ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 16 แม่นาง
อวี้ถังตั้งใจฟังที่หม่าซิ่วเหนียงพูดอย่างใจจดใจจ่อ พลันมีคนเดินเข้ามาทักทายคนสกุลเฉิน “เจ้าเป็นแขกที่หาตัวจับยากนัก! วันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีทางก้าวออกจากประตูแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมาคารวะศพท่านผู้เฒ่าด้วย”
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าซิ่วไฉต่างลุกขึ้นยืน ทักทายผู้มาเยือนอย่างเกรงใจว่า “นายหญิงทัง ท่านก็มาคารวะศพท่านผู้เฒ่าด้วยหรือ!”
อวี้ถังเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงหน้าของสตรีที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง
สายตาของนางเย็นเยียบ
ภรรยาของทังซิ่วไฉ ‘นายหญิงทัง’
นางคือคนที่ชาติก่อนได้รับการไหว้วานจากสกุลหลี่ให้มาเจรจากับนางลับๆ หากว่านางตอบรับงานมงคลกับสกุลหลี่ สกุลหลี่ก็ยินดีให้สกุลอวี้หยิบยืมเงินห้าพันตำลึง
ชาติก่อน นางนับถือนายหญิงทังว่าเป็นผู้มีพระคุณ คิดว่านางช่างมีน้ำใจและจริงใจยิ่ง
ต่อมาพอเริ่มรู้อะไรมากขึ้น นางถึงคิดได้ว่า ที่นายหญิงทังผู้นี้สามารถข้ามหน้าป้าสะใภ้แล้วมายุยงให้แม่นางน้อยอย่างนางตอบรับงานมงคลกับสกุลหลี่อย่างลับๆ ได้ ย่อมเป็นคนใจคอเลวทราม ยากแท้หยั่งถึง และมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงต่างหาก
นายหญิงทังทักทายคนสกุลเฉินและนายหญิงหม่ากลับตามมารยาท นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับตรงหางตาที่ไม่ได้มีน้ำตาสักหยด เอ่ยพร้อมสีหน้าเจือความเจ็บปวดว่า “ถูกต้องแล้ว! การจากไปของท่านผู้เฒ่า ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของเมืองหลินอันของพวกเรา! ฮูหยินจวนผู้ตรวจการก็มาด้วย ก็นี่แหละ ข้านั่งพักผ่อนเป็นเพื่อนนางอยู่ที่เรือนทางโน้นตลอด ไม่ได้สังเกตว่าพวกเจ้าก็มาด้วย”
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าไม่ค่อยอยากเสวนาพาทีกับนายหญิงทังผู้นี้มากนัก ความจริงก็เพราะนายหญิงทังผู้นี้ไม่เพียงชมชอบออกงานพบปะ ปีนป่ายเกาะพวกชนชั้นสูง ทั้งชอบคุยโวโอ้อวดอีกด้วย
ท่านข้าหลวงทังกับทังซิ่วไฉมีชื่อสกุลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ถึงยอมให้ท่านข้าหลวงทังที่อ่อนกว่าทังซิ่วไฉถึงสองปีเป็นท่านลุงร่วมสกุลของถังซิ่วไฉไปได้ นายหญิงทังผู้นี้ก็ตามประจบประแจงฮูหยินทังภรรยาของข้าหลวงทังทั้งวี่วัน กระตือรือร้นจนบางครั้งก็ทำให้ฮูหยินทังเองก็รับมือไม่ไหว
เมื่อได้ยินนางเริ่มต้นคุยโว คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าที่ไม่ค่อยชอบนางก็ถามคำตอบคำไปไม่กี่ประโยค เตรียมจะไล่นางให้จากไป
