ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 184 วุ่นวาย
ความรู้สึกตอนอยู่เรือนตนกับอยู่ด้านนอกต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แม้อาหารของสกุลเผยจะดีกว่าอาหารของสกุลอวี้ แต่อวี้ถังรู้สึกว่าตอนอยู่สกุลเผย ไม่ว่าจะกินข้าวอย่างไรหรือต่อให้กินคนเดียว ก็รู้สึกว่าถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ แต่เมื่ออยู่เรือนตนเอง แม้จะร่วมโต๊ะกับท่านลุงและป้าสะใภ้ จะต้อง ‘กินข้าวไม่สนทนา นอนหลับไม่พูดคุย’ แต่นางกลับรู้สึกสบายใจกว่า แม้จะนอนหลับเหมือนกัน แต่แค่คฤหาสน์นอกเมืองของสกุลเผยยังใช้เตียงไม้ทาสีเคลือบ ส่วนที่อยู่ในจวนสกุลเผยใช้เตียงไม้สี่เสาหลังใหญ่แกะสลักสีดำฝังมุก ทว่าตอนกลางคืนนางก็ยังพลิกตัวไปมานานกว่าสองก้านธูปถึงจะหลับ แต่ถ้านอนอยู่เรือนตนที่เป็นเพียงเตียงไม้สี่เสาแกะลายบุปผา แขวนด้วยม่านโปร่งเก่ากลางใหม่ สูดกลิ่นอายอบอุ่นของผ้านวมที่ตากแดด แค่นางปิดตาลงก็หลับปุ๋ยแล้ว ทั้งยังหลับยาวได้ถึงเช้าวันถัดไปอีกด้วย
ตอนที่อวี้ถังลืมตาขึ้น ก็ได้ยินซวงเถาคุยกับป้าเฉินพอดีว่า “…ลูกพลับแห้งนั่น อร่อยมากเหลือเกินเจ้าค่ะ หลิ่วซวี่บอกว่า ผงสีขาวเกิดจากการเอาไปตากแดด แล้วขนส่งโดยม้าเร็วมาจากฝูเจี้ยนโน่น คุณหนูก็ชอบกินมาก ครั้งนี้ตอนที่คุณหนูกลับมาจากสกุลเผย สกุลเผยจึงมอบลูกพลับแห้งสองตะกร้าเล็กๆ มาให้ จะว่าไปแล้ว สาวใช้ของสกุลเผยช่างเก่งกาจเหลือเกิน อย่างหลิ่วซวี่ที่ถูกมอบหน้าที่ให้มาดูแลเรือนของพวกข้า ได้ยินว่าเป็นแค่สาวใช้ขั้นสองในสกุลเผยเท่านั้น ไม่นับว่ามีหน้ามีตาอะไร แต่ตอนที่นางจัดการเรื่องราวกลับละเอียดรอบคอบเป็นที่สุด อย่างเช่นเรื่องลูกพลับแห้งนี้ ได้ยินว่านางเป็นคนบอกกับเฉินต้าเหนียงเอง ตอนที่ข้าไปใหม่ๆ ยังคิดว่านางชอบทำเรื่องให้ใหญ่โต แต่หลังจากอยู่ร่วมกับนางพักหนึ่ง ข้ากลับรู้สึกขอบคุณนางที่ทำให้ข้าได้เรียนรู้กฎระเบียบอีกมาก”
เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูดไปทั่วกระมัง?
มิใช่ทำให้ตัวเองต้องขายหน้าหรอกหรือ!
