ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 128 ปิดทอง
หลังจากนั้นอวี้ถังก็ใจลอยอยู่ตลอด จวบจนบ่าย อาเสาก็ยังไม่กลับมา แต่นางต้องกลับเข้าไปในเมืองแล้ว จึงทำได้เพียงถ่ายทอดคำพูดกับปู่ห้า “หากอาเสากลับมาก็บอกว่าพวกเรากลับเรือนก่อนแล้ว ให้เขาอยู่พักที่นี่สักคืนแล้วค่อยกลับไป” ก่อนจะกำชับญาติห่างๆ ผู้นั้นให้ทำอาหารเผื่ออาเสาไว้ด้วย
หลังจากญาติผู้นั้นรับปาก เช็ดมือกับกระโปรงอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้ว อวี้ถังจึงกลับเข้าไปในเมือง
วันถัดมาอาเสาก็กลับมาในช่วงกลางวัน
เขาร้อนจนเหงื่อไหลชุ่มหน้า ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ พลางเอ่ยกับอวี้ถัง “คุณหนูใหญ่ ข้าสืบอย่างละเอียดแล้ว คนผู้นั้นชื่อเกาฉี เป็นคนป่านเฉียว สกุลเปิดร้านขายของชำ มีน้องชายและน้องสาวหนึ่งคน” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะขึ้นมา “จะว่าไปแล้ว คนผู้นี้ก็มีความข้องเกี่ยวกับสกุลพวกเราเช่นกัน คุณชายสามสกุลเว่ยแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของสกุลพวกเขา แต่ว่า คนผู้นี้ชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าใด ได้ยินว่าตั้งแต่เล็กก็เร่ค้าขายขึ้นเหนือล่องใต้ ปลิ้นปล้อนกลับกลอกอยู่บ้าง คนรอบกายจึงไม่ค่อยชอบเขาเท่าใด”
อวี้ถังตกตะลึง
คาดไม่ถึงว่าชายผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของคนสกุลเกา ภรรยาในชาติก่อนของอวี้หย่วน
ชาติก่อน นางเคยได้ยินว่าคนสกุลเกามีพี่ชายที่มีความสามารถคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพี่ชายที่ว่านี้จึงแตกคอกับบิดา หลังจากออกไปเตร็ดเตร่กับคนอื่นด้านนอกก็ไม่กลับมาอีกเลย ทุกครั้งที่คนสกุลเกาเอ่ยถึงพี่ชายคนนี้ ดวงตาก็จะเปล่งประกาย เห็นอวี้หย่วนก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตา คิดว่าอวี้หย่วนไร้ความสามารถ ด้วยเหตุนี้อวี้หย่วนจึงเจ็บช้ำน้ำใจมิใช่น้อย ครั้งหนึ่งยังเคยร่ำสุราเมามายจนพลัดตกคลอง หากไม่ใช่ว่าถูกคนช่วยไว้ทันเวลา ก็คงจะจมน้ำตายไปแล้ว
อวี้ถังละอายใจอยู่บ้าง คิดว่าตัวเองไม่ใส่ใจพี่ชายเกินไป
นางเอ่ยกับอาเสา “คาดไม่ถึงว่าคนที่พวกเราพบจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายหญิงน้อยสามสกุลเว่ย ข้าก็ว่าไฉนจึงคุ้นหน้าคุ้นตา? อาจจะเป็นเพราะพวกเขาหน้าตาละหม้ายคล้ายกันกระมัง!”
อาเสาหัวเราะแหะๆ
เรื่องนี้จึงปล่อยผ่านไปเช่นนี้
วันนี้อวี้ถังกลับมาจากร้านค้า เห็นผูเถาตรงหลังเรือนบางส่วนสุกแล้ว จึงถือกรรไกรกับตะกร้าใบหนึ่งไปเก็บกับซวงเถา คาดไม่ถึงว่าหม่าซิ่วเหนียงกลับมาเรือนของนางด้วยท้องที่โตโย้เย้
อวี้ถังตกใจอย่างยิ่ง รีบพยุงหม่าซิ่วเหนียงไปนั่งในโถงรับแขก ให้ซวงเถาไปยกต้มถั่วเขียวที่ซาวล้างด้วยน้ำบ่อเข้ามา
ใครจะรู้ว่าหม่าซิ่วเหนียงไม่ทันได้ยื่นมือมารับชาม ก็ถูกคนสกุลเฉินที่เร่งตามเข้ามาขัดไว้ก่อน “พวกเจ้าสองคนสะเพร่าเกินไปจริงๆ หม่าซิ่วเหนียงใกล้คลอดแล้ว ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น เป็นของที่นางสามารถกินได้รึ? ซวงเถา เอาถั่วเขียวต้มให้อาถัง เข้าไปยกน้ำแกงเม็ดบัวเข้ามา”
ซวงเถาตกใจยกใหญ่ แทบจะทำชามตกแตก รีบส่งชามถั่วเขียวต้มให้อวี้ถัง ก่อนจะวิ่งไปห้องครัว
“อาสะใภ้!” หม่าซิ่วเหนียงประคองเอวจะหยัดขึ้นมา
คนสกุลเฉินกลับเดินอย่างรวดเร็วไปอยู่ข้างหม่าซิ่วเหนียง พยุงนางไว้ “เจ้าก็ท้องแก่ขนาดนี้แล้ว ยังจะมาอ่อนน้อมถ่อมตัวอะไรกับอาสะใภ้อีก? รีบนั่งลงเข้า ระวังเอวเคล็ดด้วย” ก่อนจะกำชับอวี้ถัง “เจ้าไปเอาผลไม้แห้งในห้องข้ามาเป็นของว่างให้พี่ซิ่วเหนียงของเจ้าเสียหน่อยเถิด”
อวี้ถังรีบไปนำผลไม้แห้งเข้ามา
คนสกุลเฉินและหม่าซิ่วเหนียงหยัดกายนั่งลงกันแล้ว เอ่ยถึงเรื่องเด็กในครรภ์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผ้าห่มและพวกเสื้อผ้านำไปซักผึ่งแดดแล้วหรือยัง? อาบน้ำต้องใช้ดอกสายน้ำผึ้ง[1] แป้งทาก้นเตรียมไว้ดีแล้วกระมัง?”
หม่าซิ่วเหนียงแย้มยิ้มค่อยๆ ตอบทีละคำถาม
อวี้ถังวางจานผลไม้แห้งลงเบื้องหน้าหม่าซิ่วเหนียง ซวงเถาก็ยกน้ำแกงเม็ดบัวตามเข้ามาเช่นกัน
คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รีบดื่มเสียหน่อยเถิด จะได้มีแรงเดิน”
หม่าซิ่วเหนียงเอ่ยขอบคุณ
คนสกุลเฉินเอ่ยถามจุดประสงค์ที่นางมา “อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าเดินเหินก็ไม่ค่อยสะดวก หากเบื่อหน่าย ให้คนส่งจดหมายมาเรียกอวี้ถังเข้าไปหาก็เพียงพอแล้ว รอเจ้ากำเนิดบุตรแล้ว อุ้มลูกเข้ามาเที่ยวเล่นที่นี่ อวี้ถังจะได้คลายเหงา อุ้มลูกให้เจ้าด้วย”
หม่าซิ่วเหนียงหัวเราะ “อาสะใภ้ ข้าได้ยินข่าวดีมาจึงอดใจไม่ไหวต่างหาก!”
“ข่าวดีอะไรกัน?” อวี้ถังและคนสกุลเฉินพูดพร้อมเพรียงกัน
หม่าซิ่วเหนียงเลิกคิ้ว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข “อาสะใภ้ อาถัง ข้าได้ยินคนพูดกันว่า สกุลกู้และสกุลหลี่ถอนหมั้นแล้ว!”
สกุลกู้และสกุลหลี่?
กู้ซีและหลี่ตวน?