ใครจะคิดว่าคนที่ปกติเมื่อฮูหยินทังอยู่ในสายตาแล้วจะมองไม่เห็นหัวใครอีกอย่างนายหญิงทัง วันนี้คล้ายว่ากินยาผิดขนาน ไม่เพียงไม่ยอมจากไป ยังยิ้มหยดย้อยพลางสำรวจอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงไปด้วย เอ่ยว่า “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน แม่นางน้อยอวี้กับแม่นางน้อยหม่าล้วนโตเป็นสาวกันแล้ว ทั้งงดงามและอ่อนหวาน หากว่าเจอกันบนถนน ข้าไม่มีทางจำได้แน่”
คนสกุลเฉินกับนายหญิงทังจึงต้องให้บุตรสาวของตนออกมาคารวะนายหญิงทัง แล้วพูดถ่อมตนไปสองสามคำ
ราวกับว่านายหญิงทังมองไม่เห็นการสนทนาแบบขอไปทีของคนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่า ยังเอ่ยอย่างสนิทสนมว่า “ข้าถึงได้พูดกับฮูหยินทังอย่างไรเล่า นายหญิงซิ่วไฉทั่วทั้งเมืองก็มีแต่พวกเจ้าสองคนนี่แหละที่มีคุณธรรมเพียบพร้อมกว่าใคร ในเรือนมีแม่นางน้อยที่งดงามเพียงนี้ยังไม่ยอมให้ผู้คนได้ยลโฉมบ้าง หากว่าข้ามีบุตรสาวที่เป็นหน้าเป็นตาเช่นนี้คงพาเดินอวดไปทั่วเมืองแล้ว”
สองคนไม่อยากเสวนากับนางมาก จึงได้แต่อือออตอบกลับ
ไม่รู้ว่าอวี้ถังคิดมากไปเองหรือไม่ นางรู้สึกว่านายหญิงทังกำลังมองสำรวจนางกับหม่าซิ่วเหนียง ทั้งให้ความสนใจกับนางมากเป็นพิเศษ
นางเบี่ยงตัวไปหลบอยู่หลังมารดาอย่างเงียบๆ
นายหญิงทังหัวเราะพลางดึงมือหม่าซิ่วเหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ มาจับไว้ เอ่ยถามนายหญิงหม่าว่า “ข้าจำได้ว่าแม่นางน้อยเรือนเจ้าปักปิ่นไปเมื่อเดือนสามปีก่อน หมั้นหมายแล้วหรือยังเล่า? พวกเรามีคุณหนูที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่อาจยกให้ใครไปง่ายๆ”
หม่าซิ่วเหนียงเขินอายจนก้มหน้างุดๆ
นายหญิงหม่ากลับเริ่มขมวดคิ้ว
ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ นายหญิงทังกลับพูดเรื่องงานมงคลของหม่าซิ่วเหนียงต่อหน้าเจ้าตัวอย่างตรงไปตรงมา นี่เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง
นายหญิงหม่าพูดอย่างไม่พอใจว่า “นายหญิงทังจำผิดแล้ว ปักปิ่นเดือนสามเป็นแม่นางน้อยสกุลอวี้ บุตรสาวข้าปักปิ่นตอนเดือนห้า”
“ไอหยา! ดูความจำของข้าสิ!” นายหญิงทังหัวเราะ มองไปทางคนสกุลเฉินแม่ลูก เอ่ยว่า “แม่นางอวี้มีคุยเรื่องหมั้นหมายแล้วหรือไม่? อยากให้ข้าช่วยดูให้ไหมเล่า เจ้าลองเดาดูสิว่าเมื่อครู่ข้าไปเจอใครมา? ฮูหยินหยางที่เป็นพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่สกุลเผยนั่นอย่างไร ฮูหยินหยางหนนี้ไม่ได้มาคนเดียว ยังพาหลานชายของบ้านฝั่งมารดามาด้วย! อีกอย่างข้าได้ยินมาว่า สามีของฮูหยินหยางเป็นถึงทงเจิ้งสื่ออยู่ที่สำนักทงเจิ้งเชียวนะ! ซ้ำเป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ไม่อย่างนั้นฮูหยินหยางคงไม่คอยอยู่ที่โน่นเป็นเพื่อนหรอก!”
วาจานี้หมายความว่าอย่างไร?
ฮูหยินหยางพาใครมาด้วยแล้วเกี่ยวอะไรกับอวี้ถังเล่า?
คิดจะใช้บารมีของสกุลหยางมาหลอกล่อสกุลอวี้อย่างนั้นรึ?