อวี้ถังนอนพลิกตัว เมื่อมีเสียงเคลื่อนไหวแผ่วเบาดังมาจากในห้อง ซวงเถาก็รีบหยุดบทสนทนาไว้ทันที แล้วกระซิบบอกป้าเฉินว่า “คุณหนูน่าจะตื่นแล้ว ข้าไปดูก่อนนะเจ้าคะ ขนมพวกนี้ท่านก็วางไว้แถวนี้ก่อน ข้าดูแลคุณหนูเสร็จแล้วจะกลับมาเก็บเจ้าค่ะ”
หากว่าเป็นเมื่อก่อน ซวงเถาไม่แน่ว่าจะสนใจเสียงความเคลื่อนไหวเล็กน้อยพวกนี้ อีกอย่างต่อให้นางได้ยินเสียง ก็ไม่มีทางจะเดินเข้าไปถามอย่างกระตือรือร้นว่าอวี้ถังต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
เห็นชัดว่าที่ซวงเถาติดตามนางไปจวนสกุลเผยครั้งนี้ นับว่าได้พัฒนาขึ้นกว่าเดิมแล้ว
อวี้ถังเม้มปากยิ้ม ปล่อยให้ซวงเถาเข้ามาช่วยล้างหน้าหวีผม
คนสกุลเฉินแวะมาหานาง
ตอนที่นางมาหาในมือยังถือกล่องไม้แกะสลักลงรักสีแดงเอาไว้ ตอนที่เห็นอวี้ถังก็ทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “อาถัง รายการของขวัญจากสกุลเผยเจ้าอ่านละเอียดดีแล้วหรือไม่? เมื่อครู่ข้ากำลังตรวจสอบสิ่งของที่สกุลเผยส่งมาให้ แล้วเจอกับกล่องนี้เข้า” พูดจบ นางก็เปิดกล่องออก
สีทองประกายวิบวับ ทิ่มแทงจนคนแทบลืมตาไม่ขึ้น
“เป็นเครื่องประดับทอง” คนสกุลเฉินเอ่ยต่ออย่างกังวล “ข้ากับบิดาเจ้าลองประเมินดูคร่าวๆ อย่างไรก็น่าจะหนักถึงสองสามจิน นี่ออกจะสูงค่าเกินไป! เจ้ารับมาได้อย่างไรหึ?”
อวี้ถังก็ตื่นตะลึงเช่นกัน นางลุกขึ้นไปรับกล่องนั้นมาสำรวจดูอย่างละเอียด “ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ ตอนนั้นรายการของขวัญจากสกุเผยอยู่ในซอง กระทั่งตอนข้าไปบอกลาท่านแม่เฒ่าก่อนกลับผู้ดูแลถึงมอบให้ข้า ข้าจะกล้าตรวจสอบรายการของขวัญว่ามีอะไรบ้างต่อหน้าคนสกุลเผยได้อย่างไร? ภายหลังเพราะรีบร้อนกลับบ้าน คิดว่าอย่างไรของก็รับมาแล้ว ต่อไปค่อยส่งคืนให้สมน้ำสมเนื้อกันก็จบเรื่อง จึงไม่ได้เปิดรายการของขวัญอ่านเลยเจ้าค่ะ”
ในกล่องนั้นเป็นเครื่องประดับผมหนึ่งชุด นอกจากหวีเกล้าผม ปิ่นปักผมเป็นต้นแล้ว ยังมีปิ่นบุปผา ล้วนแต่เป็นทองทั้งสิ้น อย่างอื่นยังไม่พูดถึง แค่ปิ่นบุปผาคู่นั้น ขนาดประมาณปากถ้วยชา ทำเป็นรูปดอกโบตั๋น ถือกะน้ำหนักได้ประมาณหนึ่งถึงสองเหลี่ยง[1] กลีบดอกบางเหมือนกระดาษ ซ้อนทับเป็นชั้นๆ ฝีมือประณีตอย่างมาก ไม่มีทางที่ร้านเครื่องทองทั่วๆ ไปจะสามารถทำออกมาได้แน่
นี่ไม่ใช่เรื่องว่าเป็นทองน้ำหนักเท่าไรแล้ว แต่ต้องคิดว่านี่มันต้องจ่ายสักกี่ตำลึงกัน
มิน่ามารดานางจึงร้อนรนไปหมด
นางเองก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ท่านพ่อว่าอย่างไรเจ้าคะ?” เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มารดาไม่มีทางไม่ปรึกษากับบิดาเป็นแน่
คนสกุลเฉินตอบอย่างจนใจว่า “เจ้ายังหวังให้บิดาเจ้าพูดอะไรอีก! เขาเอาแต่บอกว่า ‘วันเวลาข้างหน้าอีกยาวไกล’ แต่พวกเราจะเอาอะไรไปตอบแทนของขวัญของสกุลเผยเล่า? อย่างไรข้าก็บอกเรื่องนี้กับเขาแล้ว ผ่านไปสักหลายวันข้าจะพาเจ้าไปคารวะท่านแม่เฒ่าที่สกุลเผย ส่วนจะมอบของขวัญอะไร ก็ให้บิดาเจ้าไปปวดหัวคิดเอาเสียบ้าง”
อวี้ถังหัวเราะชอบใจ คิดถึงท่าทางเกาหูคิดหนทางไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี
คนสกุลเฉินเก็บกล่องนั้นเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าช่วยเจ้าเก็บไว้ให้ก่อน ของดีขนาดนี้ ต้องเก็บไว้เป็นสินเดิมให้เจ้า” พูดจบ คนสกุลเฉินก็ร้อง “ไอหยา” เสียงหนึ่ง “ดูความจำข้าสิ! ญาติผู้พี่เจ้าส่งคนมาถามแต่เช้าว่าตื่นแล้วหรือยัง บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า รอเจ้าตื่นแล้ว ให้ข้าส่งคนไปบอกเขาสักคำ…ข้ากลับลืมหมดเสียนี่ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกญาติผู้พี่เจ้าหน่อย แล้วฝากความไปบอกด้วยว่า เชิญท่านลุงใหญ่ ป้าสะใภ้กับพี่สะใภ้เจ้ามากินข้าวเย็นด้วยกัน กว่าเจ้าจะกลับมาได้ทั้งที นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกให้ชัดเจนนัก”
อวี้ถังพยักหน้ารัวเร็ว
นางก็มีเรื่องอยากถามป้าสะใภ้อยู่พอดี
สกุลสามีของญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้คล้ายจะนามสกุลเจิง มุมปากนางมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง แต่ตนถามคนที่อารามดับทุกข์ตั้งหลายคนแล้ว กลับไม่มีใครรู้จักหญิงผู้นี้เลย ทั้งเมื่อวานนางก็พูดถึงอารามดับทุกข์ ทว่าป้าสะใภ้ก็ไม่เห็นพูดถึงว่านางมีญาติผู้พี่อยู่ที่นั่นด้วย
หรือว่านางจำผิด?
ญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้เคยพูดว่า นางถูกครอบครัวของสามีหย่าทิ้งเพราะบุตรชายล้มป่วยจนตาย หากว่าตอนนี้นางยังไม่ได้เข้าไปอยู่ที่อารามดับทุกข์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าบุตรชายคนนั้นของนางอาจยังพอมีทางรอด?
อวี้ถังค่อนข้างจะร้อนใจ
โชคดีที่ป้าสะใภ้มาถึงค่อนข้างเร็ว
นางทิ้งพี่สะใภ้ไว้กับมารดาอย่างไม่เหลียวแล ให้มารดาของตนอยู่คุยเป็นเพื่อนนาง จากนั้นก็ลากป้าสะใภ้ไปแอบคุยที่ด้านข้าง ถามถึงเรื่องคนสกุลเจิง
ป้าสะใภ้ทำหน้างุนงง “ข้ามีญาติผู้พี่ที่แต่งให้สกุลเจิงจริง แต่สิบปีก่อนก็ตายไปเพราะคลอดยาก นางไม่มีทางไปออกบวชหรือนั่งบำเพ็ญภาวนาที่อารามดับทุกข์แน่! เจ้าจำผิดหรือเปล่าน่ะ? อีกอย่าง ข้าน่าจะไม่เคยพูดเรื่องญาติผู้พี่คนนี้ของข้าให้เจ้าฟัง หากว่าเจ้าไม่ถาม ข้าก็แทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว?”
อวี้ถังมึนงงไปหมด
นางถามว่า “แล้วญาติผู้พี่คนนั้นของท่านที่แต่งให้สกุลเจิงมาจากสกุลใดเจ้าคะ?”
“สกุลจาง” คนสกุลหวังตอบ “ข้ามีญาติผู้พี่เพียงคนเดียว”
อวี้ถังเอ่ยว่า “แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจมีใครสักคนจากสกุลเจิง เพราะไม่ต้องการให้คนสนใจเรื่องนาง ถึงได้บอกกับข้าว่าเป็นญาติผู้พี่ของท่าน?”
“ก็อาจเป็นไปได้” ป้าสะใภ้นิ่งคิด “หากว่าเป็นเช่นนั้น ข้าว่าให้คนลองไปสืบดูหน่อยดีกว่า ไม่แน่อาจรู้เรื่องอื่นเพิ่มก็เป็นได้ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็คงต้องช่วยกันไป”
อวี้ถังพยักหน้าเห็นด้วย ป้าสะใภ้ก็ถามเรื่องอารามดับทุกข์ขึ้นมาว่า “จากที่เจ้าเล่า เหล่าสตรีสกุลเผยคิดจะช่วยคนที่อาศัยในอารามให้หาเลี้ยงตนเองได้รึ? ข้าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีมาก หากมีเรื่องใดที่ข้ากับมารดาเจ้าพอจะช่วยได้ เจ้าก็บอกมาได้เลย แม่นางน้อยอย่างพวกเจ้าคงไม่รู้หรอกว่ามีหญิงที่แต่งงานแล้วมากเพียงใดต้องอยู่อย่างทุกข์ทน แล้วถูกขับไล่ออกมา เดิมก็ไม่มีหนทางเอาชีวิตรอด หากเรื่องที่อารามดับทุกข์สามารถทำให้สำเร็จได้จริง เจ้านับว่าช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากครั้งใหญ่เลยทีเดียวนะ!”
“หากไม่มีเหล่าสตรีสกุลเผย ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร” อวี้ถังเอ่ยถ่อมตัวกับป้าสะใภ้ ในใจกลับร้อนรนเรื่องบุตรชายสกุลเจิงของหญิงผู้นั้น จึงเร่งให้ป้าสะใภ้รีบส่งคนไปสืบความที่เรือนสกุลเจิง
ป้าสะใภ้เรียกหวังซื่อเข้ามา
อวี้ถังอ้าปากตกใจ
ป้าสะใภ้หัวเราะเอ่ยว่า “ช่วงที่เจ้าไม่อยู่บ้าน หวังซื่อช่วยงานได้ไม่น้อย ท่านลุงใหญ่เจ้าคิดจะรับเขาไว้เป็นศิษย์แล้วด้วย!”
เช่นนี้ เขาก็จะกลายเป็นคนของสกุลอวี้ตลอดไป
อวี้ถังมองมือเท้าที่ท่าทางคล่องแคล่ว ดวงตาทอประกายฉลาดเฉลียว คล้ายเป็นคนละคนกับหวังซื่อที่เพิ่งมาถึงตอนแรก
บางทีการรั้งตัวเขาไว้ที่เรือนสกุลอวี้อาจเป็นเรื่องดีก็ได้
สกุลอวี้ยังขาดคนที่คอยทำงานให้อยู่
อวี้ถังยิ้มรับแล้วเอ่ยทักทายเขา
เขาคารวะอวี้ถังอย่างนอบน้อม ตอบรับคำสั่งแล้วจากไป
ผ่านไปพักหนึ่ง อวี้หย่วนก็มาถึง
เขามาคุยกับอวี้ถังเรื่องกิจการที่ร้านเครื่องลงรัก “ภาพที่คุณชายจางวาดได้รับความนิยมล้นหลาม แค่ไม่กี่วัน ก็ขายได้เกือบสามสิบตำลึงแล้ว ข้าน่ะคิดว่า สองสามวันนี้เจ้าไปที่สกุลจางด้วยตนเองสักครั้ง การค้านี้แต่แรกก็เป็นเจ้าที่ไปเจรจากับภรรยาของคุณชายจาง ข้าว่าเรื่องนี้มอบหมายให้เจ้าคงดีกว่า หากโน้มน้าวคุณชายจางให้วาดแบบภาพเพิ่มได้สักหลายรูป เช่นนั้นก็คงประเสริฐยิ่ง”
อวี้ถังยังจะทำอะไรได้อีก? นางได้แต่ตอบตกลงไป แต่ก็ขอร้องให้อวี้หย่วนช่วยนางเรื่องหนึ่ง คือให้เขาทำกล่องแกะสลักลงรักสีแดงที่เหมาะสมกับคุณหนูรองสกุลเผยให้สักกล่อง นางจะมอบให้เป็นสินเดิมแก่คุณหนูรองสกุลเผย “เจ้าลองคิดดู สกุลเผยกับสกุลหยางเกี่ยวดองกัน ตอนที่แสดงสินเดิมย่อมมีคนมากมายมาเป็นสักขีพยานแน่ หากว่าเครื่องลงรักของสกุลเราทำให้คนพวกนั้นถูกตาต้องใจได้ ย่อมจะเพิ่มลูกค้าให้กับร้านเราได้อย่างแน่นอน”
อวี้หย่วนเห็นด้วยกับวิธีของนาง ทั้งยังยอมรับอีกว่า ไม่ว่าโอกาสนั้นจะเป็นเช่นไร ขอเพียงแค่มีโอกาสเข้ามา ก็ควรลงมือลองทำ สมควรจะคว้ามันเอาไว้
เขาตอบว่า “เรื่องนี้เจ้ามอบให้ข้าดูแลได้ ข้าจะทำออกมาสักหลายแบบ ถึงเวลานั้นค่อยให้เจ้าเลือก จะต้องทำสักชิ้นออกมาให้ถูกใจคุณหนูรองสกุลเผยได้แน่ๆ” จากนั้นเขาก็พูดเรื่องไร่นาและเรือกสวนของสกุลอวี้ที่ปลูกต้นซาจี๋เอาไว้ “หวังซื่อเป็นคนใส่ใจอย่างหาได้ยาก ต้นไม้พวกนั้นถึงรอดมาได้ ปีหน้าจะต้องเติบโตได้ดีกว่านี้แน่ สามารถหาต้นอ่อนพันธุ์อื่นมาปลูกเพิ่มได้อีก เรื่องที่เกี่ยวกับต้นอ่อนนั้น ถึงเวลาพวกเราค่อยไปถามความเห็นของอารองอีกที”
สองพี่น้องเอาแต่คุยเรื่องแผนการในอนาคตเป็นนานสองนาน อวี้ป๋อก็กลับมาจากร้านค้าแล้วเช่นกัน
สองคนย้ายไปที่ห้องโถงหลัก สมาชิกทุกคนกินข้าวมื้อใหญ่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน
สองสามวันต่อมาอวี้ถังยุ่งวุ่นวายเสียจนคิดว่าตนเองเป็นลูกข่างที่หยุดหมุนไม่ได้เสียแล้ว
นางเริ่มจากการไปเยี่ยมจางฉิงตัวน้อยที่เรือนสกุลจาง ถามเป็นนัยๆ ว่าคุณชายจางสามารถวาดแบบภาพให้สกุลนางต่ออีกสักหลายแผ่นได้หรือไม่ หม่าซิ่วเหนียงตอบปฏิเสธนางอย่างลำบากใจ อวี้ถังเดิมเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แม้จะค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็ยังทำใจรับได้ จากนั้นนางก็กลับไปบ้านเก่าเพื่อดูพวกต้นซาจี๋ ผลก็เหมือนกับที่ญาติผู้พี่ของนางพูดเอาไว้ มันเติบโตเป็นอย่างดี หวังซื่อกับคนดูแลสวนล้วนทุ่มเทจิตใจเต็มที่ อวี้ถังตกรางวัลคนดูแลสวนเป็นเงินหนึ่งตำลึง ส่วนหวังซื่อนั้น รอเขากลับมาจากสกุลสามีของญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้แล้วค่อยตกรางวัลให้ แน่นอนว่า เทียบกับคนดูแลสวน อวี้ถังย่อมให้เขามากกว่าอีกหนึ่งตำลึง
เขารับเงินแล้วขอบคุณอวี้ถังซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นก็รายงานเรื่องที่ให้ไปสืบว่า “ญาติผู้พี่ของนายหญิงใหญ่คนนั้นมีน้องสาวสามีอยู่คนหนึ่ง อายุพวกนางไล่เลี่ยกัน ทั้งสองแต่งให้สกุลที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หน้าหลังคร่อมด้วยสวนป่าผืนหนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนที่ท่านเล่า บนปากนางมีไฝหนึ่งเม็ด ทว่า นางแต่งเข้าสกุลสามีก็ให้กำเนิดบุตรสาวติดกันถึงห้าคน ไม่มีสักคนเป็นลูกชาย ตอนนี้นางยังอาศัยอยู่ที่เรือนสกุลสามี ข้าก็ไม่รู้ว่าใช่คนผู้นั้นที่ท่านต้องการสืบหรือไม่”
————————————————————-
[1]เหลี่ยง คือ หน่วยวัดน้ำหนักจีน 1 เหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม