ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 291 โกรธเคือง
ไม่ใช่ เดิมทีนางก็ยังไม่ได้รับปากเลย?
แต่นางจะคัดค้านอย่างนั้นรึ?
มารร้ายในใจอวี้ถังส่ายศีรษะทันที
นางก้มศีรษะลง ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เผยเยี่ยนเป็นคนที่หลักแหลมทั้งมองคนอย่างทะลุปรุโปร่ง รับรู้ถึงความลังเลของนางทันที
จากนั้นเขาก็ทำเรื่องที่ไม่อยากให้เอ่ยถึงไปหลายปี ทั้งเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี...เขาเปิดแน่บไปทันที
วิ่งไปแล้ว ยังเอ่ยไปพลาง “เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้ ข้าและหูซิ่งจะไปดูด้านหน้าก่อน เจ้าก็พักผ่อนอยู่ที่นี่”
แม้หูซิ่งจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หน้าที่หลักของเขาคือรับใช้เผยเยี่ยน เผยเยี่ยนไปแล้วเขาก็ย่อมติดตามไป
พวกอาหมิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พากันเดินจากไปพึ่บพั่บ
ทิ้งอวี้ถัง ชิงหยวนและพวกซวงเถาให้มองหน้ากัน
ส่วนต่อจากนั้นพวกเขาไปสถานที่ใดบ้าง เผยเยี่ยนและหูซิ่งหารือเรื่องอะไรกัน อวี้ถังล้วนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เดิมทีก็ไม่ได้ฟังเข้าไปด้วยซ้ำ จวบจนท้ายที่สุดเผยเยี่ยนตัดสินใจ “ล่างเขาและทางเหนือล้วนปลูกต้นซาจี๋ ทางใต้ปลูกต้นท้อ จากนั้นขุดทางน้ำสองสายเข้ามา ฤดูร้อนปีนี้ลงมือขุดสายหนึ่งออกมาก่อน ถึงฤดูหนาวยามที่ว่างจากการเก็บเกี่ยวก็ขุดอีกสาย”
กระทั่งอวี้ถังที่ไม่รู้เรื่องการเกษตรก็ยังรู้ว่า ทางน้ำสองสายย่อมต้องสิ้นเปลืองกำลังไม่น้อย
แต่เรื่องเช่นนี้นางไม่อาจโต้แย้งเผยเยี่ยน…ในความคิดของอวี้ถัง เผยเยี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญ
“ไม่อย่างนั้น ขุดสักสายหนึ่งก่อน?” นางลองหว่านล้อมเผยเยี่ยน “ดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไรแล้วค่อยขุดอีกสาย?”
เผยเยี่ยนย่อมไม่ยินดี
หูซิ่งกลับมีความคิดของตัวเอง
ขั้นตอนที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องอาศัยกำลังความช่วยเหลือของชาวบ้านหลินอันโดยรอบ แม้ว่าสกุลเผยจะยินดีออกเงิน แต่หากมีชื่อเสียงหน้าใหญ่ใจโตหลุดออกมาก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว
นอกจากเขาจะคล้อยตามคำพูดของอวี้ถังแล้ว ยังส่งสายตาเป็นนัยให้เผยเยี่ยน เอ่ยว่า “ข้ากลับคิดว่าคุณหนูอวี้พูดมีเหตุผล หากมีการกะเกณฑ์แรงงานในหมู่บ้าน ย่อมไม่อาจไปทะเลาะกับทางการได้”
อวี้ถังคิดว่ายังคงเป็นหูซิ่งที่รู้จักพูด ละล่ำละลักเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้นการขุดทางน้ำก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก กำลังคน วัสดุอุปกรณ์ล้วนต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า กำลังคนยังพูดง่าย แต่วัสดุอุปกรณ์กลับต้องไปเสาะหาทั่วสารทิศ หลายพื้นที่ฤดูร้อนล้วนเป็นหน้าแล้ง ก็ไม่รู้ว่าจะขนส่งสะดวกหรือไม่”
เผยเยี่ยนกลับไม่คิดว่านี่เป็นขั้นตอนที่ใหญ่โตอะไร สิ่งที่เขาสนใจคือเรื่องที่หูซิ่งส่งสายตาให้เขา
มองจากหลายวันที่หูซิ่งทำเรื่องราว เขานับว่าเปิดประสบการณ์ใหม่ต่อความสามารถของหูซิ่ง
ให้คนผู้นี้ทำเรื่องจริงจัง เขาอาจจะบกพร่องอยู่บ้าง แต่ความสามารถการสังเกตสีหน้า ประจบประแจงอย่างหน้าไม่อาย พวกพ่อบ้านของสกุลเผยก็ดี ผู้ดูแลก็ดี ล้วนไม่มีใครเทียบเขาได้ทั้งนั้น
ให้เขาจัดการอยู่ที่เรือนหลัง ยังคงเหมาะกับเขาจริงๆ
เผยเยี่ยนยังไม่ตัดสินใจ แต่เปิดไปอีกประเด็น เอ่ยถึงเรื่องปลูกต้นท้อขึ้นมา “หูซิ่ง ทางชิงโจวเจ้าคุ้นเคยดี เรื่องปลูกต้นไม้ก็ส่งมอบให้เจ้าแล้วกัน สองวันนี้พยายามจัดการให้เร็วที่สุด หากต้องการไปชิงโจว เจ้าก็พูดกับอาหม่าน ให้อาหม่านจัดการให้เจ้า ยังมีทางเฉินต้าเหนียง ก็ต้องบอกกล่าวเช่นกัน ส่วนเรื่องในจวนของเจ้า มอบให้อาหม่านดูแลชั่วคราว”
นี่ก็หมายความว่าให้เขาอาศัยนามของพ่อบ้านไปทำเรื่องของผู้ดูแล
หูซิ่งอ้ำอึ้งอยู่บ้าง แต่เขาไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของเผยเยี่ยน รีบค้อมกายคารวะ ขานรับว่า ‘ขอรับ’ เผยท่าทีนอบน้อมอย่างยิ่ง
เผยเยี่ยนมองเขาไปที จากนั้นก็พูดคุยกับเขาต่อ ทว่ากลับเดินเข้าไปในป่ารกชัฏไม่ไกลแทน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหูซิ่งก็เป็นคนที่มีไหวพริบคนหนึ่ง
เขารีบตามไปทันที
ยามนี้เผยเยี่ยนจึงค่อยกดเสียงเบาถามเขาว่า “เมื่อครู่เจ้ามองข้าทำไม?”
หูซิ่งละล่ำละลักตอบอย่างนอบน้อม “ข้าเห็นคุณหนูอวี้มีท่าทีไม่ยินดีสักเท่าใร คิดว่าบางเรื่องท่านอาจต้องฟังคุณหนูอวี้บ้าง เมื่อก่อนยามที่ข้าเห็นท่านผู้เฒ่าและท่านแม่เฒ่า ท่านผู้เฒ่าไม่เคยคัดค้านอะไรท่านแม่เฒ่าอย่างโจ่งแจ้งมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นรอบกายของคุณหนูอวี้ล้วนมีแต่คนของท่าน”
บิดาของเขาไม่เคยคัดค้านมารดาต่อหน้าคนอื่นจริงๆ
คำพูดนี้ถูกใจเผยเยี่ยน
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ได้! หลังจากเจ้ากลับไปก็เอาขั้นตอนหลักๆ ให้คุณหนูอวี้ดู ฤดูร้อนขุดทางน้ำสายหนึ่งก่อน ฤดูหนาวค่อยขุดอีกสาย”
หูซิ่งราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
เขารู้สึกว่าเรื่องใหญ่อย่างขุดทางน้ำนั้น ต้องใช้เงินมหาศาล หากให้ท่านแม่เฒ่ารู้ว่าเขาเอาแต่มองดูไม่ยอมทำอะไร ปล่อยให้นายท่านสามทำตามใจเช่นนี้ เกรงว่าท่านแม่เฒ่าคงจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ยามนี้จึงพยายามระดมความคิดหาเหตุผลออกมา
ใครจะรู้ว่านายท่านสามกลับหลงกล!
ก็หมายความว่า ในใจของนายท่านสาม คุณหนูอวี้คือคนที่สามารถเทียบเคียงกับท่านแม่เฒ่าได้!
นี่…นี่ไหนเลยจะเหมือนรับเข้ามาเป็นอนุ เห็นได้ชัดว่าต้องแต่งเป็นภรรยา!
คุณหนูอวี้…นายหญิงผู้ดูแลสกุลเผย! ภรรยาเอกบ้านหลักของจวนสกุลเผย
หูซิ่งถูกทุบจนมึนงงไปหมด แทบจะลืมอย่างสิ้นเชิงว่าตัวเองตามเผยเยี่ยนและอวี้ถังลงจากเขาได้อย่างไร
แต่รอจนถึงตีนเขา มองหวังซื่อและผู้ดูแลสวนของสกุลอวี้ล้วนกำลังเฝ้าอย่างขะมักเขม้นอยู่ตรงนั้น ยามนี้จึงค่อยตระหนักถึงความผิดปกติได้
นายท่านสามไม่กล้าไปพูดกับคุณหนูอวี้ จึงโยนเรื่องที่หว่านล้อมคุณหนูอวี้ขุดทางน้ำสองสายในคราเดียวให้เขา!
หรือเขามีสามหัวหกแขนกัน?
เรื่องที่นายท่านสามทำไม่สำเร็จ เขาก็จะทำสำเร็จอย่างนั้นรึ?
หรือยามที่อยู่ต่อหน้าคุณหนูอวี้ เขามีหน้ามีตามากกว่านายท่านสามกัน?
หูซิ่งอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ทอดมองอย่างเงียบเชียบ เดินตามเผยเยี่ยนและอวี้ถังไปยังเรือนเก่าของสกุลอวี้ ในใจซับซ้อนวุ่นวายอย่างยิ่ง
ด้านอวี้ถังก็รู้สึกสับสนไม่น้อยเช่นกัน
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ นางล้วนไม่เคยคิดเรื่องแต่งเข้าสกุลใหญ่มาก่อน ชาติก่อนโชคชะตาเล่นตลก ชาตินี้จะปฏิเสธกลับจะเป็นการไม่แสดงความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้นคำโบราณกล่าวได้ดี ฐานะแตกต่างไม่อาจใฝ่สูงเกินเอื้อม
ปฏิเสธเผยเยี่ยนอย่างนั้นรึ?
นางก็พูดไม่ออก
ทั้งนอกจากนางจะพูดไม่ออก ในใจของนางยังต่อต้านอยู่เลือนราง
ควรจะทำอย่างไรดี?
ในใจนางคิดสับสนวุ่นวาย แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้
อวี้ถังอยากให้ช่วงเวลานี้ถูกหยุดไว้ ให้นางไม่ต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกภายหลังตลอดไป
นางปฏิเสธงานเลี้ยงรับรองของผู้อาวุโสหญิงในสกุลอย่างอ้อมๆ กินข้าวเย็นลวกๆ แล้วก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง
ทำอย่างไรดี?
เวลานี้ นางอยากให้มีใครสักคนช่วยนางตัดสินใจอย่างยิ่ง
มารดาย่อมไม่ได้
หากนางรู้ย่อมตกใจยกใหญ่ ไม่แน่ว่ายังจะตัดสินใจในทันที ปฏิเสธไม่ก็เห็นด้วยกับงานแต่งของสกุลเผย
บิดาของนางยิ่งไม่เหมาะ
ญาติผู้พี่? พี่สะใภ้? ป้าสะใภ้ใหญ่…ลุงใหญ่?
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ
หากคุณหนูสวีอยู่ที่นี่ก็คงจะดี
แต่หากนางอยู่ที่นี่ คงจะทำเรื่องวุ่นจนเป็นที่รู้ไปทั่วกันเลยกระมัง?
อวี้ถังใช้มือปิดใบหน้าอย่างกลัดกลุ้ม จู่ๆ ก็นึกถึงหม่าซิ่วเหนียง
ไม่อย่างนั้น ไปปรึกษากับหม่าซิ่วเหนียง?
เห็นหม่าซิ่วเหนียงหลังจากแต่งงานใช้ชีวิตในสกุลจาง ก็รู้แล้วว่านางเป็นคนที่ใช้ชีวิตเก่งคนหนึ่ง
คนที่ใช้ชีวิตเก่ง ย่อมฉลาดมองเรื่องอย่างทะลุปรุโปร่ง
ปรึกษาหม่าซิ่วเหนียง ยังจะสามารถปิดบังคนที่เรือนได้ชั่วคราว
เผยเยี่ยนผู้นี้ พูดออกมาได้ก็ย่อมทำได้
รอจนเขาไปสู่ขออย่างกะทันหันจริงๆ ในสกุลย่อมต้องแตกตื่นเป็นแน่
อวี้ถังถอนหายใจ คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเพียงหม่าซิ่วเหนียงที่เหมาะสม
ชั่วขณะนั้นนางก็ปรารถนาจะติดปีกบินไปหาหม่าซิ่วเหนียงอย่างยิ่ง เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจทันที หายใจเฮือกหนึ่งในเรือนเก่าสกุลอวี้ ก็ราวกับนั่งอยู่กองไฟนานไปอีกหนึ่งเค่อ
นางอดตาหลับขับตานอนจนถึงฟ้าสาง หยัดกายขึ้นก็ออกคำสั่งกับซวงเถาว่าจะกลับหลินอัน
ซวงเถาตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ “เกิด เกิดเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
เมื่อวานนางลอบพูดคุยกับหวังซื่ออยู่พักหนึ่ง นัดว่าวันนี้จะขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนอวี้ถังและเผยเยี่ยน
อวี้ถังมีเรื่องในใจ ไหนเลยยังจะตระหนักถึงความผิดปกติของซวงเถา
นางเดินไปเดินมา เอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ไม่มีเรื่องอันใด จู่ๆ ข้าก็นึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ ต้องกลับไปสักหน่อย”
เช่นนั้นตกลงมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องกัน?
หากเป็นเมื่อก่อน ซวงเถาคงจะถามแล้ว แต่ช่วงนี้นางและพวกสาวใช้ของสกุลเผยคบค้าสมาคมกันมากขึ้น เรียนรู้กฎระเบียบมาไม่น้อย เห็นยามนี้อวี้ถังมีท่าทีกังวลใจ รู้ว่าไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะถาม เอ่ยว่า “คุณหนู เช่นนั้นข้าจะไปบอกรถล่อของสกุลเผยให้เตรียมส่งท่านกลับเมือง!” คล้อยหลังก็เอ่ยขอคำตอบจากนาง “เช่นนั้นทางนายท่านสามจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
เผยเยี่ยนมาช่วยสกุลพวกนาง นางจะทิ้งเผยเยี่ยนให้ยุ่งอยู่ที่นี่? หรือชวนเขากลับเมืองด้วยดี?
อวี้ถังนึกถึงเผยเยี่ยนที่พูดคำพวกนั้นกับนางบนเขา ใบหน้าก็แดงก่ำ ขวยเขินจนกลายเป็นโมโหอยู่บ้าง นึกถึงคนผู้นั้นสนใจเพียงกวนน้ำให้ขุ่นกลับอยู่ดีกินดี ปฏิเสธร่วมงานเลี้ยงรับรองกับผู้อาวุโสสกุลอวี้ คาดไม่ถึงว่าจะไปเที่ยวเล่นกับปู่ห้าในหมู่บ้าน ดึกดื่นถึงกลับมา นางอยู่ข้างห้องล้วนได้ยินเสียงยามที่ปู่ห้าส่งเขากลับมา ทั้งสองคนหัวเราะอย่างครื้นเครง มีเพียงนางที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ นางโกรธเคืองในใจขึ้นมา เอ่ยทั้งกัดฟัน “ให้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวเถิด พวกเรากลับเมืองกัน”
ซวงเถารับรู้โดยสัญชาตญาณว่าน้ำเสียงของอวี้ถังมีความผิดปกติอยู่บ้าง แต่นางเอาแต่คิดเรื่องที่ต้องไปบอกกล่าวกับหวังซื่อ จึงไม่ได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดนัก ขานรับแล้วก็เดินออกไปทันที
เพียงแต่นางเดินไม่ถึงสองก้าวก็ถูกอวี้ถังเรียกไว้ก่อน “เจ้าไปยืมรถวัวคนในหมู่บ้าน พวกเราจะกลับเมืองอย่างเงียบๆ”
ให้เขาหาคนไม่เจอ ดูว่าเขายังจะอยู่ดีหรือไม่
ซวงเถาตะลึงงัน
อวี้ถังเอ่ยออกมา “รีบไป! เรื่องนี้ห้ามบอกใครทั้งนั้น หากมีคนถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าเมื่อวานข้าเหนื่อยมาก วันนี้จะพักผ่อนครึ่งวัน”
เวลาครึ่งวันก็เพียงพอให้นางกลับเมืองแล้ว
ซวงเถาคลาแคลงในใจอย่างหนัก แต่ก็เชื่อฟังคำสั่งของอวี้ถัง
นางทำตามความต้องการของอวี้ถัง ไปหายืมรถวัว กลับเมืองหลินอันกับอวี้ถังอย่างเงียบๆ
อวี้ถังวิ่งโร่ไปที่สกุลจาง
เจ้าหนูฉิงของหม่าซิ่วเหนียงอายุใกล้จะสองขวบแล้ว เดินเหินก็เริ่มมั่นคง ทั้งกำลังอยู่ในช่วงที่มือไวตาไว เห็นอะไรก็ต้องดึงจับ หยิบเข้าไปชิมในปาก หากคลาดสายตานิดเดียวก็ไม่รู้ว่าเดินไปเล่นที่ไหนแล้ว
ยามที่อวี้ถังไปถึง หม่าซิ่วเหนียงมือหนึ่งกำลังอุ้มลูกสาว อีกมือชี้ไปยังดงดอกไม้ที่อาบแสงแดดในลานเรือนสั่งการสี่เชวี่ย “เก็บขึ้นมาดีๆ หน่อย ยามเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็จะทำเป็นถุงหอมส่งให้คนอื่นได้”
นางหันศีรษะกลับมาเจออวี้ถัง ก่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจจะพรั่งพรูออกมา ส่งฉิงเอ๋อร์ให้กับสี่เชวี่ย คล้อยหลังก็เข้าไปกอดอวี้ถัง เอ่ยว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? ก็ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเสียหน่อย สี่เชวี่ย รีบไปซื้ออิงเถาหลีจื่ออะไรมาหน่อย ใช้น้ำบาดาลล้างก่อนเล่า แล้วเอามาให้อวี้ถังกินแก้กระหายที” ทั้งกำชับสาวใช้ที่เพิ่งซื้อตัวมาใหม่ “ไปตักน้ำมาให้อวี้ถังล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย นี่เจ้ามาจากไหนกัน ไฉนจึงดูทุลักทุเลเช่นนี้?”
แต่ไหนแต่ไรอวี้ถังก็ไม่เคยเห็นเด็กที่ผิวขาวอ้วนกลม หน้าตาคล้ายเด็กในภาพวาดอย่างฉิงเอ๋อร์ ฟังจบก็รู้ตัวว่าคงไม่อาจอุ้มนางได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มกับหม่าซิ่วเหนียง “ข้าไม่ได้เข้ามาหานานแล้วมิใช่รึ? จึงมาเยี่ยมเยือนที่สกุลพวกเจ้าเท่านั้น” พูดจบ จึงเพิ่งตระหนักได้ว่ากระทั่งขนมตัวเองก็ล้วนไม่ได้พกมาด้วย
หม่าซิ่วเหนียงพอมองออกอยู่บ้าง คิดว่าอวี้ถังย่อมมีเรื่องอะไรอยากคุยกับตัวเอง ยัดป๋องแป๋งใส่ในมือฉิงเอ๋อร์แล้ว ก็ดึงอวี้ถังเข้าไปในห้อง