ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 239 เป็นลม
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงเป็นคนละเอียดหัวไว สาวใช้ของนางส่งผังลำดับที่นั่งในมือให้นายท่านใหญ่ บอกเพียงคำเดียว นายท่านใหญ่สกุลเผิงก็เข้าใจความหมายของหลานสะใภ้ทันที
เขาลอบสังเกตเผยเยี่ยนที่นั่งคุยกับโจวจื่อจินอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ
เขารู้ว่าเผยเยี่ยนไม่มีทางอยู่นิ่งๆ แน่และผลก็เป็นดังนั้น วันแรกของพิธีบรรยายธรรมก็มีผังลำดับที่นั่งโผล่ออกมา นี่เป็นการแสดงท่าทีกดข่มสกุลอื่นอย่างพวกเขาหรือ?
ทว่า สกุลเผิงก็มิได้กินแต่ผักหญ้าหรอก
ในเมื่อเผยเยี่ยนทำถึงขั้นนี้แล้ว หากสกุลเผิงของพวกเขายังเก็บซ่อนคนไว้ต่อ ออกจะดูใจแคบไปหน่อย
นายท่านใหญ่สกุลเผิงคืนผังลำดับที่นั่งให้แก่สาวใช้ข้างกายหลานสะใภ้ใหญ่ ความคิดที่จะเกี่ยวดองกับสกุลเผยยิ่งรุนแรงกว่าเก่า
ตามที่เผิงสืออีพูดไว้ สกุลเผยนั้นนอกจากเผยเยี่ยนและเผยถงที่เหมาะจะหมั้นหมายด้วยแล้ว ยังมีบ้านสาขาของสกุลเผยอย่างเผยฉานและเผยปัวอีก
เผยปัววันนี้ยังมองสิ่งใดไม่ค่อยออก เผยฉานมีตำแหน่งเป็นซิ่วไฉแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าร่วมสนามสอบระดับท้องถิ่น
หากว่าสกุลเผิงต้องการให้บุตรสาวแต่งเข้าสกุลเผย ถ้าจับเผยเยี่ยนไม่อยู่ คงได้แต่เลือกเผยฉานแล้ว
นายท่านใหญ่สกุลเผิงสั่งสาวใช้ผู้นั้นเสียงเบาว่า “เจ้าไปบอกหลานสะใภ้ใหญ่ ข้ารับทราบแล้ว นางมีเรื่องอะไรก็ตัดสินใจเองได้ทันที ข้าจะไปคุยกับสืออีเอง ให้เขาฟังคำสั่งของหลานสะใภ้ใหญ่”
ทางที่ดีควรสร้างสถานการณ์บางอย่างขึ้นมา ให้สกุลเผิงได้ฉวยโอกาสเกี่ยวดองกับสกุลเผยเสีย
หลานสะใภ้ของเขาคนนี้แต่ไรก็เป็นคนมีไหวพริบและน่าเชื่อถือ นางย่อมจะเข้าใจความหมายของเขาแน่
สาวใช้คนนั้นรับคำสั่งอย่างนบนอบ ก่อนจะล่าถอยออกไป
เมื่อหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงได้รับคำอนุญาต ในใจนางก็สงบลงมากแล้ว
นางนั่งพูดคุยตามมารยาทกับนายหญิงสี่สกุลซ่งด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เห็นอาหมิงบ่าวรับใช้ข้างกายเผยเยี่ยนเดินเข้ามา แล้วเอ่ยรายงานต่อท่านแม่เฒ่าสกุลเผยว่า “คุณชายสืออีจากสกุลเผิงได้ยินว่าทางนี้มีพิธีบรรยายธรรม จึงรีบเร่งเดินทางมาและเพิ่งจะถึงวันนี้เองขอรับ เขาอยากเข้ามาคารวะท่านแม่เฒ่า ท่านจะให้พบหรือไม่ขอรับ?”
ในเมื่อเป็นคนข้างกายของเผยเยี่ยนที่มาแจ้งข่าว เช่นนั้นเผยเยี่ยนคงคิดว่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยสมควรจะพบเสียหน่อย
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพยักหน้า แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็เชิญคุณชายสืออีเข้ามาเถอะ!”
