแล้ว พวกเขายังจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่านี้อีก!
อวี้เหวินแทบอยากจะใช้มีดผ่าสมองของภรรยาออกมาดู ไม่รู้ว่าโดนยาเสน่ห์ตัวไหนของสกุลเผยเข้า!
คนสกุลเฉินมองไปทางอวี้ป๋อคล้ายขอความช่วยเหลือ…นางคงอุดปากอวี้เหวินไปเช่นนี้ตลอดไม่ได้ เพราะถือเป็นการไม่เคารพเขา
อวี้ป๋อเข้าใจดี เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับอวี้หย่วนว่า “ไปดื่มน้ำชาที่ห้องหนังสือเป็นเพื่อนอารองเจ้าที รอนายท่านอู๋กลับมา เจ้าค่อยออกไปกับเขา ดื่มสุรากับนายท่านอู๋สักหลายจอก”
รอจนนายท่านอู๋กลับมา งานแต่งของอวี้ถังคงกำหนดเรียบร้อยแล้ว เขาคัดค้านจะมีผลอะไร
อวี้เหวินเริ่มดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้
คนสกุลเฉินถูกสะบัดกระเด็นไปด้านข้าง ซวนเซจนเกือบลม
คนสกุลหวังตาไว รีบก้าวออกไปประคองนางไว้ แล้วร้องเสียงดังว่า “น้องสะใภ้! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? ข้อเท้าแพลงหรือเปล่า? สะใภ้อาหย่วน เร็วเข้า เจ้ารีบไปเชิญท่านหมอมา อาสะใภ้เจ้าแต่ไรร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง สองปีมานี้ได้กินยาของท่านหมอหลวงหยาง ถึงได้บำรุงจนดีขึ้นหน่อย อย่าให้อาการกำเริบขึ้นมาอีกเชียว”
อวี้เหวินได้ยินก็สงบนิ่งในทันใด เขาเรียกชื่อคนสกุลเฉินด้วยน้ำเสียงลังเล
คนสกุลเฉินรีบหันไปส่ายหน้าให้สามี “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้ทำข้าเจ็บ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่อวี้เหวินก็สะบัดตัวจนหลุดจากการจับกุมของพวกอวี้หย่วน แล้วเข้าไปสำรวจร่างกายของคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินรู้สึกทรมานใจมาก นางกลืนก้อนสะอื้นลงคอเอ่ยว่า “นายท่าน ท่านเชื่อพวกเราสักครั้งได้ไหม? พวกเราต่างคิดว่าสกุลเผยเหมาะสม ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องอะไร แต่นอกจากฐานะ บรรดาศักดิ์และชาติตระกูลแล้ว อาถังของพวกเราก็คู่ควรกับนายท่านสามใช่หรือไม่? ขนาดสกุลเราอยู่ในสภาพนี้ สกุลเผยก็ยังเชิญแม่สื่อมาหมั้นหมายอาถัง แสดงว่าในสายตาสกุลเผย อาถังของเรามีค่ามากกว่าพวกคุณหนูที่ฐานะสูงส่งเสียอีก นี่เป็นวาสนาของอาถัง พวกเราจะขัดขวางอนาคตอันสดใสของนาง เพียงเพราะสกุลเราไม่ร่ำรวยไม่ได้นะเจ้าคะ!”
