ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 46 ตราประทับ
ยามนี้ตะวันกำลังลาลับพอดี ก้อนเมฆแผ่แสงสีแดงราวกับเพลิงไหม้อยู่ปลายขอบฟ้า ย้อมห้องหนังสือครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นสีแดง
อวี้ถังจับม้วนภาพแน่น
แผนที่แผ่นนั้นที่อาจารย์ลอกแบบมา ครึ่งหนึ่งวางบนโต๊ะหนังสือ อีกครึ่งแขวนอยู่กลางอากาศ
อวี้เหวินตกใจเสียงร้องของอวี้ถัง รีบเดินตัวปลิวเข้ามา “เป็นอะไร”
อวี้ถังใบหน้าซีดเผือด พละกำลังทั้งหมดคล้ายถูกดึงออกไป ชี้ไปที่แผนที่นั้นอย่างสั่นๆ “ท่านดู ท่านดู ชุนสุ่ยถัง!”
อวี้เหวินไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร เดินเข้าไปพินิจอย่างละเอียด กลับไม่พบอะไร
อวี้ถังรีบยัดม้วนภาพใส่มือบิดา “ท่านลองมองจากตรงนี้ มองผ่านแสงตะวัน ยอดเขานั้นมีตราประทับอยู่ ประทับคำว่าชุนสุ่ยถัง”
อวี้เหวินรับม้วนภาพจากลูกสาว มองจากวิธีที่อวี้ถังบอกก่อนหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าจะเห็นรางๆ ผ่านแสงตะวัน ตรา ‘ชุนสุ่ยถัง’ ที่แกะสลักด้วยตัวอักษรฉินซู[1]
เขาขมวดคิ้วแน่น เรียกอาเสาเข้ามาเป็นอันดับแรก ให้เขาไปเรียกอวี้หย่วนที่ช่วยอวี้ป๋อซ่อมแซมร้านเข้ามา จากนั้นก็ปิดประตูด้วยใบหน้าเคร่งขรึม กล่าวเสียงเบากับอวี้ถัง “เจ้าอย่าลนลานไป นี่เป็นลูกไม้ที่ช่างพวกนั้นชอบใช้…เพื่อตบตา กลับคิดทิ้งชื่อให้เป็นที่ประจักษ์อย่างภาคภูมิ ประทับตราตัวเองลงในที่คนปกติไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่าย ให้คนพบอย่างบังเอิญไม่ก็พบหลังจากร้อยปีผ่านไปว่าสิ่งนี้เขาเป็นคนทำขึ้นมา”
หากก่อนหน้านี้กล่าวว่าอวี้เหวินชื่นชมในตัวอาจารย์เฉียนผู้นี้เท่าใด ในยามนี้ก็ระอาใจกับเขามากเท่านั้น
“ก็ไม่รู้ว่านอกจากตราประทับนี้ เขายังหลงเหลืออะไรไว้หรือไม่? ตราประทับนี้สามารถเห็นได้ในยามพลบค่ำ แล้วยังเห็นในสถานการณ์แบบใดได้อีก?” สีหน้าของอวี้เหวินย่ำแย่ “รออาหย่วนกลับมา พวกเราทั้งสามต้องช่วยกันดูดีๆ อีกที”
อวี้ถังพยักหน้าอย่างปลกๆ ในใจนั้นเละเทะวุ่นวายประหนึ่งข้าวต้มไปแล้ว
นางไม่ได้เข้าใจผิด ‘ชุนสุ่ยถัง’ นั้นและตราประทับในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของนางในชาติก่อนเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ตอนบิดามารดาล่วงลับ สกุลหลี่ก็มาทาบทามรับปากจะช่วยฟื้นฟูกิจการของสกุลพวกเขา นางออกเรือนกับหลี่จวิ้น สกุลหลี่ไม่ชอบใจที่สินเจ้าสาวนางน้อยเกินไป จึงมอบที่ดินซึ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวให้นางเป็นสินเจ้าสาว จากนั้น สกุลหลี่ก็ถูกโจรกรรม สิ่งของหายเพียงเล็กๆ น้อยๆ ขนาดที่ว่าคนสกุลหลินก็ยังไม่ไปแจ้งกับทางการ…
ทั้งหมดทั้งมวลนี้คล้ายไข่มุกที่ร่วงลงมากระจัดกระจาย ถูกตราประทับ ‘ชุยสุ่ยถัง’ ร้อยเรียงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน
อวี้ถังคล้ายกับเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในชั่วพริบตา ทั้งคล้ายกับไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน
ในหัวนางยุ่งเหยิงไปหมด สองขาอ่อนแรง ทั้งยืนไม่อยู่ ทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านหลัง
อวี้เหวินเห็นก็กล่าวขึ้นมา “อาถัง เจ้าอย่าหวาดกลัวไป เรื่องเช่นนี้ไม่ถูกผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเห็นความผิดปกติก็แล้วไป หากมองออก พวกเราสามารถให้อาจารย์เฉียนผู้นั้นจ่ายเงินทดแทนได้ ทั้งขอให้เขาวาดภาพใหม่ให้พวกเราได้เช่นกัน ดีที่อีกหลายวันกว่าจะครบรอบสี่สิบเก้าวันของลุงหลู่ เวลานี้ให้พี่เจ้าวิ่งโร่ไปที่หังโจวอีกครั้งก็ยังไม่สาย” ขณะที่พูด เขาก็ถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดเสียดายแทนเขา กลัวก็แต่ว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อยแล้ว”
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องนี้ของพวกเขาเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคน พวกเรายังไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใคร หากอีกฝ่ายจิตใจโหดเหี้ยม ไม่แน่ว่าอาจารย์เฉียนก็อาจจะโดนดีด้วยเช่นกัน
อวี้ถังขนลุกชันขึ้นมา
อาจารย์เฉียน!
ภาพวาดชาติก่อนนั้นในมือนางก็คืออาจารย์เฉียนที่เป็นผู้ลอกภาพวาด ทั้งหมายความว่า ครานั้นมีคนตระหนักได้เหมือนกับนาง ขอให้อาจารย์เฉียนลอกภาพวาดปลอมขึ้นมา ทั้งใช้การขโมยภาพ สลับภาพจริงในมือนางไป
ยังมีลุงหลู่
ที่แท้นางก็กล่าวโทษเขาผิดไป
สิ่งที่เขาขายให้กับสกุลนางก็คือภาพจริงที่เขามี
เป็นนาง
เป็นนาง กี่ปีแล้วที่เอาแต่ทะนุถนอมภาพปลอมนั้นไว้ในมือ เห็นของปลอมเป็นของจริง ยังคิดไปเองอย่างมั่นใจว่าภาพที่ลุงหลู่ขายให้สกุลนางเป็นของปลอม
อวี้ถังอดตำหนิตัวเองไม่ได้
“อาถัง อาถัง!” อวี้เหวินเห็นนางราวกับรู้สึกผิด รีบเข้าไปตบไหล่ลูกสาว ปลอบโยนเสียงเบา “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ความคิดของเจ้านั้นดีทุกอย่าง พ่อยังไม่เคยเห็นคนที่ฉลาดเหนือเจ้ามาก่อน หากไม่ใช่เจ้า ตอนนี้พ่อก็คงยังไม่รู้อะไร เรื่องนี้พ่อจะหาวิธีเอง ไม่อาจเกิดปัญหาอะไรหรอก”
ยิ่งบิดาพูดเช่นนี้ ในใจอวี้ถังก็ยิ่งรู้สึกทนไม่ได้
นางสะอื้นเสียงเบาเนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านถูกแล้ว ลุงหลู่นั้นเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง แม้ว่าจะเคยหลอกท่าน กลับเคยช่วยเหลือท่านอย่างจริงใจเช่นกัน เมื่อก่อนเป็นข้าที่ผิด ไม่ใช่ว่าเขาใกล้จะครบยี่สิบเอ็ดวันแล้วหรอกรึ? ข้าอยากไปกราบไหว้เขาดีๆ”
นับว่าชดเชยให้เขา
อวี้เหวินหลุดยิ้ม “นี่เจ้าเป็นอะไรไป? จู่ๆ ก็พูดถึงลุงหลู่ในทางที่ดีขึ้นมา หากเขาในปรโลกรู้ย่อมต้องดีใจ”
หลู่ซิ่นไม่ใช่คนโง่ คนอื่นๆ ของสกุลอวี้ดูแคลนเขา เขาย่อมรู้แก่ใจดี
อวี้ถังควักผ้าขึ้นมาเช็ดหน้า ทั้งผงกศีรษะ
อวี้หย่วนวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ทักทายไม่กี่คำกับอวี้เหวิน อวี้ถัง ก่อนจะเรียกให้ป้าเฉินยกชาเข้ามาให้เขา เอ่ยกับอวี้เหวินและอวี้ถัง “กระหายน้ำไม่ใช่น้อย เผยหม่านผู้นั้น พูดมากเสียจริง ถามอันนี้เสร็จก็ถามอันนั้น แต่ว่าคนผู้นี้ก็เก่งกาจไม่เบา กระทั่งยังเก่งกว่าพ่อบ้านใหญ่คนก่อนมาก รู้จักพูดอย่างแท้จริง แค่เพียงเวลาหนึ่งวัน แววตาที่ทุกคนมองเขาล้วนแตกต่างกันไป ตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่ของเขานับว่ามั่นคงแล้ว”
อวี้เหวินรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
อวี้หย่วนจึงเริ่มเล่า “พ่อบ้านใหญ่สกุลเผย เผยหม่าน ไปดูร้านค้าที่ถนนฉางซิ่งว่าสร้างไปถึงไหนแล้ว ทั้งยังไล่เลียงถามทีละเรือนว่าพวกเราไม่ใช้วัสดุที่ร้านค้าสกุลเผยแล้วใช้สิ่งใด ได้สร้างตามที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้กับสกุลเผยหรือไม่ เหลือพื้นที่ให้รางระบายน้ำเท่าใด เผื่อพื้นที่ระบายน้ำใต้ดินไว้หรือไม่…ท่านว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้ ใครจะไม่กล้าเหลือทางระบายน้ำไว้บ้าง? ครั้งนี้นายท่านสามสกุลเผยมีจิตใจเมตตา ยินดีให้พวกเรายืมเงินมาซ่อมแซมร้านค้าใหม่ หากครั้งหน้าพบเรื่องเช่นนี้อีก สกุลเผยไม่สนใจ พวกเราหลายหลังคาเรือนนอกจากต้องขายที่ดินแล้ว ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น”
อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ “คนผู้นั้นจะถามก็ไม่แปลก! หากร้านค้าของพวกเราไฟไหม้อีกครั้ง ร้านค้าของสกุลเผยย่อมติดร่างแหไปด้วย!”
ทั้งสองคนพูดเรื่องถนนฉางซิ่ง อวี้ถังกลับฟังไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว
นางนึกถึงความอู้ฟู่อย่างฉับพลันของสกุลหลี่
เป็นเรื่องหลังจากที่สกุลหลี่ถูกโจรกรรม
ภายหลัง สกุลของพวกเขาก็อาศัยเส้นสายสกุลเดิมของคนสกุลหลิน ทำกิจการเกี่ยวกับขนส่งทางทะเลขึ้นมา
แผนที่ที่ถูกซ่อนในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ นั้น จะเป็นแผนที่เดินเรือหรือเปล่า?
หลังจากนางแต่งเข้าสกุลหลี่ บางครั้งก็จะพบลูกหลานพวกนั้นของคนสกุลหลินมาเยี่ยมเยียนที่สกุลหลี่ นางยังจำได้ว่านางเคยได้ยินหลานชายคนหนึ่งของคนสกุลหลินคุยโวลำพองตนว่า การขนส่งทางทะเลนั้นไม่ใช่ว่าสกุลใดก็ทำได้ ไม่เพียงต้องมีเรือ มีคนคุมหางเสือ คนงานเรือที่พึ่งพาได้ แต่ยังต้องรู้ว่าควรจะเดินทางอย่างไร…แล้วก็พูดว่า ต้องมีแผนที่เดินเรือ
และแผนที่เดินเรือนี้ ย่อมเป็นของที่ไม่อาจประเมินค่าได้
อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่นเลย แต่คนที่วาดแผนที่นี้ขึ้นมา ไม่เพียงต้องขับเรือเป็น แยกแยะทิศทางออก ต้องรู้หลักการน้ำขึ้นน้ำลง ทั้งยังต้องรู้หนังสือ เข้าใจภูมิศาสตร์ หลายสิบปีถึงกระทั่งร้อยปีล้วนแทบไม่มีผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ทั้งแม้ว่าจะเกิดผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ ไฉนไม่ใช้เวลาหลายสิบปีนั้นไปสอบจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อเป็นขุนนางใหญ่เสีย กลับทำเรื่องที่เสี่ยงชีวิต ทั้งไร้ประโยชน์และชื่อเสียง ทิ้งเวลาทั้งชีวิตลอยเคว้งอยู่ในทะเล?
เวลานี้ แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ ก็ทำได้เพียงมองตาปริบๆ เท่านั้น
พวกคนที่รู้ว่าจะเดินทางในทะเลอย่างไร ล้วนอาศัยเวลาหลายชั่วอายุคน ถึงกระทั่งบรรพบุรุษหลายสิบคนใช้ชีวิตและประสบการณ์สั่งสมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย หากสกุลใดมีความสามารถเช่นนี้ ก็คล้ายโอบกอดขุมทรัพย์ไว้ในมือ นอนรอเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองเท่านั้น
อวี้ถังยังจำได้ หลังจากหลานชายคนนี้ของคนสกุลหลินพูดเช่นนี้ออกมา นางก็ไม่เคยเห็นคนผู้นี้ในสกุลหลินอีกเลย
เมื่อก่อนนางคิดว่าเป็นเพราะนางครองพรหมจรรย์ จึงไม่ค่อยพบคนภายนอก วันนี้มาคิดดู เห็นได้ชัดว่าเป็นอีกเรื่องที่นางไม่รู้
แผนที่นั้นต้องเป็นแผนที่เดินเรือเป็นแน่
เบื้องหลังนี้ย่อมเป็นสกุลหลี่
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าป่าไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันเบื้องหน้าถูกพายุพัดพาจนกระจัดกระจาย เผยให้เห็นหลายด้านที่นางไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน
นี่ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดหลี่จวิ้นไม่รู้จักนาง แต่คนสกุลหลินกลับโกหก
ทั้งอธิบายได้ว่าไฉนสกุลหลี่จึงต้องมาขอนางแต่งงานโดยไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงหน้าตา
แต่ในขณะเดียวกันอวี้ถังก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา เพราะสกุลหลี่ก็รู้จักกับอาจารย์เฉียนผู้นี้ เช่นนั้นแผนการของพวกเขาอาจจะถูกสกุลหลี่ค้นพบได้ทุกเมื่อ
ความหวาดกลัวนี้ นางยังไม่สามารถบอกบิดาและพี่ชายได้
อวี้ถังเดินไปเดินมาในห้องหนังสือ คล้ายกับสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกรงขัง
“อาถัง!” อวี้เหวินตระหนักถึงความผิดปกติของลูกสาวได้เป็นคนแรก เขาเรียกอย่างเป็นกังวล “เจ้าเดินจนข้าเวียนหัวหมดแล้ว เจ้านั่งพักหน่อยเถิด! เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดกับอาหย่วนไป พรุ่งนี้เช้าตรู่อาหย่วนจะเดินทางไปหังโจว ทางด้านอาจารย์เฉียนเจ้าวางใจเถิด ในเมื่อเขาทำอาชีพนี้แล้ว ย่อมต้องรู้ว่าความเสี่ยงของมัน เรื่องเช่นนี้ เขาควรจะเตรียมการณ์เนิ่นๆ จึงจะถูก”
อวี้ถังหยุดฝีเท้า กลับไม่อาจหยุดความหวาดกลัวในใจ “ท่านพ่อ เพราะภาพนี้จึงมีคนตายไปหนึ่งคนแล้ว แม้ว่าอาจารย์เฉียนจะเดินริมน้ำบ่อยๆ แต่ก็ย่อมมียามที่รองเท้าเปียก เขาเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใด แม้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แต่ก็ไม่อาจให้เขาทิ้งชีวิตเพราะเรื่องของพวกเราเช่นกัน”
“ข้าเข้าใจ!” อวี้หย่วนฟัง สีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังขึ้นมา “ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเขา ดูว่าเขามีวิธีปกป้องตัวเองอย่างไร หรือให้เขาหลบหน้าไม่ออกไปไหนชั่วคราว”
เวลานี้อวี้ถังก็ไม่มีวิธีที่ดีไปกว่านี้เช่นกัน!
นางนวดขมับอย่างเมื่อยล้า
ยังมีเรื่องของสกุลหลี่ อย่างไรก็ต้องคิดวิธีหลุดออกมาให้เร็วที่สุด
อวี้ถังในยามนี้คิดว่าตัวเองเข้าใจวิธีการของสกุลหลี่มาบ้างแล้ว
พวกเขาใช้ความคิดของคนต้อยต่ำไปคาดเดาผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง คิดว่าแผนที่นี้ล้ำค่าถึงขนาดนี้ คนที่รู้คุณค่าของมัน ย่อมไม่ปล่อยมือ ดังนั้นจึงลงมือในที่ลับ ยอมก่อเรื่องขโมยออกมา ดีกว่าต้องไปซื้อภาพนี้กับสกุลพวกเขาตรงๆ
แต่ว่า ชาติก่อนกับชาตินี้มีสิ่งที่แตกต่างอย่างใหญ่หลวง
นางรู้ว่าผู้ที่ลงมือเบื้องหลังคือใคร
เพียงแต่สกุลหลี่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าภาพนี้จะกลายเป็นสินเจ้าสาวติดตามนางเข้าสกุลของพวกเขาเหมือนชาติที่แล้ว?
ชาติก่อน บิดาและมารดาของนางล่วงลับ ทรัพย์สินที่บิดาและมารดาเหลือไว้ย่อมติดตัวไป แต่ว่าชาตินี้…
นึกมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็แข็งทื่อไปทั้งร่าง
นางนึกถึงงานแต่งของนางและสกุลเว่ย
ไม่หรอกกระมัง?
สกุลหลี่เพียงอยากได้ภาพนี้ หรือยังจะเข้าไปสอดเรื่องงานแต่งของนาง?
ในใจอวี้ถังคิดเช่นนี้ แต่ในหัวกลับมีเสียงดังไม่หยุดหย่อน ตายไปคนหนึ่งแล้ว ฆ่าอีกคนยังมีอะไรให้กลัวรึ?
อวี้ถังหายใจลำบาก ไม่อาจอยู่นิ่งในห้องหนังสือเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว
นางอยากรู้ว่าการตายของเว่ยเสี่ยวซานเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่หรือไม่
นางอยากพบเว่ยเสี่ยวชวน สืบข่าวจากเขาว่าก่อนที่เว่ยเสี่ยวซานจะตายเกิดอะไรกันแน่
นางหวังให้ตัวเองเป็นโรคขี้ระแวง คิดฟุ้งซ่านไปเอง
อวี้ถังรีบออกไปจากห้องหนังสือทันที
“อาถัง!” อวี้เหวินและอวี้หย่วนตะโกนเรียกอย่างกังวล ไล่ตามออกมา
ฤดูร้อนสิ้นสุดแล้ว ต้นดอกกุ้ยฮวาที่เขียวชอุ่มในเรือน ระหว่างใบมันวาวนั้นมีกลีบดอกสีเหลืองชูช่อ เมื่อลมราตรีโชยมา กลิ่นหอมฟุ้งก็ลอยล่องเป็นครั้งคราว
อวี้ถังสูดลมหายใจลึกเฮือกใหญ่ ยามที่หันกลับไป ใบหน้าก็แต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ได้กลิ่นดอกไม้ในห้องหนังสือ จึงออกมาดู”
อวี้เหวินและอวี้หย่วนมีท่าทีผ่อนคลายลง
อวี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปหังโจวก็คงไม่อาจไปเดินเล่นอะไรได้นัก อยากให้ข้าซื้อของอะไรมาให้เจ้าหรือไม่?”
“ท่านพี่กลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ” เกิดเรื่องเช่นนี้ อวี้ถังก็ยิ่งรู้สึกว่าครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาล้วนดีกว่าเรื่องใดทั้งนั้น นางกดเสียงเบา “ท่านพี่ เจ้าต้องโน้มน้าวให้อาจารย์เฉียนอย่าได้ประมาทไป แผนที่นี้ หากข้าเดาไม่ผิด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแผนที่เดินเรือ”
อวี้หย่วนตกตะลึงไป
อวี้เหวินร้อนรนยิ่งกว่า “เจ้าพบอะไรใช่หรือไม่?”
อวี้ถังไร้ทางที่จะอธิบายการคาดเดาของตัวเอง ทำได้เพียงกล่าว “ยามที่ข้าไปซื้อของทำปิ่นดอกไม้ บังเอิญพบคนที่ขายสินค้าทางเรือ เหมือนจะได้ยินมาเช่นนั้น เวลานั้นไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ รู้สึกว่าแผนที่นี้ของพวกเราคล้ายกับแผนที่เดินเรือพวกนั้นเป็นอย่างมาก”
อวี้เหวินและอวี้หย่วนไม่รู้ว่าแผนที่เดินเรือนั้นล้ำค่าเพียงใด กลับรู้ว่าการค้าขายทางทะเลของฝูเจี้ยนนั้นมีการแข่งขันเป็นอย่างมาก ฆ่าคนวางเพลิงแทบจะเกิดขึ้นปีเว้นปี คดีโหดเหี้ยมฆ่าล้างสกุลที่ส่งให้เบื้องบนรับทราบก็มีไม่น้อย
คนธรรมดาที่เข้าไปข้องเกี่ยวล้วนมีชีวิตรอดไม่กี่คนเท่านั้น
ทั้งสองคนต่างก็สั่นสะท้านในใจ
อวี้เหวินคว้ามืออวี้ถังไว้ “เจ้า เจ้าคิดว่านี่เป็นแผนที่เดินเรือจริงๆ หรือ?”
“ข้าก็ไม่ได้มั่นใจมาก” อวี้ถังไม่กล้ามั่นใจเกินไป “ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ท่านลองคิดดู เมื่อก่อนใต้เท้าจั่วทำอะไร? ในอดีตพ่อของลุงหลู่ทำอะไร? แม้ว่าจะเป็นแผนที่ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักซักไซ้เอาความ หาไม่เจอก็ไม่ได้ค้นบ้านรื้อทรัพย์สิน เหตุใดจึงต้องการเอามาไว้ในมืออย่างไม่เลิกรา”
“เมื่อก่อนใต้เท้าจั่วขับไล่พวกโจรสลัดญี่ปุ่น” อวี้เหวินพึมพำ “พ่อของพี่หลู่เคยเป็นที่ปรึกษาทางทหารของใต้เท้าจั่ว มีเพียงแผนที่ที่สามารถกำเนิดทรัพย์มหาศาล จึงจะเป็นที่จดจำของผู้คน แผนที่ทั่วไปล้วนได้ใช้ในยามทำศึกสงคราม แม้จะเป็นขุนนางของราชสำนัก ถือไว้ในมือก็ไม่มีประโยชน์อันใด! พี่หลู่คงจะไม่รู้ความลับของภาพนี้ เพราะพ่อของพี่หลู่ก็ไม่รู้? หรือแม้ว่าพ่อเขาจะรู้ ก็เหมือนพวกเรา ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงให้มันซ่อนอยู่ในภาพอย่างรู้แล้วรู้รอดไป?”
อวี้หย่วนฟังก็หน้าถอดสี กล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านอา เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร?”
เมื่อก่อนแค่รู้สึกว่าเผือกร้อนชิ้นนี้โยนออกไปก็เพียงพอแล้ว แต่ยามนี้เผือกร้อนจะโยนออกไปได้หรือไม่ยังเป็นเรื่องที่พูดยาก
อวี้เหวินก็อับจนหนทาง
บิดาของหลู่ซิ่นอย่างไรก็ยังรู้จักคนอย่างใต้เท้าจั่ว ส่วนเขาเป็นแค่บัณฑิตซิ่วไฉบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง จะมีวิธีเหนือกว่าบิดาของหลู่ซิ่นได้อย่างนั้นรึ?
ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นอวี้เหวินเดินวนอยู่ในลานบ้าน
คนสกุลเฉินที่มาเรียกพวกเขากินข้าวก็อดแปลกใจไม่ได้ “พวกเจ้าปรึกษาอะไรกันอีกแล้ว? ดูมีลับลมคมใน จะกินข้าวอยู่หรือไม่?”
——————————
[1] ตัวอักษรฉินซู ซึ่งก็คือตัวอักษรลี่ซู เป็นตัวอักษรจีนโบราณที่พัฒนามาจากตัวอักษรจ้วนซู ใช้ในสมัยรัชวงศ์ฉินและรัชวงศ์ฮั่น โดยในรัชวงศ์ฉินมีการเรียกตัวอักษรนี้ว่า ฉินซู
Related