ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 144 ท่านแม่เฒ่า
นั่งลงสนทนากัน?
มีเก้าอี้ให้นั่งเสียที่ไหน?
นั่งบนตั่งนอนไม้รึ?
ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?
ขณะที่อวี้ถังยึกยักลังเล สาวใช้ก็ยกตั่งไม้เตี้ยคล้ายกลองแกะสลักสีแดงพุทราเข้มเข้ามาแล้ว
นางหน้าแดงเล็กน้อย ท่านแม่เฒ่า…ไม่ใช่สิ ท่าทางเช่นนี้ของมารดาเผยเยี่ยน ไม่อาจทำให้นางเชื่อมโยงกับคำว่า ‘ท่านแม่เฒ่า’ ได้เลย แต่จะให้เรียกว่านายหญิงเผยก็ไม่ถูกต้อง จะเรียกว่าฮูหยินเผย ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยมีตำแหน่งเป็นแค่จวี่เหรินเท่านั้น ไม่อาจเรียกว่าฮูหยินได้…ทว่านายท่านใหญ่ตายไปตอนเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมโยธา ผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาเป็นขุนนางขั้นสาม หรือเขาไม่เคยประดับยศให้มารดาของตนหรือ? อย่างน้อยๆ ก็คงเป็นหรู่เหริน[1]ลำดับสี่ได้กระมัง?
อวี้ถังไม่รู้ว่าสีหน้าของตนเองต่อสู้ดิ้นรนเพียงใด นางค่อยงอเข่าลงเล็กน้อย ย่อกายคารวะทีหนึ่ง ก่อนจะนั่งหมิ่นๆ บนตั่งไม้เตี้ย
ท่านแม่เฒ่าเห็นแล้วก็รู้สึกน่าสนใจไม่เลว
คุณหนูอวี้ผู้นี้ แม้อารมณ์ทั้งหมดจะไม่ได้แขวนอยู่บนหน้า แต่คนที่มองออกก็ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
มิน่าสยากวงจึงคิดว่านางน่าสนใจ เห็นว่าตนอยู่คนเดียวก็หม่นหมอง จึงเรียกให้คุณหนูน้อยผู้นี้เข้าจวนมาช่วยนางคลายเหงา
ท่านแม่เฒ่านั่งลงบนตั่งไม้นอน เฉินต้าเหนียงยกน้ำชาและขนมมาให้ด้วยตนเอง
นางยกมือที่ถือถ้วยน้ำชาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าลองชิมดู นี่เป็นชาฤดูใบไม้ร่วงที่ซิ่นหยางทางนั้นส่งมาให้เมื่อหลายวันก่อน ชิมดูว่าชอบหรือไม่?”
อวี้ถังจิบไปอึกหนึ่ง คิดว่ารสชาติเหมือนใบชาทั่วๆ ไป นางนึกไม่ออกว่าเป็นชาชนิดไหน แต่มีรสหวานติดลิ้น กลิ่นหอมสดชื่น น่าจะเป็นชาชั้นดี
อากาศในห้องค่อนข้างร้อน นางจึงดื่มต่ออีกหนึ่งคำ
ท่านแม่เฒ่าเห็นก็หัวเราะ “เป็นอย่างไร? อร่อยหรือไม่?”
แน่นอนว่าต้องอร่อยอยู่แล้ว!
คำพูดของอวี้ถังติดอยู่ตรงริมฝีปาก พลันนึกถึงตอนที่มารดากำชับหนักหนาขึ้นมาได้ ก่อนจะมองราศีที่จับอยู่ทั่วร่างของท่านแม่เฒ่า คิดว่ายังมีสิ่งที่นางไม่รู้อีกมาก หากคิดอวดฉลาดต่อหน้าท่านแม่เฒ่า ก็ต้องพูดออกมาสักหลายประโยค แต่ไม่แน่ว่าจะต่อบทสนทนาหลังจากนั้นได้ ต่อให้โชคดีตอบคำถามได้ แล้วประโยคต่อๆ ไปอีกเล่า?