อวี้เหวินได้ยินเช่นนั้น อารมณ์พลุ่งพล่านของเขาก็ละลายหายทันที
คนสกุลเฉินเห็นว่าคำพูดตนใช้ได้ผล ก็รีบเดินเข้าไปช่วยคลายโทสะให้เขา น้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าเดิมมาก “นายท่านสามสกุลเผยนั้น นอกจากชาติกำเนิดแล้ว ท่านลองดูนิสัยใจคอ รูปโฉม ความรู้และการอบรมสั่งสอน มีอย่างไหนมิเป็นเลิศบ้าง หากอาถังของเราได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนเช่นนี้ ผู้คนและเรื่องราวที่พบเจอย่อมจะต่างออกไป ต่อให้พวกเราทุ่มเทใส่ใจนางเท่าไรก็หามาให้นางไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ว่านางจะสามารถหาที่ยืนในสกุลเผยได้หรือไม่ ต่อให้พวกเรารั้งตัวนางไว้กับเรือน แต่งเขยชายเข้าสกุลมา ถ้านางอดทนต่อเขยชายไม่ไหว ไม่แน่อาจเป็นทุกข์ยิ่งกว่าแต่งออกไปอีก อีกอย่าง บุตรสาวของเราพวกเราย่อมจะรู้จักดี ปกติท่านมักให้นางอ่านหนังสือ ฝึกเขียนอักษร หากจะให้นางไปชิงดีชิงเด่นเหมือนสะใภ้ที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผลพวกนั้น นางไม่แน่ว่าจะชนะหรอก มิสู้ให้นางแต่งเข้าสกุลเผย ข้าเชื่อมั่นในสติปัญญาของนาง ว่านางจะต้องหาที่ยืนได้อย่างมั่นคงแน่”
“ถ้าท่านไม่เชื่อว่าบุตรสาวของท่านมีความสามารถเพียงนั้น ท่านก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง บุตรสาวที่ท่านสั่งสอนมาเองกับมือ ไม่มีทางด้อยไปกว่าคนอื่นแน่!”
อวี้เหวินมองอวี้หย่วนที่ยืนบังประตูใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มองสายตาคาดหวังและรอคอยของทุกคน รับรู้ถึงแววพ่ายแพ้มาแต่ไกล
พูดไปพูดมา ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องการจัดงานแต่งครั้งนี้
คำนวณเวลาดู นายท่านอู๋น่าจะไปถึงจวนสกุลเผยแล้ว หากว่านายท่านอู๋นัดกับสกุลเผยที่โรงน้ำชาด้านนอก บัดนี้ก็คงเริ่มหารือรายละเอียดของการหมั้นหมาย…ต่อให้เขาจะคัดค้าน มันก็สายเกินไปแล้ว
อวี้เหวินปล่อยไหล่ตก แต่ก็ยังร้องออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “อย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นฟังออกถึงท่าทีประนีประนอมของเขา สีหน้าจึงค่อยผ่อนคลายลง ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนจะทยอยเดินเข้าไปปลอบใจอวี้เหวิน
“เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้สิ เจ้าเป็นบิดาของอาถัง หากว่าเจ้าไม่เห็นด้วย งานแต่งนี้ก็จะจัดขึ้นไม่ได้หรอก” คนสกุลหวังกล่าว
อวี้เหวินหลับตาลง คิดในใจว่า ข้าก็บอกอยู่ไม่ใช่รึว่าไม่เห็นด้วย? แต่พวกเจ้าคนไหนฟังคำที่ข้าพูดบ้าง? ข้ามิใช่ว่าถูกบังคับให้ต้องเห็นด้วยแล้วหรือไร?
อวี้ป๋อก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “แม้เจ้าจะอายุน้อยกว่าข้า แต่อ่านหนังสือมาเยอะกว่าข้า เรื่องในสกุล ข้าก็ฟังเจ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับเรื่องนี้ เจ้าจะดื้อดึงแบบนี้ไม่ได้ บางครั้งเจ้าก็ต้องฟังความเห็นของพวกเราบ้าง”
อวี้เหวินไม่อยากพูดด้วย ในใจก็คิดว่า บางครั้งคนส่วนน้อยต่างหากที่คิดถูก สำหรับเรื่องนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าอะไรคือคนส่วนน้อยที่คิดถูกต้อง
อวี้หย่วนก็ช่วยโน้มน้าวท่านอาของตนอย่างกล้าหาญ “ท่านอา ข้ารู้ว่าการที่อาถังต้องออกเรือน อาจทำให้ท่านไม่สบายใจ ต่อไปข้าจะกตัญญูต่อท่านให้เหมือนกับบิดาข้า” พูดไป ก็ลากคนสกุลเซียงเข้ามาด้วย “พวกเราจะดูแลท่านเอง”
คนสกุลเซียงพยักหน้ารัวเร็ว เรียกเขาเสียงหนึ่งด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ท่านอา”
อวี้เหวินไม่อยากเอาเรื่องกับคนรุ่นหลาน อย่างไรพวกเขาก็เหมือนฝูงหนูที่เห็นแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่เคยคิดการณ์ไกล แล้วตนจะคุยกับพวกเขารู้เรื่องรึ?
อวี้เหวินแทบอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
ส่วนอวี้ถังทางนี้ ด้านหน้าเกิดเรื่องอลหม่านใหญ่โต ต่อให้นางไม่อยากรู้แต่ก็รู้เรื่องจนได้ อีกอย่างนางก็ส่งซวงเถาไปสืบเรื่องเช่นกัน
นางรู้เรื่องอย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น
อวี้ถังไตร่ตรองดู แล้วถามซวงเถาว่า “ตอนนี้ท่านพ่อข้ากำลังทำอะไรอยู่?”
ดวงตาของซวงเถาวาววับ เหมือนกำลังดูละครฉากใหญ่ ทั้งนางยังเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องด้วย
“นายท่านขังตัวเองในห้องหนังสือ ไม่ยอมพบใครทั้งนั้น” นางตอบ “ส่วนนายท่านใหญ่กับคุณชายนั่งดื่มชาอยู่ใต้ชายคาห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
นี่กำลังจับตาดูบิดาของนางรึ?
มารน้อยในใจอวี้ถังถึงกับปาดเหงื่อ
นางสั่งซวงเถาว่า “พวกเราไปที่ห้องครัวกัน ทำขนมเกล็ดหิมะสักเข่งแล้วยกไปให้ท่านพ่อ”
นี่เพราะต้องการเอาใจนายท่านอย่างนั้นรึ?
ซวงเถาผงกศีรษะ แล้วไปที่ห้องครัวเป็นเพื่อนอวี้ถัง
โม่แป้ง ผสมแป้งข้าวเหนียว ต้มน้ำให้เดือด แล้วตั้งนึ่ง
เพราะมีคนครัวคอยช่วยเหลือ จึงทำขนมเกล็ดหิมะออกมาหนึ่งเข่งได้อย่างรวดเร็ว
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังพอได้รู้เรื่องก็ตามมาด้วย
คนสกุลเฉินถามบุตรสาวด้วยความระมัดระวังว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
อวี้ถังคิดว่าที่บิดาไม่เห็นด้วยกับงานแต่งนี้ ก็เพราะเขาไม่วางใจ หากนางทำให้เขาวางใจได้ บิดาย่อมไม่มีทางคัดค้านงานแต่งครั้งนี้แน่ นางถึงไม่คิดจะปิดบังคนในสกุล “ข้าได้ยินว่าท่านพ่อโกรธมาก เลยอยากทำขนมไปเอาใจท่านพ่อให้อารมณ์ดีหน่อยเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังหันมามองหน้ากัน ผ่านไปพักใหญ่คนสกุลหวังถึงได้เอ่ยนำก่อนว่า “เรื่องของสกุลเผยเจ้ารู้แล้วสินะ?”
อวี้ถังพยักหน้าอย่างเปิดเผย พลางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้นายท่านสามถามข้าแล้ว ข้าคิดว่านายท่านสามเป็นคนไม่เลว จึงไม่ได้ปฏิเสธเจ้าค่ะ”
ส่วนว่าจะแต่งกันได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่านายท่านสามมีความจริงใจมากพอหรือเปล่า
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังตะลึงงัน คนสกุลเฉินอดไม่ไหวฟาดมือลงไหล่อวี้ถังอย่างแรง “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่บอกกับคนที่บ้านบ้าง?” พูดไป ก็ลากอวี้ถังไปด้านข้างแล้วซักไซ้ต่อว่านางรู้จักกับเผยเยี่ยนได้อย่างไร เผยเยี่ยนเหตุใดจึงคิดมาสู่ขอ…สรุปก็คือ อยากรู้ว่าอวี้ถังได้วางแผนร้ายอะไรไว้หรือไม่ ได้มีความสัมพันธ์ลับอะไรกับเผยเยี่ยนหรือเปล่า
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่รู้ว่าหากนางพูดออกไป คนมากกว่าครึ่งก็ต้องสงสัยว่านางกับเผยเยี่ยนมีสัมพันธ์ลับกันอยู่ดี
นางถึงเล่าเรื่องที่นางกับเผยเยี่ยนรู้จักกันให้ผู้อาวุโสทั้งสองฟังเสีย
แน่นอนว่า บางเรื่องที่พูดไม่ได้นางก็เล่าออกไปอย่างกำกวม
หัวใจที่หวาดหวั่นของคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังถึงคลายกังวลลงได้
อวี้ถังจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่กับป้าสะใภ้สบายใจได้เจ้าค่ะ ท่านพ่อนางนั้น ข้าจะไปกล่อมเอง หากว่าเขาไม่เห็นด้วยจริงๆ เช่นนั้นงานแต่งของข้ากับสกุลเผย ก็ให้ชะลอไว้ก่อน”
บุตรสาวออกเรือนต้องเงยหน้า บุตรชายแต่งสะใภ้ต้องก้มหัว
หากว่าเผยเยี่ยนอยากแต่งกับนาง เขาก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังยังวิตกไม่เลิก กลัวว่าจะล่วงเกินสกุลเผยเข้า จนงานแต่งที่ดีงามเช่นนี้จะสลายหายไป
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ “ก็มิแปลกที่ท่านพ่อจะกังวล ก็เพราะทุกคนหวั่นวิตกเมื่ออยู่ต่อหน้าสกุลเผยมากเกินไป ความจริงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย ถ้าสกุลเผยอยากดองกับสกุลเรา อย่างไรก็ต้องได้ดองกันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่อยากดองกับสกุลเรา ต่อให้พวกเราทำดีขนาดไหน พวกเขาก็ไม่มีทางดองกับเราแน่ ท่านลองดูสกุลซ่งกับสกุลอู่สิเจ้าคะ สกุลใดบ้างไม่มีหน้ามีหน้าเหนือกว่าพวกเรา”
ความจริงก็เป็นเช่นนี้เอง
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียง
ขนมเกล็ดหิมะในเข่งสุกได้ที่แล้ว อวี้ถังแบ่งมันออกเป็นสามจาน จานหนึ่งให้คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง จานหนึ่งให้อวี้ป๋อกับอวี้หย่วน ส่วนอีกจานนางเป็นคนถือไว้ แล้วเดินไปหาอวี้เหวินที่ห้องหนังสือ
อวี้เหวินทำหน้าบึ้งตึง นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ดวงตาสองข้างเหม่อลอย คล้ายมีเพียงร่างแต่ไร้วิญญาณ เสียง ‘แกร๊ก’ ของประตูที่อวี้ถังผลักเข้าไป ไม่อาจทำให้เขาหันมามองได้เลย
อวี้ถังได้แต่วางขนมไว้บนโต๊ะเล็กข้างมือของอวี้เหวินด้วยใบหน้าประดับยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปากเรียก “ท่านพ่อ” ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
อวี้เหวินลืมตาขึ้นมาอย่างว้าวุ่น ทว่าลอบด่าอวี้ป๋อกับคนสกุลเฉินอย่างสาดเสียเทเสียในใจ
พวกนั้นกำลังทำอะไร? ตนเองพูดเองว่าจะไม่กล่อมเขาแล้ว แต่กลับยุบุตรสาวให้มาโน้มน้าวเขา?
เรื่องของผู้ใหญ่ เหตุใดจึงดึงเด็กๆ เข้ามาเกี่ยวด้วย
อีกอย่างอวี้ถังรู้เรื่องอะไรเสียที่ไหน? ก็คงถูกมารดากับป้าสะใภ้ที่นางเชื่อใจหลอกจนหัวหมุนมาล่ะสิ!