อวี้ถังและคนสกุลเฉินต่างปกปิดความตกใจไว้ไม่ได้
หม่าซิ่วเหนียงหัวเราะร่าอยู่พักใหญ่ “อาสะใภ้และอาถังยังไม่รู้กระมัง? เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ดูท่าจะยังมาไม่ถึงหูของอาสะใภ้และอาถัง แต่นับว่าสกุลหลี่ยังทำบุญมาดี แม้จะถูกสกุลกู้ถอนหมั้น แต่เส้นทางขุนนางของนายท่านหลี่กลับราบรื่น ได้ยินว่ารั้งตัวอยู่ที่เมืองหลวง แม้จะไม่ได้เลื่อนขั้น แต่ก็ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักทงเจิ้ง ยามนี้สกุลพวกเขาดีอกดีใจ ทำให้พวกคนที่อยากใช้เรื่องสกุลกู้ถอนหมั้นมาล้อเลียนพวกเขา ไม่อาจหาเหตุผลมาโจมตีสกุลพวกเขาได้อีกต่อไป ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าคงล่วงรู้ข่าวนี้ตั้งนานแล้ว”
ชาติก่อน หลังจากหลี่อี้รับตำแหน่งที่รื่อเจ้าครบกำหนดก็รั้งตัวอยู่ที่เมืองหลวง แต่ในช่วงเวลาอันสั้นกลับไม่ได้ถูกจัดตำแหน่งอันใด จวบจนหลี่ตวนแต่งงานกับกู้ซี เขาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าสำนักไท่ฉาง[2]หลังจากกู้ซีให้กำเนิดบุตรคนโต เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูงสำนักไท่พู[3]กลายเป็นหนึ่งในขุนนางเสียวจิ่วชิง[4]ยามประชุมราชสำนักก็มีอำนาจในการพูด สกุลหลี่จึงกลายเป็นสกุลขุนนางอย่างแท้จริง
ชาตินี้ สกุลหลี่และสกุลกู้ถอนหมั้น หลี่อี้กลับได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักทงเจิ้งแล้ว
อวี้ถังสงสัยว่าเรื่องภายในนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลกู้
มิเช่นนั้น เหตุใดสกุลหลี่จึงยอมเห็นด้วยกับการถอนหมั้นง่ายๆ?
นางดึงมือหม่าซิ่วเหนียง “สกุลกู้ถอนหมั้นสกุลหลี่ สกุลหลี่ไม่ได้ว่าอะไรรึ?”
หม่าซิ่วเหนียงเบ้ปาก เอ่ยอย่างดูแคลน “สกุลหลี่จะพูดอะไรได้? จะพูดว่าลูกชายของตนถูกสกุลกู้ละทิ้งหรือเอ่ยว่าคุณหนูใหญ่สกุลกู้มีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ? ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างพูดไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงยอมจนใจ บอกกับคนภายนอกว่าดวงชะตาคนทั้งสองไม่สมพงศ์กัน เชิญพระอาจารย์จากวัดเจาหมิงมาแก้หลายต่อหลายครั้งก็แก้ไม่เป็นผล ใกล้จะถึงงานแต่งแล้ว คุณชายใหญ่ลื่นล้มบาดเจ็บ อีกวันออกไปข้างนอกก็ทำม้าตกใจ แต่ละวันผ่านไปอย่างอันตราย ด้านคุณหนูกู้ จู่ๆ ก็เป็นผื่นขึ้น ตั้งแต่แขนลามไปถึงหน้า ภายหลังคุณชายหกกู้หาพระอาจารย์ในเมืองหลวงมาทำนายดวงชะตา กล่าวว่าชะตาของทั้งสองไม่เหมาะสมกัน ฝืนรั้งกันอยู่ ยามนี้ไม่ถอนหมั้น ภายหลังย่อมประสบความยากลำบาก ทั้งสองสกุลได้ฟัง จึงถอนหมั้นอย่างรู้แล้วรู้รอดไป”
พูดมาถึงตรงนี้ หม่าซิ่วเหนียงก็แค่นหัวเราะ “ฮูหยินหลี่ผู้นั้นยังปิดทองบนหน้าตัวเอง กล่าวว่าแม้งานแต่งจะไม่สำเร็จผล แต่สกุลหลี่และสกุลกู้ก็ยังไปมาหาสู่ดั่งญาติสนิทได้ คุณชายหกกู้และคุณชายใหญ่หลี่สาบานเป็นพี่น้องกัน ภายหลังสกุลหลี่มีเรื่องอันใด ก็ไปหาคุณชายหกกู้โดยตรงได้!”