อาหมิงเดินกลับออกไป
สาวใช้และหญิงรับใช้ข้างกายท่านแม่เฒ่าเดินมาข้างหน้า ยืนเรียงแยกเป็นแถว บดบังเหล่าคุณหนูสกุลเผยกับสกุลซ่งและคนหนูคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ออกเรือนให้อยู่เบื้องหลัง
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงได้เห็นก็ลอบตื่นตาตื่นใจ ทั้งอดจะเอ่ยชมเชยเงียบๆ มิได้
ไม่เสียแรงที่สกุลเผยมีประวัติยาวนานหลายร้อยปี การจัดการเรื่องราวต่างๆ จึงไร้ช่องโหว่โดยสิ้นเชิง
จากนั้นหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงก็ได้ยินนายหญิงสี่สกุลซ่งเอ่ยถามว่า “คุณชายสืออีแห่งสกุลเผิง คงมิใช่คนที่ตอนเดินทางกลับจากการสอบระดับท้องถิ่นแล้วถูกโจรทำลายโฉมคนนั้นกระมัง?”
หัวคิ้วของหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงขมวดมุ่นทันที นางกำลังจะตอบความ ใครจะคิดว่าหลานสะใภ้รองสกุลเผิงกลับหัวเราะแล้วตอบแทรกว่า “ท่านวางใจได้ ไม่ได้ใหญ่โตเช่นคำเล่าลือหรอกเจ้าค่ะ คุณชายสืออีแค่มีรอยแผลเป็นเส้นหนึ่งตรงแก้มขวาเท่านั้น ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ยาดีต่างๆ ในสกุลต่างก็ใช้หมดไปเหมือนน้ำไหล บัดนี้แผลเป็นก็จางจนแทบมองไม่เห็นแล้ว ไม่อย่างนั้น นายท่านสามคงไม่ยอมให้เขาเข้าพบท่านแม่เฒ่าสกุลเผยแน่”
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงอดจะลอบด่าสะใภ้สกุลตนว่า ‘โง่งม’ มิได้
ต่อให้นายหญิงสี่สกุลซ่งอยากรู้ นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงคนของตนเองเช่นนี้ พอเปิดปากก็กลัวว่าเหล่าสตรีที่นั่งอยู่ในงานจะถูกคุณชายสืออีทำให้ตื่นตกใจ
นางได้แต่ช่วยหลานสะใภ้รองสกุลเผิงเอ่ยเสริมว่า “คิดถึงปีนั้น ท่านอาสืออีของเราเกือบจะได้เป็นเจี่ยหยวนแล้ว นายท่านสามสกุลเผยเห็นแก่ที่ท่านอาสืออีเป็นคนมีวิชา ถึงได้ยอมให้ท่านอาสืออีเข้ามาคารวะท่านแม่เฒ่าสกุลเผย เจ้าน่ะ อย่าได้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสต้องแตกตื่นตกใจเช่นนี้!” พูดจบ ก็หันไปส่งสายตาให้หลานสะใภ้รองสกุลเผิงทีหนึ่ง
หลานสะใภ้รองสกุลเผิงรู้สึกว่าหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงออกจะสำคัญตัวผิดไปหน่อย
ปีนั้นทุกคนต่างก็พูดว่าเผิงสืออีต้องสอบได้เจี่ยหยวนแน่ แต่พอการสอบระดับท้องถิ่นผ่านไป เขากลับสอบติดเพียงลำดับที่สามเท่านั้น
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงพูดเช่นนี้ ไม่กลัวผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเอารึ
นางกำลังคิดว่าจะพูดบางอย่างต่อ เผิงสืออีก็เดินตามอาหมิงเข้ามาแล้ว
แม้สีหน้าเขาจะซีดขาว ดวงหน้ามีรอยแผลเป็นสีม่วงแดงสะดุดตาสายหนึ่ง แต่แผ่นหลังหยัดตรง สวมอาภรณ์หรูหรา คิ้วตาคมกริบ เจือท่าทีองอาจหลายส่วน หาได้ทำให้คนมองหวาดกลัว เพียงรู้สึกว่ารอยแผลนั่นเหมือนไข่มุกที่ถูกฝุ่นกลบ ช่างน่าเสียดายดวงหน้าใบนั้นเสียจริงๆ
“ท่านแม่เฒ่า!” น้ำเสียงของทำหนาทุ้ม เหมือนกับสุราที่บ่มมานานปี ได้ยินแล้วยากจะลืมลง
อวี้ถังที่เดิมนั่งอยู่ข้างหลังนางและกำลังคุยกับคุณหนูห้าสกุลเผยอยู่พลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่เพียงลืมว่าตนพูดอะไรอยู่ กระทั่งร่างกายก็แข็งทื่อไปหมด
“เจ้าเป็นอะไรไป?” คนอื่นๆ ต่างถูกผู้ที่เข้ามาใหม่ดึงดูดความสนใจเสียสิ้น กำลังเอียงหูตั้งตาฟังเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก มีเพียงคุณหนูสามสกุลเผยที่สังเกตเห็นความผิดปกติของอวี้ถัง จึงรีบถามออกไปอย่างเป็นห่วงว่า “มีเรื่องอะไรที่พวกเรายังเตรียมไม่เสร็จหรือ?”