คนสกุลเฉินเริ่มโกรธ น้ำเสียงที่ตอบไปจึงแข็งทื่อ “ไม่ต้องรบกวนนายหญิงทังให้เสียเวลาหรอก อวี้ถังของเราจะเก็บไว้เตรียมรับเขยชายแล้ว”
นายหญิงทังตะลึงไป
ร่างกายผอมบางของคนสกุลเฉินบังอยู่เบื้องหน้าอวี้ถัง ไม่มีขยับเลยสักนิด
นายหญิงทังฝืนยิ้มส่งให้ทีหนึ่ง บอกว่า “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ขอไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินทังก่อน รอมีเวลาจะไปเยี่ยมที่เรือนพวกเจ้า”
“ข้าไม่ส่งแล้วกัน!” คนสกุลเฉินเอ่ยเสียงเบา
นายหญิงทังจากไปพร้อมความขุ่นเคือง
นายหญิงหม่าถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะพูดถึงนายหญิงทังด้วยความนึกรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง “ยังดีที่นางรู้ตัวจากไปเอง ถ้ายังพูดมากอีกสองคำ ข้าคงหมดความอดทนแล้ว” พูดจบก็เรียกอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงให้มานั่ง แล้วทำหน้าเข้มงวดใส่พวกนาง “เป็นสตรี ต่อไปถ้าเรื่องเจอแบบนี้อีกก็ไม่ควรฟังไม่ควรถาม ให้เดินหลบไปเสีย รู้หรือไม่?”
หม่าซิ่วเหนียงร้องออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า “ข้าก็ไม่ได้อยากฟัง…”
“ผู้ใหญ่กำลังพูดเด็กต้องหยุดฟัง” นายหญิงหม่าไม่รอให้นางพูดจบก็ตัดบททันที จากนั้นก็ไม่สนใจบุตรสาว หมุนตัวไปคุยกับคนสกุลเฉินต่อว่า “เจ้าว่านายหญิงทังผู้นี้คิดอะไรอยู่? ฮูหยินทังก็ดี ฮูหยินหยางก็ดี สกุลผู้อื่นจะโดดเด่นเพียงไรก็เป็นเรื่องของสกุลอื่น นางเที่ยวแต่จะป่ายปีนเกี่ยวเกาะแบบนี้ ไม่เห็นว่าจะได้ดิบได้ดีอะไร!”
ได้ดี?!
อวี้ถังชะงักไป
คนสกุลเฉินเข้าร่วมวง แล้วเริ่มวิจารณ์นายหญิงทังกับนายหญิงหม่าเสียงเบา หม่าซิ่วเหนียงก็ลากอวี้ถังมากระซิบกระซาบว่า “ข้าจะบอกให้ มีคนมาทาบทามเรื่องหมั้นหมายที่เรือนข้าแล้ว แต่ว่าสกุลโน้นไม่มีมารดา ในเรือนยังมีน้องสาวน้องชายอีกหลายคน ท่านแม่ข้ากำลังลังเลอยู่ จึงยังไม่ได้พูดออกไป”
หมั้นหมาย?
ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มหมั้นหมายหรือ?
เป็นถงเซิงสกุลจางเหมือนกับชาติก่อนหรือไม่?
อวี้ถังถูกคำพูดของหม่าซิ่วเหนียงดึงดูดความสนใจไป จึงไม่มีกะใจครุ่นคิดคำพูดของนายหญิงทัง หันไปถามหม่าซิ่วเหนียงเรื่องคนที่มาขอหมั้นหมายด้วยความอยากรู้
หม่าซิ่วเหนียงตอบอย่างเขินอายแต่ก็อดจะอวดๆ ไม่ได้ว่า “เป็นศิษย์พี่จางที่ศึกษาเล่าเรียนกับท่านพ่อข้า คนก็ดียิ่งนัก ซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบ แต่ไรก็ไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นดื่มสุรากับคนพวกนั้น ทั้งยังหมั่นเพียรศึกษา ท่านพ่อข้าพูดแล้วว่า อย่างไรเขาก็น่าจะสอบเป็นซิ่วไฉได้ หากว่าตกลงเรื่องหมั้นหมายเรียบร้อย เกรงว่าต้องรีบจัดงานแต่งทันที”
อวี้ถังฟังแล้วในใจก็รู้สึกผิด
ชาติก่อน หม่าซิ่วเหนียงดูแลนางเป็นอย่างดี นางจมดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียทั้งบิดาและมารดาไป จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจหม่าซิ่วเหนียงมากนัก หม่าซิ่วเหนียงหมั้นหมายกับจางถงเซิงตอนไหน แต่งงานออกไปเมื่อไรล้วนไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น หากมิใช่กำไลเงินหนักห้าตำลึงนั่น เกรงว่านางคงไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับหม่าซิ่วเหนียงอีกแล้ว
นางปฏิบัติต่อหม่าซิ่วเหนียงได้ไม่เท่ากับที่ความจริงใจที่หม่าซิ่วเหนียงมีให้ต่อนางเลย
“เจ้าจะต้องมีความสุขแน่!” อวี้ถังไม่รู้เลยว่าหลังแต่งออกไปนางมีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง จึงได้แต่มอบคำอวยพรอันจืดชืดให้นาง
หม่าซิ่วเหนียงกลับพยักหน้ารับอย่างแรง คล้ายว่าคำอวยพรนี้ของอวี้ถังมันมากพอสำหรับนางแล้ว
อวี้ถังบีบมือหม่าซิ่วเหนียงไว้แน่น
เรือนรับรองเริ่มมีอาหารมาขึ้นโต๊ะแล้ว
อวี้ถังนึกไปถึงคนสกุลหลิน แม่สามีในชาติก่อนของนาง
พ่อสามีเมื่อชาติก่อนของนางคือหลี่อี้ ตอนนี้รับตำแหน่งเป็นท่านข้าหลวงอยู่ที่ซานตง คนสกุลหลินมักจะคุยโตว่าตนเป็นสายเลือดขุนนาง ไม่เห็นสกุลธรรมดาสามัญอยู่ในสายตาสักนิด พวกบุตรสาวของเหล่าซิ่วไฉยิ่งเป็น ‘คนบ้านนอกที่ล้างกลิ่นความจนออกไม่หมด’ ในสายตานาง ปกติเวลาเจอนางก็จะเอาจมูกชี้ขึ้นฟ้า แสร้งทำว่ามองไม่เห็น นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม แม้จะเป็นคนเมืองเดียวกัน แต่อวี้ถังกลับไม่กลัวที่จะบังเอิญเจอนางเลยสักนิด
หากลองกวาดตามองทั่วเมืองหลินอัน ฮูหยินของจิ้นซื่อก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนจริงๆ
ฮูหยินทังกับคนสกุลหลินจึงได้ไปมาหาสู่กัน นับว่ามีความสัมพันธ์ไม่เลว
ในเมื่อฮูหยินหยางมาแล้วก็ต้องมีฮูหยินทังอยู่เป็นเพื่อน คิดว่าคนสกุลหลินก็คงต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่
นายหญิงทังปรี่เข้ามาทักทายพวกนางอย่างงงๆ นางคงไม่ได้ไปเจอกับคนสกุลหลินอย่างงงๆ ด้วยกระมัง?
อวี้ถังก้มหน้าก้มตากินข้าว ตัดสินใจหลบเลี่ยงสตรีสูงศักดิ์พวกนั้น…นางไม่กลัวคนสกุลหลิน แต่นางกลัวตัวเองจะข่มกลั้นไม่ไหวแล้วสาดน้ำชาใส่หน้า สุดท้ายไม่อาจให้คำอธิบายอะไรได้ จนทำให้มารดาของนางต้องขายหน้า
แต่บางเวลา อะไรที่ยิ่งไม่อยากให้เกิด มันก็ดันเกิดขึ้นจนได้
อวี้ถังนั่งกินอาหารเจที่สกุลเผยอย่างว่างเปล่า เบื้องหน้าเห็นว่าแสงแดดยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนหนังตาเริ่มหย่อน คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าพาบุตรสาวเตรียมตัวไปบอกกล่าวลากลับ พอออกจากเรือนรับรอง กลับต้องเผชิญหน้ากับนายหญิงทังและคนสกุลหลินผู้เป็นแม่สามีของนางเมื่อชาติก่อน
คนสกุลหลินยังคงทำให้อวี้ถังรู้สึกรังเกียจได้เหมือนเคย ผมสีดำขลับถูกม้วนขึ้นอย่างบรรจง ติดดอกฉาฮวาสีขาวสองดอก [1] สวมเสื้อตัวบนที่ตัดจากผ้าไหมหังโจวสีฟ้าอ่อน กระโปรงจับจีบสีเข้ม ทำหน้าบอกบุญไม่รับ สีหน้าเคร่งขรึม เจือความเย่อหยิ่งอยู่หลายส่วน
จากที่ไกลๆ อวี้ถังก็รู้สึกได้ว่าสายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ตน รอกระทั่งนายหญิงทังไม่รู้กระซิบอะไรที่ข้างหูจนเสร็จ สายตาที่จับจ้องอวี้ถังอยู่ก็ยิ่งทวีความสนใจมากกว่าเดิม
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
อวี้ถังรู้ตัวว่าตนหน้าตาสะสวย อีกทั้งเพราะสะสวยจึงถูกคนมองบ่อยๆ แต่นางก็ไม่ได้ภาคภูมิใจอะไร ที่คนไร้เมตตาไร้น้ำใจอย่างคนสกุลหลินจะสังเกตเห็นนางหรือถึงขั้นมาสนใจนางเพราะหน้าตาที่สะสวยนี้
ในใจนางพลันมีความคิดบางอย่างแวบผ่าน แต่พอจะคว้าไว้ กลับหายวับไปทันตา
“นายหญิงอวี้ นายหญิงหม่า!” นายหญิงทังหัวเราะเสียงดังแล้วเดินเข้ามาหา เอ่ยว่า “นับว่ามีวาสนาต่อกันจริงๆ” พูดจบ นางก็แนะนำคนสกุลหลินที่อยู่ข้างกายให้คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่ารู้จัก “นี่คือ ‘ฮูหยินหลี่สกุลหลิน’ นางเป็นฮูหยินของใต้เท้าหลี่ที่รับตำแหน่งท่านข้าหลวงอยู่ที่รื่อเจ้า ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง ทั้งเขายังอายุเท่ากับนายท่านรองด้วย”
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง แล้วเอ่ยทักทายพวกนาง
คนสกุลหลินยังมองอวี้ถังอีกหลายที
อวี้ถังตอนนี้มั่นใจแล้วว่าสัญชาตญาณของตนไม่ผิด
นายหญิงทังก็ดี คนสกุลหลินก็ดี ล้วนแต่พุ่งเป้ามาที่นาง
แล้วนางมีอะไรที่มีค่าพอให้พวกนางมาสนใจเล่า?
ตอนนี้หลี่จวิ้นก็ยังไม่เคยเจอนางเสียหน่อย!
คนสกุลหลินทักทายมารดาของอวี้ถังกับนายหญิงหม่าอย่างสง่างาม เอ่ยปากพูดด้วยความสนิทสนมอ่อนโยน “ได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของสองท่านมานานแล้ว บุพเพไม่นำพา ถึงไม่มีโอกาสได้เจอกันเสียที ตอนนี้นับว่ามีวาสนาถึงได้เจอกันในที่สุด”
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าล้วนประสานเสียงบอกว่าไม่กล้ารับ
สายตาของคนสกุลหลินมักจะวนเวียนไปทางอวี้ถังเสมอคล้ายไม่ตั้งใจ
อวี้ถังแสยะยิ้มในใจ ปล่อยให้นางมองตามสบาย
แม้ผิวของนางจะขาวมาก ละเอียดเกลี้ยงเกลาจนไร้ซึ่งตำหนิ ทว่าแก้มสองข้างยังเหมือนเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะมีเนื้อ รูปร่างของนางก็เช่นกัน นุ่มนิ่มละเมียดละไม แม้จะหยดย้อยแต่ก็อวบอิ่ม ไม่เหมือนบุตรสาวจากหลายสกุลในตอนนี้ ที่ยื่นมือออกมาก็เห็นแต่กระดูก ด้วยเหตุนี้คนสกุลหลินถึงนึกรังเกียจว่านางอ้วน คำชมที่ออกมาจึงเหลือแค่ผิวพรรณงดงามเท่านั้น
นางในชาติก่อน มีช่วงเวลาหนึ่งที่รู้สึกต่ำต้อยนัก กินข้าวยังไม่กล้ากินมากเกินไป
กระทั่งพี่สะใภ้ของนางในชาติก่อน ซึ่งก็คือกู้ซีภรรยาของหลี่ตวนบอกว่าอิจฉารูปร่างเช่นนี้ของนางซึ่งเหมาะกับการให้กำเนิดบุตร นางถึงคิดได้ว่าคนสกุลหลินนั้นหากระดูกในไข่ [2] เพราะคิดว่านางทำให้หลี่จวิ้นต้องตาย นึกรังเกียจนางก็เท่านั้นเอง
————————————————————-
[1] ดอกฉาฮวา คือ ดอกคาเมลเลีย
[2] หากระดูกในไข่ หมายถึง พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ
Related