นางตัดสินใจตอบสิ่งที่คิดไปตามจริง
“อร่อยเจ้าค่ะ” อวี้ถังตอบอย่างเรียบร้อย “มีรสหวานติดปลายลิ้น ไม่รู้ว่าเป็นชาชนิดไหน? ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องใบชาเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าค่อนข้างประหลาดใจ แต่เห็นท่าทีเถรตรงของนางแล้ว ก็ลอบพยักหน้าในใจอยู่ ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ส่งมาจากซิ่นหยาง ก็ย่อมเป็นชาเหมาเจียนแห่งซิ่นหยาง นี่เป็นชาที่เพิ่งเด็ดตอนฤดูใบไม้ร่วง เรียกกันทั่วไปว่าชาชิวลู่”
อวี้ถังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไร
ชาที่ใช้รับแขกในเรือนก็มีแต่พวกหลงจิ่ง ปี้หลัวชุน หลูซานอวิ๋นอู้เทือกๆ นั้น ชาประเภทอื่นนางไม่คุ้นเคย สกุลเผยมั่งคั่ง ลูกหลานรับราชการนับรุ่นสู่รุ่น ย่อมต้องรู้จักไปทั่วว่าพื้นที่ใดมีสินค้าชนิดไหนขึ้นชื่อ อีกทั้งท่านแม่เฒ่าก็เกิดในสกุลสูงศักดิ์ ย่อมมีความรู้กว้างขวางเป็นธรรมดา
ชั่วขณะหนึ่งนางมีใจอยากถามด้วยใฝ่รู้ จึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ซิ่นหยางมีเพียงชาเหมาเจียนหรือเจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่าถูกคำถามทำเอาชะงักไป
ซิ่นหยางผลิตได้เพียงชาเหมาเจียนหรือไม่นั้นนางเองก็ไม่รู้ แต่ชาที่ส่งมาที่สกุลนาง น่าจะมีเพียงเหมาเจียนชนิดเดียวกระมัง?
คุณหนูผู้นี้เจตนาท้าทายนาง? หรือถามเพราะไม่รู้จริงๆ กันแน่?
ท่านแม่เฒ่าจดจ้องอวี้ถังอยู่ครู่หนึ่ง
ดวงตาโตดั่งเมล็ดผลซิ่งสีดำขาว ส่องประกายเฉกดวงดาว วิบวับจับตาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ท่านแม่เฒ่ากระแอมเสียงอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ “เรื่องนี้ต้องไปถามพวกหูซิ่ง ที่ข้าดื่มมาตลอดหลายปีนี้ มีเพียงเหมาเจียนเท่านั้น”
นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว
หากจะส่งมาให้ก็ต้องส่งของที่ดีที่สุดมาอยู่แล้ว
อวี้ถังพยักหน้ารับอย่างตรงไปตรงมา
ท่านแม่เฒ่าคิดว่าหัวข้อสนทนาไม่ควรวนเวียนอยู่กับเรื่องในสกุลตน ไม่เช่นนั้นจะถูกซักไซ้มากเกินไป จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ได้ฟังมาว่าเจ้าทำขนมเก่ง เจ้าเชี่ยวชาญทำขนมประเภทไหนรึ?”
อวี้ถังหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “ท่านแม่ข้าทำขนมเก่งเจ้าค่ะ ข้าแค่ช่วยหยิบจับอยู่ข้างๆ เท่านั้น ไม่กล้ารับคำชมของท่านแม่เฒ่าหรอก”
ท่านแม่เฒ่าชะงักไป “ถั่วตัดกรอบที่ส่งมาคราวก่อนมิใช่ฝีมือเจ้าหรอกรึ? ข้าลองชิมแล้วคิดว่าใช้ได้เลย”
อวี้ถังเริ่มร้อนตัวนิดหน่อย
ถั่วตัดกรอบนางเป็นคนทำก็จริง แต่นางมิใช่คนคิดค้น ก็แค่ชาติที่แล้วนางเคยกินมาก่อน ทั้งได้ฟังวิธีการทำมาจากผู้อื่น ลองผิดลองถูกอยู่นานกว่าจะได้รสมือเช่นตอนนี้
“ถั่วตัดกรอบนั่นข้าเป็นคนทำเองเจ้าค่ะ” ดวงหน้านางซับสีเลือด “แต่ตอนคุมไฟ เป็นมารดาคอยช่วยดูอยู่ข้างๆ เจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าค่อนข้างผิดหวังไม่น้อย
นางเรียกคนมามิใช่เพราะต้องการกินขนมถั่วตัดกรอบไม่กี่ชิ้น ต้องรู้ไว้ว่า นางไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ ขอเพียงเปรยเป็นนัยว่าต้องการกินถั่วตัดกรอบ ย่อมมีคนมากมายคิดประจบประแจง ส่งขนมมาให้พร้อมขอนางให้ลองชิม ที่นางตั้งใจอยากเจออวี้ถัง หนึ่งเพราะบุตรชายยุยงหว่านล้อม นางไม่อยากหักหน้าบุตรชายและต้องการให้เขาสงบใจเสียที สองเพราะนับแต่นางลงจากตำแหน่งภรรยาใหญ่ของสกุลหลัก นางก็อยู่เพียงลำพังที่เรือนเหอหมิง แม้วันเวลาจะผ่านไปอย่างเงียบสงบ แต่นางก็ยังไม่คุ้นชินเท่าไรนัก อยากจะหาใครสักคนมาคุยเล่นด้วย แต่วันนี้พอได้เจอคุณหนูอวี้ กลับพบว่านอกจากดวงหน้าที่เลอโฉมของคุณหนูอวี้แล้ว ไม่ว่าวาจาหรือกิริยาล้วนแต่ไม่มีอะไรโดดเด่นให้คนตื่นตาตื่นใจได้เลย
เช่นนั้นก็ดื่มชาสักถ้วย ให้รางวัลเล็กน้อย แล้วสั่งคนส่งกลับก็พอแล้ว
ท่านแม่เฒ่าใคร่ครวญ ก่อนจะชวนคุยด้วยคำถามทั่วๆ ไปทำนองว่าอวี้ถังชอบทำอะไรในเวลาว่าง อ่านตำราไปถึงไหนแล้ว สุขภาพของบิดามารดายังแข็งแรงดีหรือไม่
อวี้ถังตอบแต่ละข้อกลับไปด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้น แผ่กระจายไปทั่วหน้า ช่างอ่อนหวานเพริศพริ้งเหนือใคร
ยิ่งพิศก็ยิ่งน่ามอง
แม่นางน้อยหลายๆ คนในจวนต่างก็เทียบชั้นไม่ติดเลยจริงๆ
ในบรรดาญาติที่เกี่ยวดองกัน ก็นับว่าเป็นอันดับหนึ่งได้
แต่โฉมงามหาได้ทั่วไป หญิงสาวที่มีสติปัญญากลับมิใช่จะพบเจอได้ง่ายๆ
ท่านแม่เฒ่าคลี่ยิ้มบางๆ คิดว่าอย่างไรก็เป็นคนที่บุตรชายแนะนำมาให้ ย่อมมองหาจุดเด่นสักข้อมาเยินยอนาง ให้คุณหนูอวี้มีหน้ามีตาต่อหน้าสาวรับใช้สักหน่อย ภายภาคหน้าเมื่อมาเยือนสกุลเผยคนจะได้มองนางด้วยสายตาที่สูงขึ้น
นางเห็นแวบเดียวก็สะดุดตากับดอกไม้ผ้าจางหรง[2]รูปดอกบัวแฝดบนผมอวี้ถังทันที
“ดอกไม้นั่นประณีตไม่เลว” ท่านแม่เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ซื้อมาจากซูโจวกระมัง? หรือว่าเมืองหลินอันตอนนี้ก็ขายดอกไม้ผ้าแบบซูโจวแล้ว?”
อวี้ถังยกมือลูบดอกไม้ผ้าที่ติดอยู่ข้างศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ข้าทำเองเจ้าค่ะ ทว่าเลียบแบบรูปทรงของซูโจว ท่านแม่เฒ่าสายตาแหลมคมยิ่งนัก”
“อ้อ!” ท่านแม่เฒ่าพลันเกิดความสนใจทันที “คิดไม่ถึงว่าฝีมือจะประณีตเพียงนี้”
นางเองแค่ปักผ้าเช็ดหน้ายังปักให้ดีไม่ได้ จึงค่อนข้างชมชอบหญิงสาวที่ฝีมือทางด้านนี้เป็นพิเศษ
อวี้ถังเอ่ยอย่างกระดากว่า “ไม่นับว่ามีฝีมือหรอกเจ้าค่ะ แค่หาอะไรทำเล่นๆ ตอนช่วงว่างก็เท่านั้น” พูดจบก็ลองหยั่งเชิงว่า “ถ้าท่านคิดว่าสวยดี ข้าจะกลับไปทำให้สักหลายดอก ไม่รู้ว่าท่านชอบสีแบบไหน? รูปทรงเช่นไร? ข้ายังทำพวกผึ้งหรือไม่ก็ผีเสื้อได้ด้วย แล้วติดมันไว้บนดอกไม้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะทำแยกมาให้ท่านสักหลายชิ้น สามารถใช้ติดบนเสื้อก็ยังได้ ข้าคิดว่าน่าสนใจไม่เลวเลย”
“เจ้าทำของพวกนี้เป็นอย่างนั้นรึ?” ท่านแม่เฒ่าเอ่ยอย่างแปลกใจ “ติดไว้บนเสื้อ? ติดอย่างไร?”
อวี้ถังอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียด “อย่างเช่นแมลงปอ สามารถทำขนาดให้เท่าตัวจริงของมันได้ จากนั้นก็ใช้ลูกแก้วทำเป็นดวงตา ผ้าโปร่งทำเป็นปีก เย็บติดกับพู่ แล้วใช้เป็นเครื่องประดับเสื้อได้เจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าได้ฟังก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง “นอกจากของพวกนี้แล้ว เจ้ายังทำอะไรเป็นอีก?”
อวี้ถังยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “เครื่องประดับผมข้าทำเป็นเกือบหมด ข้ายังเคยทำผ้าคาดผมที่สลักรูปกุหลาบหินให้มารดาด้วยเจ้าค่ะ”
ผู้เป็นม่ายไม่อาจแต่งตัวเพริศพริ้งจนเกินไป แต่ขอเพียงเป็นคนที่รักสวยรักงาม ไม่มีทางที่จะไม่แต่งตัวสักหน่อยได้หรอก
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ทำดอกไม้ผ้าสีเรียบให้ข้าสักหลายดอกเถอะ อีกสองสามวันก็จะถึงเทศกาลฉงหยาง[3]แล้ว พวกหลานๆ ในสกุลจะมาเยี่ยมคารวะข้า” พูดจบ นางพลันนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ห้าเดือนเก้าแล้ว กลัวจะไม่ทันการ จึงหัวเราะแล้วบอกว่า “ส่งให้ข้าก่อนวันที่หนึ่งเดือนสิบก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นข้ากับสองพี่น้องฉี่หมิงและสยากวงค่อยไปทำพิธีให้บิดาพวกเขาที่วัดเจาหมิงเสียหน่อย”
สิ้นเสียง ดวงตาของนางพลันหม่นแสง แล้วถอนหายใจออกมาเสียงแผ่วเบา
กรอบตาของอวี้ถังเห่อร้อน
คิดถึงตอนนั้น นางกับหลี่จวิ้นไม่ได้มีความรู้สึกต่อกัน ตอนที่นางต้องอยู่เป็นม่ายในสกุลหลี่แล้วคิดถึงหลี่จวิ้นซึ่งมาด่วนจากไป นางเองก็ทอดถอนใจแทนบิดามารดาของหลี่จวิ้นทุกครั้ง ท่านแม่เฒ่าครองคู่กับท่านผู้เฒ่ามาสามสิบกว่าปี มีบุตรชายด้วยกันอีกสามคน บัดนี้พอระลึกถึงสามีที่ตายจากไป ไม่รู้ในใจจะปวดร้าวสักเพียงไหน!
นางรีบโพล่งขึ้นว่า “ตอนข้าว่างก็จะชอบทำดอกไม้ผ้าเจ้าค่ะ ที่เรือนยังมีอีกหลายดอกที่ใกล้เสร็จแล้ว ข้าจะสั่งคนถือมาให้ท่านดูก่อน รอผ่านเทศกาลฉงหยางไป ข้าค่อยทำแบบสวยๆ ให้ท่านอีกสักหลายๆ ดอก”
เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับโอกาสต่างๆ ก่อนหน้านี้อวี้ถังได้ทำดอกเบญจมาศสีเขียวเข้มกับสีชมพูเอาไว้ สีชมพูไม่เหมาะกับกาลเทศะ แต่ท่านแม่เฒ่าน่าจะใช้สีเขียวเข้มได้กระมัง?
นางเอาแต่ใคร่ครวญอยู่เงียบๆ
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยขึ้้นว่า “ถ้าเจ้าไม่มีเวลา ก็ให้บ่าวถือมาก็พอแล้ว แต่ถ้าเจ้าว่างอยู่ ก็ถือดอกไม้ผ้ามานั่งเล่นกับข้าที่นี่ จะได้คุยเล่นเป็นเพื่อนข้าด้วย”
อวี้ถังรับคำอย่างนอบน้อม พลางคิดว่าสยากวงเป็นชื่อรองของเผยเยี่ยน เช่นนั้นฉี่หมิงน่าจะเป็นชื่อรองของนายท่านรองเผยเซวียนกระมัง ไม่รู้ว่าวันที่หนึ่งเดือนสิบพวกเขาจะไปจุดธูปไหว้ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยด้วยหรือไม่?
