ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 242 ได้สติ
ทุกคนในสกุลเผยคล้ายว่าเจอหลักยึดในชั่วพริบตา นายหญิงรองสกุลเผยไม่ลนลาน เหล่าสาวใช้ไม่หวั่นกลัว มีคนสั่งการให้ยกเกี้ยวเข้ามา จากนั้นก็มีคนประคองคนสกุลเฉินขึ้นไป นายหญิงรองสกุลเผยถือโอกาสนี้สั่งคนให้ย้ายฉากกั้นลมเข้ามาตั้งที่หน้าเตียงของอวี้ถังด้วย
ไม่นาน คนสกุลเฉินก็ถูกส่งไปยังเรือนพำนักของสกุลเว่ยและสกุลอู๋
ทางโน้นจะชุลมุนปานใดยังไม่พูดถึง นายหญิงรองสกุลเผยทางนี้เพิ่งจะส่งคนสกุลเฉินจากไป ท่านหมอที่ติดตามขบวนสกุลเผยมาด้วยก็มาถึงพอดี
ระหว่างทางเขารู้เรื่องแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอหันไปเจอเผยเยี่ยนยืนเป็นเทพเจ้าเฝ้าประตูที่ทางเข้าห้องสงบใจ เขาก็ตกใจจนขวัญหนี รีบทำความเคารพเผยเยี่ยน แล้วซอยเท้าวิ่งเข้าไปด้านในห้อง
เผยเยี่ยนก็ตามเข้ามาในห้องสงบใจด้วย
นายหญิงรองสกุลเผยวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนข้อมืออวี้ถัง คอยดูท่านหมอจับชีพจรอยู่ข้างๆ
พอท่านหมอจับชีพจรเสร็จ ก็อดจะมองเผยเยี่ยนอย่างประหลาดใจมิได้
จวนหลังของสกุลเผยสงบเงียบมาตลอด แต่ใครจะกล้ารับประกันว่ามันจะสงบเงียบไปถึงเมื่อไร
เห็นชัดเจนว่าคุณหนูผู้นี้ได้รับความตกใจ ข้างกายยังมีนายหญิงรองและเผยเยี่ยนคอยเฝ้า เขาจะต้องรายงานอาการอย่างไรนั้น ในใจเขาไม่อาจประเมินได้เลย
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าท่านหมอผู้นี้เชิญมาได้ไม่เลว คิดว่าอีกเดี๋ยวจะต้องบอกกล่าวกับเผยหม่านสักคำ ให้ตกรางวัลอย่างงามแก่คนที่แนะนำท่านหมอผู้นี้ให้เข้ามาอยู่ในจวน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่สะใภ้รองข้าคิดว่าคุณหนูอวี้เป็นลมแดด ท่านแม่เฒ่าบอกว่านางหายใจไม่ค่อยสะดวก ท่านดูสิว่านางเป็นอะไรกันแน่?”
แน่นอนว่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพูดอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว
ท่านหมอหัวเราะเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสในเรือนมีประสบการณ์ นับเป็นวาสนาแก่ผู้น้อย เป็นไปได้มากว่าที่วิหารผู้คนแออัด คุณหนูที่อยู่แต่ในห้องหอ เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น บางทีก็รับไม่ไหว ข้าจะเขียนใบสั่งยาขับความร้อนให้ กินสักสองเทียบก็หายแล้ว ไม่ต้องกังวลขอรับ!”
นายหญิงรองสกุลเผยรู้ว่าเผยเยี่ยนข่มท่านหมอเอาไว้จนไม่กล้าพูดความจริง นางเองไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่ง จึงเรียกสาวใช้ประจำตัวเข้ามา สั่งนางคอยรับใช้ฝนหมึกให้ท่านหมอ
เผยเยี่ยนก็เดินตามท่านหมอออกจากหลังแผงกั้นลมไปด้วย
ท่านหมอไม่ได้พูดอะไร เพียงตวัดมือฉับๆ เขียนส่วนผสมของยาออกมา
เผยเยี่ยนมองทีหนึ่ง เห็นว่าเป็นเทียบยาสงบใจ จึงรู้ว่าชีพจรที่ตนจับได้ตอนแรกไม่ผิด หัวคิ้วเขาขมวดแน่นจนหน้าผากขึ้นเป็นเส้น ทว่าใจที่ลอยเคว้งพลันสงบขึ้นบางส่วน
เขาสั่งให้อาหมิงไปเตรียมยา ทั้งเสริมว่า “เจ้าต้มด้วยตนเองแล้วนำมาป้อนคุณหนูอวี้ด้วย”
นี่ก็เพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้สถานการณ์ของอวี้ถัง
ในใจของทุกคนต่างกระจ่างแจ้ง เอ่ยรับว่า “เจ้าค่ะ” เป็นเสียงเดียว ทั้งยังพูดว่า “คุณหนูอวี้คงเพราะอึดอัดหายใจไม่ออก ควรจะระบายอากาศให้โปร่งโล่ง พวกเราจะคอยรับใช้อยู่ด้านนอก รอให้คุณหนูอวี้ดีขึ้นแล้ว ค่อยเข้ามาดูแลใกล้ชิดเจ้าค่ะ”
พวกคนที่มาเยี่ยมไข้ ยิ่งไม่อาจให้เข้ามาใกล้ได้เลย
เผยเยี่ยนพยักหน้าอย่างพอใจ
อาหมิงรับเทียบยาแล้ววิ่งหายไปทันที
เผยเยี่ยนเอ่ยกับนายหญิงรองว่า “พี่สะใภ้ นายหญิงอวี้ทางนั้นยังต้องรบกวนให้ท่านหมอช่วยดูไปอาการ ลำบากให้ท่านต้องเดินไปด้วยแล้ว ทางนี้ข้าจะให้ชิงหยวนมาดูแล กลัวท่านจะยุ่งทั้งเรื่องนอกในจบรับไม่ไหว” จากนั้นก็คิดว่านายหญิงรองตอนนี้ก็คงอยากมีมืองอกมาเพิ่มสักแปดมือเหมือนกัน “ข้าให้หูซิ่งมาช่วยด้วยดีกว่า ให้คอยฟังคำสั่งท่าน”
นายหญิงรองสกุลเผยร้องว่า ‘ไอหยา’ เสียงหนึ่ง แล้วบอกว่า “มิกล้าๆ! พ่อบ้านหูก็คงจะยุ่งมาก! ท่านแม่ทางนั้นยังมีธุระอีกหลายเรื่อง”
เผยเยี่ยนโบกมือไปมาอย่างไม่เห็นด้วย “เดิมก็คิดให้เขามาช่วยท่านแม่กับท่านดูแลเรือนหลังอยู่แล้ว ตอนนี้ท่านต้องเหนื่อยวิ่งไปซ้ายทีขวาที เดิมก็เพราะความเลินเล่อของเขา ให้เขามาช่วยทางนี้ ถือเป็นการชดเชยความผิด พี่สะใภ้ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะงานล้นมือหรอก”
นายหญิงรองต้องคอยคิดเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที รู้สึกว่ากินแรงอย่างมาก คิดว่าแม้หูซิ่งจะคอยรับใช้แม่สามี แต่คนที่สั่งให้หูซิ่งมาช่วยนางคือท่านอาสาม นางนับว่าเรียกใช้ได้เต็มปาก จึงส่งยิ้มแล้วตอบขอบคุณ จากนั้นก็พาท่านหมอไปยังที่พักของคนสกุลเฉินต่อ
เผยเยี่ยนลากเก้าอี้พิงหลังไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ในลาน
เผยหม่านเอ่ยถามเขาอย่างระวัดระวังว่า “ท่านไม่กลับไปร่วมพิธีบรรยายธรรมหรือขอรับ?”
“มีอะไรให้น่าเข้าร่วมกัน?” เผยเยี่ยนตอบ “มิใช่ว่ามีพี่รองอยู่รึ?”
แต่นายท่านรองจะเหมือนกับนายท่านสามได้อย่างไร?
เผยหม่านไม่กล้าปากมาก
เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน บวกกับเจอเรื่องของสองแม่ลูกสกุลอวี้ ผู้ดูแลทางนั้นยังรอให้เขาไปสั่งการเรื่องงานเลี้ยงอาหารเจมื้อกลางวัน เขายืนนั่งล้วนไม่เป็นสุข แต่ก็ไม่กล้าขอตัวจากไป
เผยหม่านจึงได้แต่รอเป็นเพื่อนเผยเยี่ยนอยู่ตรงนั้น
ไม่นาน ชิงหยวนก็สะพายถุงผ้าเข้ามา นางมาถึงพร้อมกับสาวใช้อีกสองคนด้วยสภาพหอบเหนื่อย คนกำลังจะเข้าไปคารวะเผยเยี่ยน แต่กลับถูกเผยเยี่ยนโบกมือไล่ “ไปดูแลคุณหนูอวี้ในห้องเถอะ ด้านในมีเพียงสาวใช้ข้างกายของนายหญิงรองรับใช้อยู่ คงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวสักเท่าไร”
ชิงหยวนคอยดูแลเผยเยี่ยนมาตั้งแต่เล็ก รู้ว่าเขามีนิสัยพูดหนึ่งไม่มีสอง จึงไม่กล้าต่อความ พอตนย่อกายคารวะอย่างรีบร้อนแล้วจึงพาสาวใช้อีกสองคนเดินเข้าไปในห้อง
เผยเยี่ยนชะเง้อคอมองตาม แล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้นต่อไปด้วยความตั้งใจจดจ่อ ในใจก็ยังไม่หยุดคิด ทำไมอวี้ถังถึงถูกเผิงสืออีทำให้ตกใจได้? น่าเสียดายที่วิหารตะวันออกไม่มีคนของเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงถือโอกาสนี้ถามให้ชัดเจนไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งยังสามารถรู้ด้วยว่าใครกันแน่ที่ทำให้นางต้องตื่นตกใจเพียงนี้?
เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล คนจึงไม่ยอมจากไป คล้ายว่าทำเช่นนี้ แล้วเขาจะหาคำตอบได้อย่างอย่างนั้น
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูป อาหมิงก็หิ้วห่อยากับหม้อต้มมาใบหนึ่ง บ่าวรับใช้อีกคนหอบถ่านไม้ตามมา ก่อนจะนั่งยองๆ เริ่มจุดไฟต้มยา
เผยหม่านง่วงจนทนแทบไม่ไหว เขาปิดปากแอบหาวไปแล้วหลายรอบ
เผยเยี่ยนคล้ายว่าเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขายังรออยู่ที่เก่า จึงเอ่ยว่า “ทำไมเจ้ายังยืนอยู่ตรงนี้? ด้านนอกไม่มีธุระอื่นแล้วรึ?”
หากว่าประหลาดใจจริงๆ มักจะตีหน้าตาแบบนี้เสมอ
เผยหม่านเองก็รับใช้เผยเยี่ยนมาแต่เล็ก อดจะลอบประชดในใจไม่ได้ มิใช่เพราะอยากจะลงโทษเขาหรอกหรือ? คุณหนูอวี้ล้มป่วย นั่นมิใช่ความผิดเขาเสียหน่อย จะพาลโมโหเขาเรื่องอะไร?
เพียงแต่วาจาเหล่านี้เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป ได้แต่แสร้งวางท่าทีแล้วเอ่ยว่า “ท่านไม่ได้สั่งขอรับ ข้านึกว่าท่านยังมีธุระให้ข้าจัดการอีก!”
เผยเยี่ยนถึงได้ร้อง “อ้อ” ออกมา “เจ้าไปช่วยพี่รองรับมือทางนั้นเถอะ ข้ารอให้คุณหนูอวี้ฟื้นแล้วค่อยตามไป”
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าคุณหนูอวี้ยังไม่ฟื้น เขาก็จะไม่ไปที่วิหาร?!
เผยหม่านอดจะงึมงำในใจไม่ได้
หากว่าแขกเหรื่อพวกนั้นถามถึง เขาจะใช้ข้ออ้างใดมาอธิบายถึงเหตุผลที่นายท่านสามของเขาไม่ปรากฏตัว? ยังมีท่านแม่เฒ่าทางนั้นอีก เขาควรจะตอบกลับเช่นไร?
นายท่านสามสกุลเขาเป็นคนเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก ประโยคที่มักพูดติดปากบ่อยๆ ก็คือ ‘ถ้าข้าช่วยเจ้าคิดจดหมด แล้วเจ้ายังต้องทำอะไรอีก’
เขาเอ่ยตอบว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งต่อท่านแม่เฒ่าก่อน ส่วนนายท่านรองทางนั้น ก็บอกว่ามีจดหมายส่งมาจากเมืองหังโจว ทำให้ท่านต้องเสียเวลาสักหน่อยขอรับ”
เผยหม่านกำลังบอกกับเผยเยี่ยนว่า เขาจะรายงานท่านแม่เฒ่าไปตามจริง ส่วนแขกเหรื่อที่วิหารทางนั้น ก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเผยเยี่ยนกำลังต้อนรับคนของหวังชีเป่าก็แล้วกัน
นี่ก็ไม่นับว่าเป็นการโกหก
หวังชีเป่าติดต่อเผยเยี่ยนมาแล้วจริงๆ ต้องการเชิญเขาไปกินผัดสามบัวที่ริมทะเลสาบซีหูเมืองหังโจวในอีกสองวันข้างหน้า
เผยเยี่ยนส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง
เผยหม่านรู้สึกว่าตนเองเอาตัวรอดได้ในที่สุด เขาถอนหายใจเฮือก ไม่กล้ายืนอยู่นานกว่านั้น รีบยกเท้าเผ่นทันที
เผยเยี่ยนไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก คิดว่าสมควรให้เผยหม่านยืนอยู่นานกว่านี้หน่อย ยังมีที่ชิงหยวนออกมาก่อน แล้วรายงานต่อเขาว่า “พวกเราเช็ดหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนูอวี้ใหม่เจ้าค่ะ ข้างตั่งนอนไม้ก็เพิ่มม่านกั้นอีกผืน ข้าจุดกำยานหอมให้ด้วย ตอนนี้คุณหนูอวี้คงหลับลึกมาก น่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาในเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ”
จากสถานการณ์ของอวี้ถังในตอนนี้ นับว่าเป็นการจัดการที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
แต่เผยเยี่ยนก็ยังไม่พอใจ เขาเอ่ยอย่างมากเรื่องว่า “หลับลึกเกินไปไม่ดี อีกเดี๋ยวนางยังต้องดื่มยา ถ้าถูกปลุกขึ้นมาคงทรมานแล้วก็ตกใจมากแน่ เช่นนั้นลำบากเกินไป”
ชิงหยวนรีบบอกว่า “เช่นนั้นข้าจะไปดับกำยานก่อน”
เผยเยี่ยนจึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้แม้นางจะยังไม่ได้สติ แต่ก็หลับไม่สนิทนัก คงเพราะฝันร้ายเป็นแน่ แล้วถ้าดับกำยาน มิใช่ว่าต้องหลับอย่างกระสับกระส่ายหรือ?”
อย่างนั้นก็ไม่ดี อย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วทำเช่นไรจึงจะดีที่สุดเล่า?
ชิงหยวนสับสนไปหมด
นางอดจะเอี้ยวตัวไปมองห้องสงบใจไม่ได้
คุณหนูอวี้ผู้นี้ มีที่มาอย่างไรหนอ?
นับตั้งแต่ที่นางรับใช้นายท่านสามมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดือดเนื้อร้อนใจแทนผู้อื่นถึงเพียงนี้
มิใช่ว่าคุณหนูอวี้มีฉากหน้าเป็นบุตรสาวของซิ่วไฉ แต่ความจริงแล้วคือไข่มุกที่สูญหายของราชสกุล นายท่านสามของนางได้รับการไหว้วานจากราชสกุลให้ดูแลคุณหนูอวี้ต่อ? แต่ว่า ต่อให้คุณหนูอวี้มีฐานะเช่นนั้นจริง จากนิสัยของนายท่านสาม ไม่แน่ว่าเขาจะกระวนกระวายเพียงนี้! หรือว่า ฐานะแท้จริงของคุณหนูอวี้จะใหญ่โตยิ่งกว่านั้นอีก…
ในใจนางคาดเดาเรื่องราวไปไกล คนกลับก้มหน้าประสานมือนิ่ง เอ่ยด้วยเสียงนอบน้อมว่า “เช่นนั้นลองปลุกคุณหนูอวี้ให้ตื่นก่อนดีไหมเจ้าคะ? ข้าว่ายาต้มของอาหมิงคงใกล้เสร็จแล้ว”
อย่างไรก็ต้องปลุกคนให้ลุกมาดื่มยาอยู่ดี
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าคำของชิงหยวนมีเหตุผล แต่จะปลุกคนให้ตื่นได้อย่างไรนับเป็นอีกหนึ่งปัญหา
ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นวางบนใบหน้าของอวี้ถัง? หรือต้องเขย่านางให้ตื่น? หรือว่าทำมันทั้งสองวิธีเลย?
เขาเอาแต่ลังเลอยู่อย่างนั้น
อวี้ถังที่อยู่ในห้องสงบใจพลันลืมตาสะดุ้งตื่น
ม่านโปร่งสีเขียวอ่อน ตั่งนอนไม้ที่สลักลายแปดมงคล กลิ่นธูปหอมที่คุ้นเคย
นางอยู่ในวัด
แต่ก็ไม่เหมือนว่าอยู่ในวัดเลย
นางยังจำห้องเซียงฝางที่ตนเคยอยู่เมื่อชาติก่อนได้
ม่านผ้าฝ้ายสีขาวเรียบๆ โต๊ะหนึ่งตัวเก้าอี้หนึ่งตัว กรอบกระจกที่สมควรจะมีกระจกทองแดงอยู่ตรงกลางทว่ากลับไม่มี การตกแต่งที่เรียบง่ายจนแทบซอมซ่อ ไม่เหมือนกับห้องนี้ ที่ในห้องเล็กๆ ยังมีแผงกั้นลมระแนงไม้แกะสลักรูปร้อยอรหันต์ตั้งไว้ตรงหน้าเตียง
สิ่งเดียวที่เหมือนกัน น่าจะเป็นกลิ่นอายที่ซึบซับเข้าไปในแผ่นกระเบื้องเผาและเสาไม้ของห้อง
นางเป็นอะไรไปอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังพลันมึนงงไปชั่วขณะ
นางจำได้ว่านางเจอเผิงสืออี เพราะการต่อสู้ขัดขืนอย่างหนัก ทำให้ถูกเขาฆ่าตาย
ก่อนนางสิ้นลม นางยังเห็นดวงหน้าตื่นตะลึงของหลี่ตวนด้วย
ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนมาสุมหัวอยู่ที่อารามดับทุกข์ทำไม ทั้งยังลงมือลงไม้กันอีก
ตอนนั้นหลี่ตวนเป็นขุนนางประจำอยู่ที่เมืองหลวง ตามหลักแล้วอย่างต่ำยี่สิบปีก็ไม่ควรกลับมา
นางรู้แล้วว่าการตายของท่านลุงกับญาติผู้พี่เกี่ยวพันไปถึงหลี่ตวน นางคิดว่าโอกาสเช่นนี้หาได้ยาก จึงหยิบกรรไกรที่มักจะวางไว้ใต้หมอนมาซ่อนไว้ใต้เสื้อ คิดหาจังหวะฆ่าหลี่ตวนเสีย
ใครจะคิดว่านางกลับหาหลี่ตวนไม่พบ และต้องเผชิญหน้ากับเผิงสืออีแทน
ดวงตาของเผิงสืออีพราวระยับทันทีที่เห็นนาง
นางมองเห็นความตกตะลึงของชายหนุ่มที่ได้พบกับหญิงงามในดวงตาเขา
นางหมุนตัวแล้วออกวิ่งทันที
เผิงสืออีเดิมก็ยืนอยู่ที่เก่า นางคล้ายจะได้ยินเสียงหลี่ตวนเรียกชื่อนาง นางหันกลับไปมอง แต่ก็หาหลี่ตวนไม่พบ กลับเห็นแต่สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเผิงสืออี เขาก้าวมาหานางอย่างช้าๆ ทางหนึ่งก็ถามว่านางมีชื่อว่า ‘อวี้ถัง’ หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ใช้มือบีบคอนางด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
นางรู้สึกได้ถึงไอสังหารของเผิงสืออี จึงควักกรรไกรออกมาแล้วแทงใส่เขา…
นางล้มเหลวในการฆ่าหลี่ตวน ทั้งยังสังหารเผิงสืออีไม่สำเร็จ ตนกลับถูกผู้อื่นฆ่าจนตายแทน
แน่นอนว่า นางในตอนนั้นไม่รู้ว่าคนที่สังหารนางคือคุณชายสืออีสกุลเผิง ไม่รู้ว่าหลี่ตวนตามหานางพบได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้เลยสักนิดว่าที่ตนได้มาพักที่อารามดับทุกข์นั้น อาจจะมีความข้องกับเผยเยี่ยน
———————————————————–