ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 191 ซ่อมทาง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน อวี้ถังก็เข้าใจหลักการหนึ่งขึ้นมา ยามที่ความลำบากเข้ามาใกล้ ยิ่งเจ้าหลบหลีกมันเท่าใด ก็ง่ายจะถูกมันรั้งไว้จนปลีกตัวไปไหนไม่ได้เท่านั้น
นางปิดตาลง สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง กระตุกมุมปาก บิดกายหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม คำนับให้เผยเยี่ยน “นายท่านสาม ช่างบังเอิญเสียจริง! คาดไม่ถึงว่าจะพบท่านที่นี่ เช้าตรู่เช่นนี้ ท่าน…”
เผยเยี่ยนมองนางด้วยแววตาที่แฝงรอยยิ้ม กระจ่างพร่างพราว คล้ายมีอะไรระยิบระยับอยู่ในนั้น พาให้คนที่มองรู้สึกตาพร่าเลือนอยู่บ้าง
เขาเอ่ยว่า “ไม่ใช่กล่าวว่าต้องซ่อมทางตรงนั้นหรอกรึ? ข้าขบคิดดูแล้วว่าหลายวันนี้ไม่มีเรื่องอันใด จะซ่อมทางมิสู้ซ่อมในยามที่มีโอกาส”
น้ำเสียงของเผยเยี่ยนนุ่มนวลอ่อนโยน ราวกับลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยกระทบใบหน้า ทำให้อวี้ถังประหลาดใจทั้งรู้สึกต่างไปจากเดิม
นางอดมองพินิจเผยเยี่ยนอย่างละเอียดไม่ได้
ยังคงสวมชุดที่เรียบง่ายแต่เรียบหรู ยังคงเผยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ทั้งยังวางท่าสง่างามเหมือนเช่นเคย ไฉนนางจึงรู้สึกว่าเผยเยี่ยนแตกต่างจากวันปกติได้กัน?
อวี้ถังเผยยิ้มอย่างเก้อเขิน เก็บความน่าอายครั้งที่แล้วไว้ในใจ เอ่ยเป็นมารยาทกับเผยเยี่ยนราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น “อย่างนั้นรึ? คาดไม่ถึงว่านายท่านสามจะมาเร็วถึงเพียงนี้ นี่ก็สายแล้ว ข้ายังต้องไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าอี้และนายหญิงรอง คงอยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านไม่ได้แล้ว หากท่านมีอะไรอยากกำชับ ก็ให้อาหมิงมาพูดกับข้าแล้วกัน”
นางพูดจบ ก็หมุนกายเดินไปทางเรือนที่นายหญิงรองและท่านแม่เฒ่าอี้พักอยู่ทันที
ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับเดินตามหลังนาง
นี่เขาต้องการจะทำอะไร?
อวี้ถังกระวนกระวายใจอยู่บ้าง เผยเยี่ยนกลับสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ก็เดินขึ้นมาเคียงไหล่นาง ยังถามนางว่า “เมื่อครู่เห็นพวกหลานๆ เข้าไปแล้ว เหมือนว่าจะมีสาวใช้ของเจ้าอยู่ในนั้นด้วย ไฉนเจ้าไม่เข้าไปพร้อมพวกนาง?”
มารร้ายในใจอวี้ถังลอบกลอกตา ทว่าใบหน้ากลับยังคงแย้มยิ้ม “เมื่อครู่…เมื่อครู่ข้าเห็นตั๊กแตนเกาะที่ต้นไม้ใหญ่ เผลอมองเพลินไปหน่อย พอตั้งสติได้อีกครั้ง พวกนางก็ไปไกลเสียแล้ว…”
“อ่อ!” เผยเยี่ยนผงกศีรษะด้วยใบหน้าจริงจัง “ไม่แปลกใจที่เมื่อครู่เจ้าก็เกือบจะตามไปผิดที่ ยังดีที่ข้าเตือนเจ้าทัน แต่ปัญหานี้ของเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงเสียหน่อยแล้ว ไม่ใช่พอรีบร้อนอะไรก็พูดผิด เดินไปผิดทาง ยังดีที่อยู่ในอารามดับทุกข์ พื้นที่ไม่กว้างขวาง หากเป็นวัดเจาหมิง เจ้าก็คงหลงทางแล้วกระมัง! พูดถึงวัดเจาหมิง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากพูดกับเจ้า วันสรงน้ำพระ[1]วันที่แปดเดือนสี่ วัดเจาหมิงวางแผนจะเชิญพระชั้นสูงจากวัดเส้าหลินใต้ของฝูเจี้ยนมาบรรยายธรรม ดูจากความหลงๆ ลืมๆ ของเจ้าแล้ว ข้าว่าอย่าไปเลยดีกว่า!”