สายตาของคนสกุลเฉินก็จำกัดอยู่เพียงในเรือนแห่งนี้ จากความคิดของนาง การแตกระแหงของสกุลอวี้และสกุลหลี่ มีเผยเยี่ยนออกหน้าเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยแล้ว สกุลหลี่ถอนหมั้นก็ดี เลื่อนตำแหน่งก็ช่าง ล้วนไม่เกี่ยวกับสกุลอวี้ นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงหัวเราะไม่กล่าวอันใด
อวี้ถังกลับคันยุบยิบในใจ อยากรู้ว่าเป็นเพราะตัวเองก่อเรื่องครั้งนั้นหรือไม่ จึงทำให้สกุลกู้ถอนหมั้น ทั้งยังช่วยหลี่อี้ให้มีตำแหน่งที่ดีเป็นการแลกเปลี่ยน สกุลหลี่จึงจำต้องยอมถอย ปิดปากเงียบสนิทเกี่ยวกับเรื่องถอนหมั้น
น่าเสียดายที่บิดานางไม่อยู่เรือน
ไม่สิ แม้ว่าบิดาของนางอยู่ก็ไม่อาจคุยเรื่องพวกนี้กับนาง ไม่แน่ว่ายังจะคิดว่านางทำลายงานแต่งของคนอื่น กำชับนางว่าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
ผู้ที่นางสามารถพูดคุยเปิดอกได้เต็มที่…คิดไปคิดมา…ดูเหมือนจะมีเพียงนายท่านสามเท่านั้น
เช่นนั้นนางไปหาเผยเยี่ยนดีหรือไม่?
อวี้ถังสองจิตสองใจ ท้ายที่สุดยังคงควบคุมอารมณ์ดีใจที่เห็นคนอื่นประสบทุกข์ไม่ได้ จึงถือใบชาสองกล่องที่ซื้อมาจากซูโจว ให้คนไปส่งจดหมายให้เผยเยี่ยน กล่าวว่าอยากพบเขา
เผยเยี่ยนกำลังพักผ่อนหลบร้อนอยู่ในเรือน ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คิดมาก ให้อวี้ถังมาพบในสวนของเขา
เพราะมาพบเผยเยี่ยน อวี้ถังจึงแต่งกายค่อนข้างเป็นทางการ เสื้อคลุมหังโฉวสีเงินปักลวดลาย กระโปรงสีขาว มวยผมทรงก้นหอย ปักปิ่นดอกไม้ลูกปัด ทั้งยังเติมแต่งเครื่องประทินโฉมที่ซื้อมาจากซูโจว เมื่อเห็นว่าแต่งได้อย่างไร้ที่ติแล้วจึงออกจากเรือน แต่ปัญหากลับอยู่ที่อากาศร้อน เริ่มจากอุดอู้อยู่ในเกี้ยวพักใหญ่ ทั้งยังต้องตามเด็กรับใช้สกุลเผยมาตลอดทาง ยามที่มาถึงหน้าประตูเข้าสวน นางก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด
ดีที่ในสวนโอบล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ยอดไม้เป็นดั่งร่ม บดบังแสงแดดจนหมด มีลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยเฉื่อยด้านข้างทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน เมื่อลมเย็นตีปะทะขึ้นมา ก็พาให้นางรู้สึกสดชื่นเย็นสบายทันที
นางถอนหายใจยาวเหยียด ครุ่นคิดว่าก่อนที่จะเข้าพบเผยเยี่ยนควรหลบหาที่เช็ดเหงื่อเสียหน่อยหรือไม่ ผลปรากฏว่าเมื่อหมุนตัว ก็เห็นเผยเยี่ยนที่สวมชุดต้าวผาวผ้าหยาบ กำลังเอนกายอ่านหนังสือด้วยท่าทีสบายบนเก้าอี้โยกในศาลาข้างลำธาร มีสาวใช้หน้าตาสะอาดสะอ้านคอยโบกพัดอยู่ทั้งสองด้าน ด้านข้างยังมีโต๊ะน้ำชาที่วางผลหมากรากไม้อยู่หลายอย่างบนจานแก้ว มองจากไกลๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายสุขยิ่งของเขาแล้ว
ช่างน่าโมโหเสียจริง!
เจ้าคนนี้เหตุใดจึงเสวยสุขได้ถึงขนาดนี้?
อวี้ถังลอบนินทาอยู่ในใจ คิดว่าอย่างไรตัวเองและเผยเยี่ยนก็ควรเว้นระยะห่างกัน คำพูดบางคำเอ่ยให้เขาได้ยินก็อาจจะไม่เหมาะสม
ชั่วพริบตานั้นนางก็รู้สึกว่าความตื่นเต้นที่อยากจะพูดคุยกลับเบาบางลง ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลอยู่หลายส่วน ฝีเท้าก็ย่างช้าตามเช่นกัน
อาหมิงที่พานางเข้ามาไหนเลยจะล่วงรู้ความคิดนาง เห็นเช่นนั้นก็อดกระซิบอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “คุณหนูอวี้ ท่านเป็นอะไรไป? เพราะเดินจนเหนื่อยกระมัง? อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะถึงแล้ว สวนอยู่ทางใต้ของจวน ไม่ไกลจากประตูรั้วเตี้ยมาก”
อวี้ถังได้ฟังก็ทำตัวกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
มาก็มาแล้ว ยามนี้มาบอกลาก็คงไม่เหมาะสมเกินไป
“ไม่ใช่” นางเอ่ยกับอาหมิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นทิวทัศน์ที่นี่งดงาม จึงเอาแต่มองซ้ายแลขวา”
อาหมิงได้ฟังก็โบกมืออย่างไม่คิดเช่นนั้น “ที่นี่มีอะไรงามขนาดนั้นกัน? มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ทั้งเป็นสิ่งที่นายท่านสามชื่นชอบผู้เดียว ที่พำนักของท่านแม่เฒ่าสกุลพวกเราต่างหากจึงจะนับว่างาม ดอกไม้สีสันสดใสละลานตา หนึ่งปีสี่ฤดูล้วนมีผลไม้สีแดงให้เชยชม”
ในสายตาคนอื่นทิวทัศน์เช่นนี้นับว่าแปลกใหม่ แต่อาจเป็นเพราะคนของสกุลเผยที่พบเห็นมาจนเบื่อจึงไม่รู้สึกตื่นตามากกว่ากระมัง!
อวี้ถังแย้มยิ้ม ยามที่กำลังจะพูดเล่นกับอาหมิง เขากลับหยุดฝีเท้าลงเสียก่อน คำนับอย่างนอบน้อม เอ่ยว่า “นายท่านสาม”
นางจึงหันมองตามอาหมิง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เผยเยี่ยนลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก ใช้สองมือจับราวกั้นศาลาทอดมองพวกเขา
“นายท่านสาม!” อวี้ถังก็ทักทายเขาเช่นกัน
เผยเยี่ยนพยักหน้า
อาหมิงพาอวี้ถังเข้ามาในศาลา
เผยเยี่ยนพิงราวกั้น ชี้นิ้วส่งๆ “นั่งสิ”
อวี้ถังกวาดสายตาพินิจ
ในศาลานี้ นอกจากเก้าอี้โยกที่เผยเยี่ยนเอนตัวนอนเมื่อครู่ ก็มีเพียงโต๊ะน้ำชาอีกหนึ่งตัว ให้นางนั่ง นางจะไปนั่งที่ไหนได้ล่ะ?
นางคงไม่อาจนั่งเก้าอี้โยกที่เขานอนเมื่อครู่ได้หรอกกระมัง?
อวี้ถังปวดขมับ ขบคิดว่าตัวเองควรจะกล่าวเกรงใจว่า ‘ไม่เป็นไร’ ดีหรือไม่ กลับมีชายคนหนึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด ยกเก้าอี้พับมาวางด้านหลังนาง
อวี้ถังใบหน้าขึ้นสี รีบสลัดความคิดที่อยู่ในศีรษะพวกนั้นทิ้งไป แสร้งทำเป็นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสง่าผ่าเผย
—————–
[1]ดอกสายน้ำผึ้ง เป็นสมุนไพรจีน มีฤทธิ์ลดไข้ ขับพิษ แก้อักเสบ
[2]สำนักไท่ฉาง คือหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องพิธีการและจารีตประเพณี
[3]สำนักไท่พู คือหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโรงม้าและรถม้าของฮ่องเต้
[4]จิ่วชิง คือเก้าตำแหน่งขุนนางสำคัญในสมัยโบราณ แบ่งเป็นต้าจิ่วชิงและเสียวจิ่วชิง