ในสายตาของคุณหนูสาม อวี้ถังเป็นคนที่อ่อนหวานและฉลาดเฉลียว เจอใครก็ต้องยิ้มให้สักสามส่วน ใครสนทนาด้วยก็จะต่อความกลับไป แต่อวี้ถังในเวลานี้ไม่เพียงไม่สนใจนาง ทั้งสีหน้ากลับซีดยิ่งกว่าเก่าตามเสียงพูดคุยด้านนอกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ในวิหารมีคนมากเป็นพิเศษ ต่อให้สาวใช้ของสกุลเผยจะจุดธูปไม้จันทน์ให้อย่างละเอียดใส่ใจ ทว่าก็ยังทำให้คนรู้สึกอึดอัดอยู่
“พี่อวี้คงไม่ได้เป็นลมแดดกระมัง?” คุณหนูสามสกุลเผยถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเดินเข้าไปพยุงอวี้ถังเอาไว้
คุณหนูห้าก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน นางเตรียมพร้อมว่าหากสถาณการณ์ของอวี้ถังไม่ดี ก็จะรีบให้คนไปเรียกท่านหมอมาทันที
ใครจะคิดว่าอวี้ถังที่ปกติเป็นคนนุ่มนวลรักษากิริยาไม่เพียงไม่สนใจพวกนาง ซ้ำยังตีมือของคุณหนูห้าที่ยื่นมาหาเสียงดัง ‘เพียะ’ อย่างไร้มารยาท นางกระเด้งตัวลุกขึ้นทันที ก่อนจะสาวเท้าไปหยุดอยู่ด้านหลังสาวใช้ที่ยืนบังพวกนางอยู่เบื้องหน้า เขย่งเท้าแล้วมองออกไปด้านนอก
รอยแผลเป็นสีม่วงแดงน่าขยะแขยง คิ้วตาที่คมกริบดั่งมีดดาบ ยังมีสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแต่กลับทำให้คนขนลุกขนพองเมื่ออยู่ใต้ความสลัวของแสงไฟนั่น…เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
คนที่พยายามขืนใจนางแต่ไม่สำเร็จแล้วฆ่านางทิ้งที่อารามดับทุกข์คนนั้น!
ชาติก่อน นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร? ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงได้ปรากฏตัวที่อารามดับทุกข์แล้วมารอนางอยู่ในห้องเซียงฝาง? ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดเขาต้องสังหารนาง?
นางคิดมาตลอดว่า เขาเป็นคนที่หลี่ตวนจ้างมาเพื่อจัดการนางเสียอีก
แต่เมื่อครู่พวกนั้นพูดว่าอย่างไรนะ?
เขาคือคุณชายสืออีแห่งสกุลเผิง
คนที่เกือบจะสอบได้เป็นเจี่ยหยวน
คนที่มีชื่อเสียงตำแหน่ง ทั้งเป็นลูกหลานสกุลใหญ่ซึ่งเป็นแขกของเผยเยี่ยนอีกที!
เพราะเหตุใดกัน?
ความเจ็บปวดของมีดที่ทิ่มแทงลงมาหลายครั้ง ความเย็นเยียบและชาหนึบที่โจมตีแขนขาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย ยังมีกลิ่นคาวของเลือดที่ไหลนองไปทั่วพื้น ความทรงจำที่นางตั้งใจจะฝังกลบให้มิดตั้งแต่ที่นางได้เกิดใหม่อีกครั้ง อดีตที่นางไม่คิดจะเอ่ยถึง ทุกอย่างพลันถูกฉีกออกแล้วย้อนกลับไปอีกครั้ง มันบังคับให้นางต้องเผชิญหน้า ทำให้นางอยากรู้แม้ร่างกายจะสั่นสะท้านว่าเหตุใดเผยเยี่ยนถึงให้ความสำคัญกับเขาเพียงนี้? เผยเยี่ยนกับเขาเป็นอะไรกัน? ชาติก่อนนั้น การตายของนางเกี่ยวข้องกับเผยเยี่ยนหรือไม่?
อวี้ถังรู้สึกปวดหัวไปหมด นิ้วมือเย็นเป็นน้ำแข็ง สองขาอ่อนแรง แทบจะยืนไม่อยู่
“พี่อวี้! พี่อวี้!” คุณหนูห้ากับคุณหนูสามประคองนางอยู่ซ้ายขวาคนละฝั่ง คุณหนูสามเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไรเดี๋ยวพวกเราค่อยไปคุยกัน ตอนนี้ข้ากับน้องห้าจะพยุงท่านไปนั่งพักก่อน ท่านอย่าได้ผลักพวกเราออกอีกนะเจ้าคะ”
คนจากหลายสกุลต่างก็เคยได้ยินชื่อของเผิงสืออีผู้นี้ การที่เขามาคารวะท่านแม่เฒ่าทำให้เหล่าคุณหนูสกุลซ่งและสกุลอู่สนใจอยากรู้อย่างมาก แต่ละคนต่างจับตาดูความเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างจดจ่อ ทว่าการกระทำของอวี้ถังไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ย่อมจะตกอยู่ในสายตาของทุกคนเป็นธรรมดา ทั้งถูกจับจ้องด้วยท่าทางสงสัย คุณหนูอู่ถึงขนาดแสร้งกระซิบกับกู้ซีด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันทั่วว่า “คุณหนูอวี้ผู้นี้นี่อย่างไรนะ? หรือว่าไม่เคยมีใครสอนนาง ชายหญิงเจ็ดปีขึ้นไปไม่อาจร่วมงานเลี้ยง ต่อให้บุรุษคนนอกประเสริฐปานใด แต่ก็ไม่ควรเสนอหน้าเข้าไปด้วยความร้อนรนเพียงนั้น สกุลเผยช่างโชคร้ายเหลือเกิน เหตุใดจึงเชิญคนประเภทนี้มาร่วมพิธีบรรยายธรรมได้ มีแต่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ น่าขายหน้าสิ้นดี!”
กู้ซียังคอยโน้มน้าวอีกว่า “คุณหนูอู่ บางทีคุณหนูอวี้อาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้? ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้แน่ชัด ก็พูดอะไรให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่า”
คุณหนูอู่แสยะยิ้ม “จะมีเหตุผลอะไรได้อีก? กลัวว่านางคงไปได้ยินชื่อคุณชายสืออีแห่งสกุลเผิงมาจากที่ไหนสักที่ คงอยากโผล่หน้าให้คุณชายสืออีสกุลเผิงได้เห็นล่ะสิ?”
อย่างไรก็เป็นท่านอาสกุลตนเอง คุณหนูทั้งสองคนจากสกุลเผิงจึงถลึงตาไปทางคุณหนูอู่
คุณหนูหกสกุลซ่งพยายามกลบรอยยิ้มมุมปาก ทำหน้าเหมือนกำลังรอชมความสนุก
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งคล้ายกำลังดูแคลนกิริยาของอวี้ถังในใจ นางแสร้งทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน แล้วถามสาวใช้ข้างกายว่า “มิได้บอกว่าพิธีบรรยายธรรมเริ่มตอนยามซื่อ[1]รึ? ตอนนี้ใกล้จะถึงยามซื่อแล้วหรือยัง?”
คุณหนูห้าสกุลเผยร้อนใจจนเหงื่อตก
คุณหนูรองสกุลเผยคิดว่าอวี้ถังทำให้สกุลตนต้องขายหน้า จึงลุกขึ้นแล้วสาวเท้าฉับๆ ไปทางอวี้ถัง เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณหนูอวี้ เชิญเจ้ากลับไปนั่งที่ของตัวเองก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรท่านย่าคงจะเรียกท่านเข้าไปเอง เวลานี้เจ้าไม่จำเป็นต้องไปดูแลท่านย่าทางนั้นหรอก!”
เพื่อหน้าตาของสกุลเผย นางได้แต่ข่มความไม่พอใจไว้ในอกแล้วหาข้อแก้ต่างให้อวี้ถัง
ใครจะคิดว่าอวี้ถังกลับไม่รับน้ำใจ นางเหมือนภูตผีที่คิดแต่จะชนกำแพง ไม่เพียงเดินวนไปวนมาอยู่กับที่ ปากยังงึมงำไม่หยุดไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
คุณหนูสามกับคุณหนูห้าที่อยู่ใกล้นางมากที่สุดพลันหน้าเปลี่ยนสี
พวกนางสองคนยืนอยู่ใกล้จึงได้ยินเสียงอย่างชัดเจน คุณหนูอวี้เอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าต้องการพบท่านอาสามของพวกนาง
สองคนอดจะหันมามองตากันไม่ได้
ต่างฝ่ายต่างเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของอีกคน
คุณหนูสามสกุลเผยเพราะปกติมักจะยอมอ่อนข้อให้พี่สาว ทำสิ่งใดล้วนมองสีหน้าของคุณหนูรองก่อน นางจึงไม่เคยสนใจเรื่องรอบตัวใดๆ แต่ความจริงนางกลับเด็ดขาดและใจกล้ากว่าคุณหนูรองด้วยซ้ำ
นางเดินขึ้นไปแล้วลากอวี้ถังไปยืนหลบหลังตน ขวางทางคุณหนูรองที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด เอ่ยว่า “พี่อวี้คงถูกไอแดด ข้าจะพานางไปหาท่านหมอ” พอเอ่ยจบ ไม่รอให้คุณหนูรองออกความเห็น ทางหนึ่งนางก็กระชากอวี้ถัง ทางหนึ่งก็สั่งหญิงรับใช้ข้างกายตนว่า “เจ้ารีบมาช่วยข้าพยุงคุณหนูอวี้ออกไปเดี๋ยวนี้”
หญิงรับใช้ผู้นั้นคอยสังเกตเจ้านายของตนอยู่ตลอด ได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาทันที
เพียงแต่เสียงตะโกนของคุณหนูสามสกุลเผยกลับทำให้คนด้านนอกแตกตื่นไปด้วย
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเอี้ยวตัวมามองด้านหลัง
หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่หลังท่านแม่เฒ่าพากันหลบไปด้านข้าง
เผิงสืออีซึ่งมาพร้อมกับคำสั่ง เขาย่อมจะสนใจเหล่าคุณหนูสกุลเผยมากเป็นพิเศษ
เขาฉวยโอกาสใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมอง พลันได้เห็นหญิงสาวที่งดงามดั่งบุปผา กำลังจ้องเขม็งมาที่ตนด้วยสีหน้าที่ขาวโพลนเฉกหิมะ
นับแต่ที่เผิงสืออีถูกทำลายโฉม เขาก็เกลียดสตรีเช่นนี้มากเป็นพิเศษ
สายตาของเขาพลันเย็นเยียบ หัวคิ้วขมวดมุ่น ในใจพิจารณาว่านางผู้นี้คือใคร แต่ดวงตาของนางพลันปิดลง สองขาอ่อนแรง แล้วล้มลงไปทันที
“ไอหยา!” ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกระเด้งตัวลุกขึ้น
ท่านแม่เฒ่าอีกหลายคนกับเหล่านายหญิงก็หันไปมองตามเสียงเช่นกัน
———————————————————–
[1]ยามซื่อ คือเวลาประมาณ 09:00 - 10:59 น.