พระชั้นสูงของวัดเส้าหลินใต้จะมาบรรยายธรรมอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังตกตะลึง
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ท่านแม่เป็นคนสนับสนุนเรื่องนี้ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าสกุลซ่ง สกุลเสิ่นและสกุลกู้อาจจะส่งคนมาทั้งนั้น”
คนผู้นี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนที่พูดอะไรโดยไม่มีสาเหตุ
เขาบอกเรื่องนี้แก่นางหมายความว่าอย่างไรกัน
อวี้ถังขบคิดในใจ
แววตาของนางกลับปรากฏความงงงวยขึ้นมา
เผยเยี่ยนเห็นก็ลอบถอนหายใจ
คุณหนูผู้นี้บางครั้งก็ดูฉลาดหลักแหลม น่าสนใจ แต่ก็มียามที่โง่เขลาเบาปัญญา จำต้องให้เขาพูดออกมาอย่างชัดเจน นางถึงจะเข้าใจ แต่ว่า นางหน้าตางดงาม แม้ว่าบางครั้งจะโง่ไปบ้างก็ยังดูรื่นหูรื่นตาอยู่ดี
เขาทำได้เพียงเอ่ยว่า “ถึงเวลานั้นข้าวางแผนจะให้อารามดับทุกข์ทำเครื่องหอมที่พิเศษขึ้นมา อย่างเช่น กำยานขดขนาดประมาณอ่างล้างเท้า ไม่ก็เป็นธูปขนาดแขนเด็ก ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เครื่องหอมของอารามดับทุกข์มีชื่อเสียงขึ้นมาก็ได้”
พูดจนอวี้ถังตาเป็นประกาย
นางคิดว่านางควรบอกกับอวี้หย่วนเสียหน่อย ให้ร้านค้าของสกุลอวี้ทำเครื่องแกะสลักลงรักสีแดงเป็นรูปจำพวกพระอรหันต์ห้าร้อยองค์บริจาคทำบุญให้วัดเจาหมิง ย่อมสามารถทำให้เครื่องลงรักของสกุลอวี้โดดเด่นขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าในร้านค้ามีแบบภาพเช่นนี้หรือไม่? หากไม่มี ควรหาใครมาวาดดี?
ทั้งเวลาไม่คอยท่า ไม่นานก็จะถึงวันสรงน้ำพระแล้ว เรื่องนี้ต้องวางแผนไว้เนิ่นๆ
ในสมองครุ่นคิดเรื่องราว ยามที่อวี้ถังพูดจึงเชื่องช้าไปอยู่บ้าง
นางเอ่ยลอยๆ ว่า “นายท่านสามพูดมีเหตุผล เมื่อวานข้าก็เพิ่งพูดกับนายหญิงรอง ทางที่ดีควรแบ่งขั้นตอนการทำเครื่องหอมออกจากกัน แต่ละคนก็แบ่งกันเรียนขั้นตอนเล็กๆ คงจะสามารถทำธูปหอมออกมาก่อนวันที่แปดเดือนสี่ได้ ทั้งท่านเร่งตามมาซ่อมทางให้อารามดับทุกข์ ภายหลังอารามดับทุกข์ย่อมมีผู้มาจุดธูปกราบไหว้อย่างท่วมท้น”
แต่ว่า หลังจากมีผู้มากราบไหว้ท่วมท้น เรื่องทางโลกก็คงมากตาม ไม่รู้ว่าภายหลังอารามดับทุกข์ยังจะรับสตรีที่ไร้ที่ไปไว้อีกหรือไม่?
เพราะมีนางเกี่ยวข้อง อารามดับทุกข์จึงแตกต่างจากชาติก่อนอย่างยิ่ง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สำหรับอารามดับทุกข์ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
อวี้ถังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนก็มองสถานการณ์ไม่ถูกเล็กน้อย
เขาเห็นว่าพวกคุณหนูกระทำเรื่องอย่างเด็กๆ เกินไป คล้ายกับเล่นซนเท่านั้น ครุ่นคิดว่าจากนิสัยของมารดาเขา เกรงว่าท้ายที่สุดเรื่องนี้จะหล่นมาที่ศีรษะเขา เขาไม่อยากตามเก็บกวาดให้พวกนาง คิดว่าแทนที่จะปิดกั้นมิสู้ปล่อยให้ไหลไปตามน้ำ จึงรับช่วงต่อเรื่องนี้ล่วงหน้า ทำเรื่องไปในทิศทางที่เหมาะสม ภายหลังก็สามารถทิ้งไว้ไม่สนใจได้ ยามนี้จึงได้ชี้แนะอวี้ถัง แต่ นอกจากอวี้ถังจะฟังไม่เข้าใจแล้ว ยังทำท่าราวกับปลดปลง
ตกลงนางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
เผยเยี่ยนตรึกตรองเล็กน้อย “เป็นอะไร? หรืออารามดับทุกข์ทำเครื่องหอมที่ข้าเสนอไปไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
กำยานขดขนาดเท่าอ่างล้างเท้าและธูปขนาดเท่าแขนเด็กต่างก็เป็นฝีมือที่ต้องใช้ความชำนาญ ร้านค้าที่ทำเครื่องหอมขายบางแห่งเปิดมาสิบกว่าปีแล้วก็ยังทำได้ไม่ดีเสียด้วยซ้ำ
อวี้ถังเอาแต่คิดเรื่องร้านค้าของตัวเอง ลืมเรื่องก่อนหน้านั้นไปเสียหมด
นางรีบลำล่ำละลักเอ่ย “เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของคุณหนูรองและคุณหนูสาม ข้าต้องไปถามพวกนางก่อน”
เผยเยี่ยนพยักหน้า
อวี้ถังครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะบอกเรื่องที่คุยกับนายหญิงรองเมื่อเย็นวานให้เผยเยี่ยนฟัง
นางขบคิดในใจ หากเผยเยี่ยนคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นางก็จะปล่อยมือไม่ยุ่งแล้วเช่นกัน ชาติก่อนไม่มีความคิดเลอะเทอะพวกนี้ของนาง แม้ว่าทุกคนในอารามดับทุกข์จะยากลำบาก แต่ก็ไม่กลัดกลุ้มเรื่องเสื้อผ้าอาหาร บางทีอารามดับทุกข์ที่เป็นเช่นนั้นกลับจะสามารถรักษาความตั้งใจเดิมไว้ได้ รับสตรีที่น่าสงสารพวกนั้นต่อไป ทำเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
เผยเยี่ยนได้ฟังก็ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “ข้าทราบแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
อวี้ถังจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
มอบให้เผยเยี่ยนเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว
ดูท่าเขาก็คงคิดว่าเป็นแบบนี้ไม่เหมาะสมเช่นกัน
ก็คงต้องดูแล้วว่าเขาจะสามารถปรับความคิดของทุกคนได้หรือไม่
ทั้งสองพูดคุยกัน ไม่นานก็มาถึงที่พักของท่านแม่เฒ่าอี้และนายหญิงรอง
มีสาวใช้เห็นเผยเยี่ยนอยู่ไกลๆ ก็รีบเข้าไปรายงาน ท่านแม่เฒ่าอี้ที่ทราบข่าวจึงพานายหญิงรองและพวกคุณหนูสกุลเผยออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“สยากวงเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด? ไฉนไม่ส่งคนไปบอกกล่าวข้าเสียหน่อย” ท่านแม่เฒ่าอี้มองเผยเยี่ยนอย่างมีเมตตา “รีบเข้ามานั่งในห้องเถิด! แม้จะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศก็ยังคงหนาวเย็น”
ขณะที่นางพูด ก็นำเผยเยี่ยนเข้าไปในห้องอย่างกระตือรือร้น
ทุกคนคำนับแก่กัน เผยเยี่ยนไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบท่านแม่เฒ่าอี้และนายหญิงรองเป็นพิธี ก่อนจะพูดจุดประสงค์ที่มาของตัวเอง
ท่านแม่เฒ่าอี้และนายหญิงรองเห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงกับการมาเยือนของเขา รีบเอ่ยขอบคุณ ทั้งพูดถึงเรื่องเครื่องหอมขึ้นมา
ทุกคนต่างก็เผยสีหน้ากระวนกระวายใจ
เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำเครื่องหอมตามที่เผยเยี่ยนต้องการส่งไปให้วัดเจาหมิงในช่วงเวลาสั้นๆ ได้
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็นำตำรับเครื่องหอมให้เถ้าแก่ใหญ่ที่ดูแลร้านค้าเครื่องแป้งก่อน ให้อารามส่งคนตามไปเรียนกับอาจารย์ที่นั่น หากมีคนมาสั่งทำที่อาราม พวกนางมีของเพียงพอก็ใช้ได้แล้ว”
นี่ไม่ใช่การโกงหรอกรึ?
พวกคุณหนูสกุลเผยต่างก็มองตากันปริบๆ กลับไม่กล้าถามออกมา
ท่านแม่เฒ่าอี้ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไปหลายครั้ง
ด้านอวี้ถังกลับรู้สึกอิจฉาในใจ
หากสกุลนางมีคนที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันเช่นนี้ได้ก็คงจะดี
เผยเยี่ยนนั่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะจากไป แต่ยามที่เขาไปกลับเรียกอวี้ถังให้ไปส่ง ยามที่อวี้ถังมาส่งเขาที่หน้าประตูก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ได้ยินว่าคุณหนูกู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องหอม คิดว่าวันสรงน้ำพระนางก็คงไปวัดเจาหมิงด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่านางจะคิดเหมือนข้าหรือไม่ บริจาคเครื่องหอมให้วัดเจาหมิง”
ที่แท้หลุมใหญ่นั้นกลับรอนางอยู่ตรงนี้!
อวี้ถังชำเลืองมองเผยเยี่ยนไปที
เผยเยี่ยนเลิกคิ้ว ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
มารร้ายในใจของอวี้ถังกระทืบเท้าอย่างโมโห
นี่เขาหมายความว่าอย่างไร?
ให้นางไปต่อสู้กับกู้ซีอย่างนั้นรึ?
มีอะไรให้ต่อสู้กัน
เหตุใดเผยเยี่ยนจึงทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้
ในความเป็นจริง ขอเพียงแค่กู้ซีไม่ทำลายผลประโยชน์ของนาง เดิมทีนางก็ไม่อาจต่อกรกับกู้ซี
อวี้ถังเบะปากใส่แผ่นหลังของเผยเยี่ยน คล้อยหลังก็คล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงแข็งทื่อขึ้นมา
ใช่แล้ว เผยเยี่ยนไม่ใช่คนที่พูดจาไร้สาระอย่างส่งเดช เช่นนั้น เช่นนั้นเผยเยี่ยนพูดเรื่องนี้กับนางหมายความว่าอย่างไรกัน?
ต่อจากนั้นอวี้ถังก็พะว้าพะวังจนกินข้าวปลาไม่ลง หากไม่ใช่ซวงเถาวิ่งมาบอกนางว่า หาคนที่นางเอ่ยถึงในอารามไม่พบ นางก็คงลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ยอมแพ้ ยังคิดจะค้นหาผู้ที่กล่าวว่าเป็นญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่
ส่วนเรื่องตำรับเครื่องหอม ท่านแม่เฒ่าอี้นั้นคิดมากกว่านายหญิงรองจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้คัดค้านหรือชื่นชม กลับเอ่ยกับอวี้ถังด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้ากลับไปจะปรึกษากับพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องในเรือน ทั้งไม่ทราบว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ตำรับเครื่องหอมนี้มาจากคุณหนูอวี้ คุณหนูอวี้ครุ่นคิดขนาดนี้ย่อมต้องมีเหตุผล”
อย่างไรเรื่องนี้ก็พอทำให้อวี้ถังรับได้อยู่บ้าง
กลับไปถึงเรือน นางก็ไปพบอวี้หย่วนทันที เล่าเรื่องวันสรงน้ำพระในวันที่แปดเดือนสี่ให้เขาฟัง
อวี้หย่วนขมวดคิ้วแน่น “ยามนี้ย่อมทำไม่ทัน ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิมีฝนมาก สีของพวกนั้นแห้งช้าเกินไป แต่โอกาสดีเช่นนี้ ข้าก็ไม่อยากพลาดไป เอาอย่างนี้ เจ้ากลับไปรอที่เรือนก่อน ข้าจะไปพูดคุยกับท่านพ่อ ดูว่ามีวิธีหรือไม่ อีกอย่างทางวัดเจาหมิง ในเมื่อปีนี้มีพระชั้นสูงมาบรรยายธรรม ย่อมมีคนบริจาคค่าน้ำมันธูปเทียนเป็นเงินก้อนใหญ่ คงจะเตรียมจัดแจงเรื่องพิธีใหญ่ด้วย หากพวกเราสามารถร่วมบริจาคในพิธีครั้งนี้ได้ก็มอบกล่องใส่เงินบริจาค หากไม่ได้ บริจาคเงินเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็เป็นการทำบุญ”
อวี้ถังก็คิดเช่นนี้ สองพี่น้องคุยเรื่องยิบย่อย ก่อนจะแยกย้ายกันไป
แต่ในใจอวี้ถังมักรู้สึกเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ก็นึกไม่ออกว่าตกลงตัวเองพลาดตรงไหนไป
ดีที่ปัญหาเรื่องกล่องบริจาคเงินนั้นคลี่คลายลงแล้ว…ครั้งก่อนที่ไฟไหม้ ของในร้านค้าล้วนถูกเผาไปหมด อวี้ป๋อหากล่องสัมภาระรูปพระอรหันต์ห้าร้อยองค์เจอจากคลังสินค้าในเรือน พวกเขาตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนจากพื้นฐานของกล่องสัมภาระใบนี้ ให้มันกลายเป็นกล่องบริจาคเงิน ทั้งทางวัดเจาหมิงก็ตอบรับให้พวกเขาส่งกล่องบริจาคเงินมาในพิธีใหญ่ครั้งนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เครื่องลงรักของสกุลอวี้ก็สามารถฉวยโอกาสนี้เปิดเผยให้คนอื่นได้รู้จักมากขึ้น
แต่อวี้ถังก็ยังคงพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ
เผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไรกัน?
กู้ซีจะมาเข้าร่วมวันสรงน้ำพระของวัดเจาหมิงอย่างนั้นรึ? แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนที่ไม่ทำคุณความดีโดยเปล่าประโยชน์ หากนางมาเข้าร่วม เพียงเพื่อบริจาคพวกเครื่องหอมจะง่ายไปกระมัง?
อวี้ถังรู้สึกหงุดหงิดท่าทีแปลกๆ ของเผยเยี่ยนอยู่บ้าง
——————–
[1]วันสรงน้ำพระ ตรงกับวันที่แปดเดือนสี่ตามปฏิทินจันทรคติ คล้ายกับวันวิสาขบูชาของไทย ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของศาสนาพุทธ ตามตำนานจีนกล่าวว่าครั้งที่พระพุทธเจ้าประสูติ ได้ชี้มือข้างหนึ่งขึ้นฟ้า ชี้มืออีกข้างลงดิน พื้นพสุธาสั่นคลอน มังกรพ่นน้ำศักดิ์สิทธิ์สรงน้ำแด่พระพุทธเจ้า จึงมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงวันประสูติของพระพุทธเจ้า