ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 194 ท้าทาย
อวี้ถังหมายความว่าอย่างไร?
เขาไม่บอกนาง นางก็จะไปถามมารดาเขา…นางกำลังข่มขู่เขาอยู่รึ?
มือที่ถือถ้วยน้ำชาของเผยเยี่ยนชะงักไป
นางคงไม่คิดว่ามารดาของเขาจะยืนอยู่ข้างนางกระมัง?
เผยเยี่ยนพ่นลมผ่านจมูก
ดูท่า คุณหนูอวี้ท่านนี้ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
เขาคิดว่า เขาควรให้บทเรียนกับอวี้ถังสักหน่อย
“เจ้าจะไปถามมารดาข้าดูก็ได้” เผยเยี่ยนโมโหจนแสยะยิ้ม “เรื่องวันสรงน้ำพระ มารดาข้ารู้ดีกว่าข้าเสียอีก”
อวี้ถังได้ยินดังนั้น มารน้อยในใจก็เชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
นางรู้อยู่แล้ว พอชายคนนี้ได้ยินคำพูดของนางคงต้องคิดว่านางจะไปฟ้องความกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยแน่
นางโง่ขนาดนั้นเลยรึ?
ไม่ว่าอย่างไร ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกับเผยเยี่ยนก็เป็นแม่ลูกแท้ๆ กระทั่งคุณหนูห้า เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่เฒ่าก็ยังไม่มีหน้ามีตาเท่าเผยเยี่ยน นับประสาอะไรกับนางที่เป็นเพียงคนนอก
ทว่า อย่างมากอวี้ถังก็เป็นได้แค่ลูกแมวตัวเล็กๆ แสร้งอาจหาญตะปบเผยเยี่ยนไปทีหนึ่ง แค่นี้ก็ทำให้ดวงหน้าของเผยเยี่ยนเปลี่ยนสีแล้ว นางไม่กล้าไปแหย่เขาอีก อีกอย่างเจตนาของนางก็คือสร้างความรำคาญให้เผยเยี่ยน บัดนี้เป้าหมายบรรลุผลแล้ว หากยังหาเรื่องเขาไม่เลิก จนทำให้เขาเดือดดาลขึ้นมา เช่นนั้นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
อวี้ถังรีบเอ่ยว่า “ท่านคิดได้เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งแล้ว!” นางแกล้งทำเป็นถอนหายใจ เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงรัวเร็ว “หลังจากที่ข้ารับปากคุณหนูสามกับคุณหนูห้าว่าจะไปช่วยทำธูปหอมที่อารามดับทุกข์ ก็ตรงมาหาท่านทันที เพราะบางเรื่องไม่อาจหาข้อสรุปเองได้ คิดว่าต้องมาบอกท่านไว้สักคำถึงจะถูก ตอนนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว ในเมื่อท่านกับท่านแม่เฒ่าเป็นคนตกลงเรื่องตำรับเครื่องหอมของคุณหนูกู้ ถึงเวลานั้นสกุลข้าก็ค่อยมอบกล่องบริจาคตามคุณหนูกู้ไปด้วยเลย” พูดจบ นางก็ลุกยืนขึ้นพร้อมยิ้มตาหยี ดวงตาโตคู่นั้นจ้องไปที่เผยเยี่ยนโดยไม่กะพริบ เผยเยี่ยนถึงขนาดมองเห็นเงาของตนสะท้อนในดวงตาคู่นั้นของนาง แววตานั้นไม่เพียงจริงจัง แต่ยังซื่อตรงอย่างที่สุด “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนนายท่านสามกินเมื้อเที่ยงแล้ว ข้าจะกินขนมระหว่างทางเอา ตอนไปถึงจวนของท่านจะได้ทันช่วงว่างของท่านแม่เฒ่าพอดี ขอตัวก่อน!”
พูดจบ ก็ย่อกายคารวะไปทางเผยเยี่ยนทีหนึ่งแล้วหมุนกายเดินจากมา ไม่เพียงทำให้เผยเยี่ยนรับมือไม่ทัน ซ้ำจะร้องเรียกนางก็ไม่ใช่ จะปล่อยไปก็ไม่เชิง ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นเอง แผ่นหลังของอวี้ถังก็หายไปจากครรลองสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว
คิ้วของเผยเยี่ยนพันกันแน่น
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเริ่มต้นด้วยดี แต่กลับต้องผิดหวังในตอนจบ
เขายังอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน ทางหนึ่งเพราะต้องการหลบเสิ่นซ่านเหยียน ทางหนึ่งเพราะมั่นใจว่าอวี้ถังต้องกลับมาหาเขาแน่ สุดท้ายอวี้ถังก็มาหาเขาอีกตามคาด แต่พูดเพียงสองสามคำแล้วเผ่นแน่บ เขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นการนั่งคอยเก็บเกี่ยวผลโดยไม่ออกแรง แต่กลับคิดว่าเหมือนตัวเองเป็นคนโง่คนหนึ่ง
เขาสามารถหลบหลีกเสิ่นซ่านเหยียนที่ไหนก็ได้ แต่ทำไมต้องมารับความลำบากอยู่ที่นี่ด้วย?
หัวใจของเผยเยี่ยนพลันรู้สึกผิดหวังและท้อใจ
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่อวี้ถังทิ้งเอาไว้ให้
สกุลอวี้คิดจะมอบกล่องบริจาคให้วัดเจาหมิงหลังจากที่สกุลกู้มอบตำรับเครื่องหอมให้แล้ว
เหตุใดสกุลอวี้ต้องไปแข่งขันกับสกุลกู้ด้วย?
นางคิดว่าเขาจะดูแลสกุลกู้มากเป็นพิเศษหรืออย่างไร?
เผยเยี่ยนกระดกน้ำชาด้วยความหงุดหงิด
ไม่รู้ว่าชูชิงโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร เขาเรียก “นายท่านสาม” เสียงหนึ่ง คล้ายว่ามีเรื่องอะไรบางอย่าง
เผยเยี่ยนหันหน้ากลับไปมอง
ชูชิงเดินขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ากลับคิดว่าคำของคุณหนูอวี้มีเหตุผล…เรื่องที่สกุลกู้จะมอบตำรับเครื่องหอมให้ จำเป็นต้องคิดวางแผนในระยะยาวใหม่ไหมขอรับ?”
เผยเยี่ยนมีโทสะ แต่เขาไม่รู้ว่าโทสะนี้เกิดจากที่ชูชิงได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับอวี้ถัง หรือเพราะชูชิงเลือกที่จะเข้าข้างอวี้ถังกันแน่ หากว่าเป็นข้อแรก แต่เด็กเขาก็มีนิสัยไม่รอบคอบ พอเข้ามารับราชการ เพื่อจะตรวจสอบและอุดรอยรั่ว ตอนที่เขาสนทนากับผู้อื่นก็มักจะให้ชูชิงยืนฟังอยู่หลังม่านกั้น แล้วให้ชูชิงรายงานเรื่องที่เขาไม่ทันได้สนใจหรือว่ามองข้ามไปให้ฟังอีกที เขาจึงไม่ควรโมโหด้วยเหตุนี้ แต่หากว่าเป็นข้อหลัง ก็ไม่สมควรยิ่งกว่า คุณหนูอวี้ถังผู้นี้ชอบมีความคิดพิสดาร ต่อให้ชูชิงยืนข้างนางทางนั้นก็เป็นเพราะเรื่องราวมิใช่เพราะตัวคน อย่างไรชูชิงก็เป็นที่ปรึกษาของเขา เขามีอันใดให้ต้องไม่พอใจเล่า?
ช่วงขณะหนึ่งเขาจมอยู่ในอารมณ์ของตนเอง จึงไม่ได้พูดจา
ชูชิงแต่ไรก็คิดว่าเผยเยี่ยนเป็นคนที่เขาไม่มีวันอ่านออก เขายอมแพ้ที่จะคาดเดาความคิดของเผยเยี่ยนนานแล้ว ทั้งเรียนรู้ที่จะพูดทุกอย่างออกไปตามที่คิด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เขามิได้หวาดกลัว เห็นว่าเผยเยี่ยนคล้ายครุ่นคิดบางอย่างอยู่ จึงเอ่ยไปตรงๆ ว่า “คุณหนูกู้ไม่ควรทำตัวให้โดดเด่นนัก ไม่อย่างนั้นคงมีคนคาดเดาไปต่างๆ นานาเหมือนกับคุณหนูอวี้ สำหรับบ้านหลักแล้ว นี่มิใช่ความเมตตาแต่ถือเป็นความโหดร้าย ในใจท่านกระจ่างดี ตำแหน่งผู้นำของสกุลเผย อย่างไรก็ไม่มีทางมอบให้บ้านใหญ่แน่ หากเรื่องมอบตำรับเครื่องหอมทำให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา ข้าว่ามิสู้ยกเลิกไปเสีย เช่นนี้ย่อมจะดีต่อสกุลเผย ดีต่อนายหญิงใหญ่และดีต่อท่านด้วยขอรับ”
เผยเยี่ยนยังคงวนเวียนอยู่กับคำที่อวี้ถังทิ้งไว้ เขายกมือปัดไปมา ไม่ได้ถกเถียงเรื่องกู้ซีกับชูชิงต่อ แต่กลับเอ่ยแทนว่า “เจ้าว่า คุณหนูอวี้หมายความว่าอย่างไร? สกุลอวี้จะถวายกล่องบริจาคต่อจากสกุลกู้ นางคิดอะไรของนางอยู่?”
ชูชิงชะงักไป
ในความคิดเขา นี่ไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหาตรงไหน
“คุณหนูอวี้คงไม่มีเจตนาใดเป็นพิเศษหรอกขอรับ?” เขาตอบอย่างระมัดระวัง ในใจลึกๆ ก็กังวลว่ามีบางเรื่องที่เขามองข้ามไปหรือไม่ เพราะเหตุนี้จึงมองจุดประสงค์ของอวี้ถังไม่ออก “ข้าว่าเจตนาของคุณหนูอวี้ ก็แค่พูดไปเช่นนั้นเองขอรับ”
เผยเยี่ยนส่ายหน้า “เด็กคนนั้น มิใช่คุณหนูธรรมดาทั่วไป นางเจ้าแผนการจะตายไป! นางไม่มีทางวิ่งมาตั้งไกลเพราะไร้เหตุผล เพื่อแค่มาบอกกับข้าสักคำก่อนที่จะจากไปแน่” เขาลูบคางไปมา ก่อนจะเอ่ยคล้ายคาดเดาว่า “เจ้าว่า นางมิใช่เพราะต้องการให้คุณหนูกู้อับอายตอนงานแสวงบุญรึ และเพราะคุณหนูกู้เป็นสะใภ้ของหลานคนโตสกุลเผยในอนาคต กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินข้ากับท่านแม่เฒ่า ถึงได้ลอบบอกข้าเป็นนัยเอาไว้ พวกเราหากจะสืบสาวเอาความหลังจากนี้ นางก็อ้างว่าบอกกล่าวพวกเราเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว…”
คุณหนูอวี้ไม่น่าจะเป็นคนที่มากเล่ห์ขนาดนั้นกระมัง?
ชูชิงคิดจะโต้แย้ง แต่เห็นท่าทางเป็นจริงเป็นจังของเผยเยี่ยนแล้ว เขาเองก็มิได้สนิทสนมกับอวี้ถัง พลันไม่รู้ว่าตนต้องพูดอย่างไรต่อ
เผยเยี่ยนเห็นว่าชูชิงเงียบไป จึงสั่งชูชิงว่าไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องนี้ “ข้าจะจับตาดูเอง เจ้าช่วยข้าติดตามข่าวของกู้ฉ่างต่อไปก็พอแล้ว”
สกุลหยางก็ดี พี่สะใภ้ใหญ่เขาก็ดี มักจะชอบฉกฉวยโอกาส การเกี่ยวดองกับสกุลกู้ ย่อมไม่ใช่เพราะต้องการให้เผยถงได้ไปศึกษาเล่าเรียนกับสกุลกู้อย่างเดียวแน่ เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ญาติผู้น้องคนนั้นของเผยถงป่วยตายจริงๆ หรือตายด้วยเรื่องใดกันแน่?”
ไม่เช่นนั้น พี่สะใภ้ของเขาคงไม่เปลี่ยนใจไปดองกับสกุลกู้แทน
“ป่วยตายจริงขอรับ” ชูชิงตอบ “เผยอู๋ไปส่งศพด้วยตนเอง ได้เห็นศพของคุณหนูหยางกับตา สกุลหยางตอนนั้นก็ตกใจเสียขวัญ ไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร ภายหลังได้รับจดหมายของนายหญิงใหญ่ ท่านลุงทั้งสองของสกุลหยางหารือกันอยู่หลายวัน ถึงได้ตัดสินใจดองกับสกุลกู้”
เผยเยี่ยนแสยะยิ้ม “ป่วยตายจริงๆ ก็ดี มิใช่ถึงเวลานั้นไม่รู้คนโผล่ออกมาจากไหน จะทำทุกคนตื่นตกใจอีก”
ชูชิงคิดถึงเรื่องเหล่านั้นที่สกุลหยางเคยทำเอาไว้ ก้มหน้าไม่ส่งเสียง ไม่ออกความเห็น
เผยเยี่ยนจึงพูดขึ้นว่า “ระหว่างทางไม่มีโรงน้ำชาสักแห่งเลยหรือ? เจ้าส่งคนไปดูหน่อยว่าพวกคุณหนูอวี้กินอาหารเที่ยงกันอย่างไร”
ชูชิงได้แต่ลอบสบถในใจ
ในเมื่อห่วงผู้อื่นว่าจะไม่ได้กินข้าวกลางวัน เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่รั้งคนให้กินข้าวที่นี่ด้วยกันแล้วค่อยปล่อยไปเล่า?
แม้เสียมารยาท แต่ก็มิได้หนักหนาถึงขั้นนั้นเสียหน่อย
วันนี้คุณหนูอวี้ก็โชคไม่ดีเอาเสียเลย
ใบหน้าของชูชิงไม่แสดงออกสักนิด เขารับคำสั่งอย่างนอบน้อมแล้วล่าถอยไป
เผยเยี่ยนยังใคร่ครวญคำของอวี้ถังไม่เลิก คิดว่าตนเองต้องกลับจวนสกุลเผยสักรอบ
คุณหนูคนนี้ ช่างเล่นแง่เก่งนัก ทางที่ดีอย่าได้ไปทำเช่นนี้กับมารดาเขาด้วยก็แล้วกัน
เผยเยี่ยนกินอาหารกลางวันอย่างลวกๆ มอบหมายเรื่องซ่อมถนนให้เผยชีจากนั้นก็เร่งเดินทางกลับเมืองหลินอัน
หากอวี้ถังรู้ว่าตนเองตบตาเผยเยี่ยนได้คงดีใจกระโดดตัวโยนแน่ แต่ว่าตอนนี้ ขณะที่นางงับขนมและดื่มน้ำอยู่ ในใจก็กร่นด่าเผยเยี่ยนไปสามรอบแล้ว
นางเคยเจอคนใจแคบ แต่ไม่เคยเจอใครจิตใจคับแคบได้เท่ากับเผยเยี่ยนมาก่อน
ถ้าคำพูดของนางไม่อาจปั่นหัวเผยเยี่ยนได้ นางย่อมจะอารมณ์เสียกว่าเดิมแน่
ทว่า พิธีบรรยายธรรมครานี้ นางต้องคิดให้รอบคอบ ชาติก่อนตอนที่กู้ซีถวายตำรับเครื่องหอมให้วัดเจาหมิง นางก็เป็นคนไปส่งมอบให้ด้วยตนเอง เจ้าอาวาสวัดเจาหมิงเพื่อที่จะยกย่องนาง ยังมอบโคมดอกบัวให้นางโคมหนึ่ง ด้านบนฐานของโคมดอกบัวเป็นบท ‘จินกังจิง’ ที่เจ้าอาวาสวัดเจาหมิงเขียนด้วยตนเอง ได้ยินว่าส่งไปเบิกเนตรที่เขาอู่ไถอีกด้วย
ความโด่งดังของกู้ซีจึงเหนือกว่าใครหน้าไหน
พูดแล้วก็แปลก ชาติก่อนหลังจากที่กู้ซีแต่งเข้าจวนสกุลหลี่แล้วก็ราบรื่นตลอดรอดฝั่ง ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็พาให้คนแย่งกันลอกเลียนแบบ ราวกับนางเป็นฮูหยินสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของเมืองหลินอันก็ไม่ปาน สตรีในสกุลเผยไม่มีสักคนที่เป็นคู่ต่อสู้ของนางได้
คิดอย่างไรก็ดูไม่เข้าท่าอยู่ดี!
ต่อให้รุ่นผู้อาวุโสอย่างท่านแม่เฒ่าคร้านจะไปแก่งแย่งชิงดีเรื่องพรรค์นี้กับนาง แล้วคนรุ่นหลานของสกุลเผยพวกนั้นเล่า?
อวี้ถังเค้นสมองอย่างละเอียดถึงภาพความจำเกี่ยวกับลูกหลานของสกุลเผย
นอกจากคุณชายใหญ่เผยถง ยังมีน้องชายมารดาเดียวกันกับเผยถงนามว่าเผยเฟย สกุลสาขาของสกุลเผยมีเผยฉานและเผยปัว เผยถงกับเผยฉานสอบเป็นจิ้นซื่อได้ ส่วนเผยเฟยกับเผยปัวสอบได้เป็นจวี่เหริน
บ้านใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึง ภรรยาของเผยฉายกับเผยปัวคล้ายว่าจะเก็บตัวมาก ขนาดนางที่เป็นสะใภ้รองของสกุลหลี่ยังไม่เคยเจอสักครั้ง
ยังมีเผยเยี่ยนอีก
ชาติก่อนเขาได้แต่งงานหรือไม่นะ? แล้วแต่งกับหญิงสาวสกุลใดกันแน่?
ช่างน่ารำคาญนัก!
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ จึงกัดขนมลงไปเต็มแรง พลางคิดว่าที่ตัวเองมีทุกอย่างในวันนี้ได้ เป็นเพราะอาศัยเผยเยี่ยนทั้งสิ้น
โชคดีที่ใกล้ถึงสกุลเผยแล้ว นางจัดเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้เข้าที่ จากนั้นก็ไปพบท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าได้ยินว่าอวี้ถังขอพบนาง จึงสั่งให้เฉินต้าเหนียงรีบพานางเข้ามา เมื่อเห็นหน้ายังเอ่ยขึ้นทันทีว่า “เพราะเจ้าสามกับเจ้าห้าไปกวนเจ้าใช่หรือไม่? ข้าเดาแล้วว่าพวกนางต้องไปหาเจ้าแน่!”
หากมิใช่เพราะกู้ซีกับเผยถงใกล้จะหมั้นหมายกันแล้ว ไม่แน่ว่าพวกนางคงลากกู้ซีเข้ามาเกี่ยวด้วย
หลังจากอวี้ถังย่อกายคารวะท่านแม่เฒ่าอย่างรู้สึกผิดแล้วนั่งลงบนตั่งไม้เตี้ยที่สาวใช้ยกเข้ามาให้ ก็เอ่ยกับท่านแม่เฒ่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็เป็นคนเริ่ม คงไม่อาจโยนทุกอย่างให้เหล่าคุณหนูสกุลเผยโดยไม่สนใจได้ ทั้งเรื่องนี้ยังเป็นการทำบุญ หากช่วยได้ก็ต้องช่วย ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพยักหน้า แล้วหัวเราะพลางเอ่ยว่า “จะว่าไปเจ้าพวกนั้นก็อายุไม่น้อยกันแล้ว ทว่าในสกุลเด็กผู้ชายมีมากเด็กผู้หญิงมีน้อย พวกข้าที่เป็นคนแก่ก็อดจะตามใจพวกนางไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่สมควร ก็ยังแสร้งเลอะเลือนไม่รับรู้ไป พวกนางเชิญเจ้ามาได้ก็นับว่าเป็นความสามารถของพวกนาง เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าคิดอ่านอย่างไร? เจ้ามาพบข้า แน่นอนว่าต้องการถามความเห็นของข้าใช่หรือไม่?”
———————————–