นางคุยเป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่าอยู่ที่จวนสกุลเผยอีกพักหนึ่ง เห็นว่าหญิงรับใช้เข้ามาแจ้งความเป็นนัยๆ กับท่านแม่เฒ่า จึงรีบลุกขอตัวกลับ
ท่านแม่เฒ่าไม่ได้รั้งนางไว้ บอกนางว่าถ้าทำดอกไม้ผ้าเสร็จแล้วให้ส่งมาที่จวน ทั้งชี้ไปทางจี้ต้าเหนียงแล้วพูดว่า “ต่อไปมีเรื่องอะไรก็ไปหานางได้”
อวี้ถังรับคำด้วยความเคารพ ก่อนจะเดินตามจี้ต้าเหนียงออกจากลานเรือนของท่านแม่เฒ่า
จี้ต้าเหนียงเพิ่งจะแสดงสีหน้ายินดีแล้วเอ่ยกับนางว่า “คุณหนูอวี้ช่างโชคดีนัก ท่านแม่เฒ่าของพวกเราไม่ได้เชิญคุณหนูสกุลใดมาเยือนถึงจวนหลายปีแล้ว ท่านกลับไป อย่าลืมบอกกับมารดาไว้สักคำนะเจ้าคะ”
ต่อไปไม่ว่าอวี้ถังจะทำอะไรล้วนจะมีคนคอยช่วยเหลือแล้ว
เพราะอวี้ถังอาศัยเส้นสายของเผยเยี่ยนจนเคยตัวเสียแล้ว ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้คิดเป็นอื่น นึกว่าจี้ต้าเหนียงเพียงดีใจกับนางที่ทำให้ท่านแม่เฒ่าชื่นชอบได้ก็เท่านั้น จึงส่งยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณจี้ต้าเหนียง ก่อนจะกลับไปเล่าให้มารดาของตนฟัง
คนสกุลเฉินปลื้มปริ่มจนพูดไม่ออก สั่งนางเสียงให้ไปหยิบดอกไม้ผ้าที่ทำเสร็จแล้วออกมา พยายามเลือกสีเรียบง่ายไปส่งที่จวนสกุลเผย ทั้งเชิญคนตัดเสื้อมาถึงเรือน เพื่อเย็บชุดที่สุภาพให้อวี้ถังอีกหลายตัว “ไปเยือนเรือนผู้อื่นครั้งแรก แต่งตัวเป็นทางการหน่อยนับว่าให้เกียรติเขา หากว่าไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม ไปพบท่านแม่เฒ่าไม่ควรสวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดเกินไป”
อวี้ถังรู้สึกว่าท่านแม่เฒ่าก็เหมือนกับเผยเยี่ยน มิใช่คนที่จะใกล้ชิดกับใครง่ายๆ ตนเองนั้นจู่ๆ ก็ได้รับความสนใจเพราะดอกไม้ผ้า ไม่แน่ว่าสักวันอาจถูกเขี่ยทิ้ง คิดว่าไม่จำเป็นต้องตัดเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่คนสกุลเฉินไม่ฟังนาง บอกว่าต่อให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้วท่านแม่เฒ่าหมดความสนใจต่อนาง อย่างน้อยก็มีเสื้อเพิ่มมาอีกหลายตัวให้เปลี่ยนใส่ นับว่าเป็นเรื่องดีวันยังค่ำ
นางไม่เถียงกับมารดาต่อ ขอเพียงมารดาสุขใจก็ใช้ได้แล้ว
อวี้ถังเลือกดอกไม้ผ้าที่รูปทรงสวยออกมาจากกล่องหลายดอก แล้วนำมันเปลี่ยนมาใส่ในกล่องกลมแกะสลักลงรักสีแดง จากนั้นก็เดินทางไปจวนสกุลเผย
————————————————————-
[1]หรู่เหริน หมายถึง ภรรยาของขุนนางที่อยู่ต่ำกว่าขั้นเจ็ดลงไป
[2]จางหรง เป็นผ้าไหมพื้นเมืองของเจียงซู นิยมนำมาตัดเย็บเสื้อผ้า ทำเป็นหมวก หรือใช้ประดับตกแต่ง
[3]เทศกาลฉงหยาง หรือวันผู้สูงอายุ ตรงกับวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน